Skip to content

King of Gods 1578

King Of Gods

บทที่ 1578 อาจารย์คนงาม

เมื่อเห็นยาสีฟ้าหม่นเปล่งแสงเย็นๆ สามเม็ดในเตาหลอม ทั้งยังมีพลังโอสถที่ชวนให้สดชื่น ฮั่วชิงเฟิงแน่ใจว่าต้องเป็นยาขั้นหกแน่นอน

ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาตื่นตะลึงไม่ใช่เรื่องนี้

เมื่อครู่ยาเม็ดนั้นแหลกไปแล้วชัดๆ ดำเกรียมไปหมด แน่ใจว่าหลอมยาล้มเหลว

แต่ตอนที่จ้าวเฟิงปิดฝาเตาหลอมแล้วเปิดฝาออกอีกครั้ง ภายในกลับปรากฏโอสถชะล้างวิญญาณแรกที่สมบูรณ์สามเม็ดอย่างน่าอัศจรรย์

เป็นไปได้อย่างไรกัน?

ความรู้ความเข้าใจที่ฮั่วชิงเฟิงมีถูกจ้าวเฟิงทำลายจนหมดสิ้น เขายากจะจินตนาการได้ว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น หรือว่าตนเองจะเห็นภาพลวงตาเข้าแล้ว

เขาไม่เข้าใจจุดนี้เลย

แต่ถึงจะไม่สับสนเรื่องนี้ จ้าวเฟิงสามารถหลอมยาระดับสูงขั้นหกก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้!

บวกกับเรื่องต่างๆ ก่อนนี้ ในที่สุดฮั่วชิงเฟิงก็เข้าใจว่าเจ้าเด็กตรงหน้าคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!

“คุณชาย เมื่อครู่นี้มันเรื่องอะไรกัน?”

ฮั่วชิงเฟิงถามหยั่งเชิงเสียงเบา

“แค่กๆ ยาไหม้เกรียมที่เจ้าเห็นก่อนนี้เป็นเพียงภาพลวงตา เมื่อครู่ข้าแค่อยากจะดูธาตุแท้ของเจ้า แต่ว่า เฮ้อ…”

จ้าวเฟิงไอแห้งๆ จากนั้นจึงเอ่ยวางท่าอย่างผู้ใหญ่ ท้ายประโยคยังทอดถอนใจ

อันที่จริงเขาหลอมรวมโอสถล้มเหลวไปแล้ว แต่เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องพูดถึง ไม่เช่นนั้นความลับของพลังดั้งเดิมมายาจะแพร่งพรายออกมา

“ภาพลวงตา!”

ความคิดฮั่วชิงเฟิงสั่นคลอน

มีเพียงความเป็นไปได้เดียวเท่านั้น ไม่เช่นนั้นยาที่ไหม้เกรียมไปแล้ว ทำไมจู่ๆ ถึงสมบูรณ์ได้!

อีกทั้งสามารถหลอมยาขั้นหกระดับสูงได้สำเร็จ ความเชี่ยวชาญด้านโอสถของจ้าวเฟิงก็ยากเกินจะจินตนาการ ไม่แน่ว่าในตอนที่หลอมยาอาจจงใจสร้างไอหอมให้เกิดภาพลวงตา มิฉะนั้นเขาคงไม่อาจเห็นภาพมายาได้

ฮั่วชิงเฟิงแน่ใจในจุดนี้ทันที เจ้าเด็กคนตรงหน้านี้จะต้องเป็นผู้อาวุโสที่มีฝีมือลึกล้ำ แล้วไหนจะยังเจ้าแมวตัวนั้นอีก หลังจากถูกจ้าวเฟิงสัมผัสแล้วก็ล้ำลึกเกินหยั่ง

ตอนนี้ฮั่วชิงเฟิงมองเห็นสีหน้าผิดหวังของจ้าวเฟิง

เมื่อครู่เขาเห็นยาที่ล้มเหลวแล้ว ถึงได้เกิดจิตสังหารต่อจ้าวเฟิง ทำให้อีกฝ่ายผิดหวังในนิสัยของเขา

“คุณชาย…ผู้อาวุโส เมื่อครู่ข้าน้อยผลีผลามใจร้อน ขออย่าได้ถือสาหาความ!”

ฮั่วชิงเฟิงเอ่ยทันที ตอนเขามั่นใจได้แล้วว่าจ้าวเฟิงจะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่กลับชาติมาเกิดหรือไม่ก็เปลี่ยนร่าง เปลี่ยนกระทั่งชื่อเสียงเรียงนาม

หนำซ้ำอย่างน้อยอีกฝ่ายยังช่วยเขาหลอมโอสถชะล้างวิญญาณแรก มีความสามารถของอาจารย์ปรุงยาขั้นหก เขาย่อมเกรงใจเล็กน้อย ต้องอธิบายสักหน่อย

“อืม ดูแล้วท่าทางของเจ้าก็นับว่าซื่อสัตย์ ตอนนี้เจ้าคงพิจารณาเงื่อนไขที่ข้าเสนอไปก่อนนี้ได้แล้ว!”

มือสองข้างของจ้าวเฟิงไพล่ไว้ด้านหลัง ท่าทางนิ่งสงบ ทำให้เขาดูสูงศักดิ์น่าเกรงขามขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

เขาไม่จำเป็นต้องเสแสร้ง ในชีวิตก่อนของจ้าวเฟิงก็เป็นระดับผู้สร้าง ท่าทางและบุคลิกที่เป็นของผู้แข็งแกร่งติดตัวมาด้วย

เจ้าแมวขโมยน้อยยืนบนบ่าจ้าวเฟิง แผ่นหลังที่ดูสูงส่งเกินหยั่งเผยความไม่ธรรมดาของตนออกมา

ครั้งนี้ฮั่วชิงเฟิงไม่ได้เกรี้ยวกราดเหมือนที่ผ่านมา แต่กลับตกอยู่ในภวังค์

เมื่อเอาเรื่องมาปะติดปะต่อกัน เขาก็แน่ใจได้ว่าคนตรงหน้านี้ลึกล้ำเกินคาดเดา ไม่สามารถตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอกได้

อีกทั้งฝ่ายนั้นล่วงรู้ถึงพลังฝึกตนในยามสุดยอดของเขา แต่กลับพูดจาเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ามีความกล้าอยู่มาก

‘ถ้าหากข้าติดตามคนผู้นี้ จะต้องล้างแค้นและสร้างพรรคกระบี่ชิงเฉิงขึ้นใหม่ได้แน่!’

ฮั่วชิงเฟิงพึมพำในใจ

แต่เขาเป็นถึงผู้ถูกเลือกในขอบเขตอมตะ จะให้มาเป็นข้ารับใช้ของเด็กสิบสามสิบสี่ขวบคนหนึ่ง นับว่าเกินทนเล็กน้อย

“ข้ามีภาระหนักหนา ต้องทำการใหญ่ในวันหน้า ข้าเห็นเจ้ามีพรสวรรค์ถึงได้รับไว้เป็นข้ารับใช้ หากในภายหน้าเจ้าทำงานได้ดี ข้าไม่ละเลยเจ้าแน่…”

จ้าวเฟิงเอ่ยอีกครั้ง ถึงกระทั่งเตรียมจะหันจากไป ทำท่าทีเหมือนไม่ใส่ใจฮั่วชิงเฟิง

อย่างไรเสียก็เป็นคนที่มีอายุหลายร้อยปี ตั้งแต่เริ่มต้นต้นจบ ท่าทางของจ้าวเฟิงก็ยังเหมือนเดิม

“ผู้อาวุโส โปรดรอก่อน!”

ฮั่วชิงเฟิงสั่นเทิ้มไปครู่หนึ่ง จากนั้นยื่นมือ เรียกจ้าวเฟิงเอาไว้

ในที่สุดฮั่วชิงเฟิงก็เลือกได้

เขาต้องการแก้แค้น ต้องการสร้างสำนักขึ้นมาใหม่ ต้องการดำเนินชีวิตอย่างภาคภูมิ อยากจะได้สิ่งเหล่านี้มา เขาต้องจ่ายค่าตอบแทนบางส่วนถึงจะได้

จ้าวเฟิงลึกล้ำเกินคาดเดา นี่เป็นโอกาสครั้งหนึ่งของเขา!

“สัญญาร้อยปี หลังจากร้อยปีแล้ว เจ้าอยากจะไปไหนก็ตามใจ!”

จ้าวเฟิงโยนกระดาษสัญญาม้วนหนึ่งออกมา

พรสวรรค์ของฮั่วชิงเฟิงไม่เลวเลย ตอนนี้เขาสามารถช่วยจ้าวเฟิงจัดการเรื่องบางอย่างได้ ดังนั้นจ้าวเฟิงจึงต้องการเวลาเพียงร้อยปีของเขาเท่านั้น

“ร้อยปีหรือ?”

ฮั่วชิงเฟิงใจเต้น รีบลงนามในหนังสือสัญญา

สำหรับผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ระยะร้อยปีจะบอกว่านานก็ไม่นาน บอกว่าสั้นก็ไม่สั้น

“ไปกันเถอะ!”

จ้าวเฟิงยิ้มน้อยๆ พาฮั่วชิงเฟิงเดินกลับเข้าไปในเมืองหนานอวิ้น

เมี้ยว เมี้ยว~

เจ้าแมวขโมยน้อยหันกลับมายิ้มมุมปาก โบกกรงเล็บเหมือนกำลังบอกว่า จากนี้ให้เรียกมัน ‘ท่านแมว’ ก็ได้

“ในภายหน้าเจ้าไม่ต้องปิดบังใบหน้าแล้ว ไม่มีใครกล้าทำอะไรคนของข้าหรอก!”

จ้าวเฟิงเห็นฮั่วชิงเฟิงยังแปลงโฉมเป็นคนแก่ จึงเอ่ยออกมาทันที

ฮั่วชิงเฟิงใจเย็นวาบ ประโยคนี้ช่างโอหังจริงๆ ใจกล้ายิ่งนัก ทำให้ฮั่วชิงเฟิงรู้สึกว่าตนเองไม่ได้เลือกผิดแน่

ไม่มีใครอยากมีชีวิตภายใต้ใบหน้าปลอม กล้ามเนื้อบนใบหน้าฮั่วชิงเฟิงขยับยึกยือ ผิวหนังหลุดลอกออก ไม่นานนักก็กลายเป็นบุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลาน่าเกรงขาม แต่ดวงตาสองข้างยังคงเศร้าโศกอยู่บ้าง จึงทำให้เขาแต่งตัวเป็นคนแก่ก็ไม่ได้ประหลาดอะไรมาก

เมื่อกลับไปถึงภัตตาคาร พวกจ้าวอวิ๋นจ้าวไห่ยังคงรอจ้าวเฟิงอยู่ที่นั่น

“พี่เฟิง ตาแก่เหี้ยมโหดเมื่อครู่ล่ะ ไม่ได้ทำอะไรท่านใช่ไหม?”

“หากเขากล้าทำพี่เฟิง สกุลจ้าวไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่!”

เหล่าพี่น้องเอ่ยประจบประแจง

“คนผู้นี้คือเขา ก่อนหน้านี้เขาปลอมโฉมก็เท่านั้น!”

จ้าวเฟิงมองฮั่วชิงเฟิงที่อยู่ด้านหลัง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

พี่น้องทั้งหมดนิ่งเงียบกันทันที มองฮั่วชิงเฟิงด้วยสายตาโง่งม

ฮั่วชิงเฟิงในตอนนี้ จู่ๆ แววตาก็เฉียบคมอย่างยิ่ง เหมือนอ่านใจทุกคนขาด ทำให้พวกเขาหายใจติดขัด…

แน่นอนว่าฮั่วชิงเฟิงย่อมไม่อาจทำร้ายคนในตระกูลของจ้าวเฟิง และจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเจ้าเด็กกลุ่มนี้ด้วย

“คุณชาย ข้าน้อยขอตัว!”

ระหว่างทาง ฮั่วชิงเฟิงเอ่ยปากขอตัวก่อนจากการชี้นำของจ้าวเฟิง

เพื่อไม่ให้บิดามารดาเกิดความสงสัย จ้าวเฟิงไม่ต้องการให้ฮั่วชิงเฟิงเข้าไปในจวน แต่ให้เฝ้าอยู่แถวนั้น ถึงเวลาต่อให้มีศัตรูมาสังหาร จ้าวเฟิงก็ตรงไปหาได้อย่างรวดเร็ว

ฮั่วชิงเฟิงเช่าห้องพักฝึกฝนในละแวกจวนเจ้าเมือง

เมื่อเข้าไปด้านใน เขาหยิบยาสีฟ้าหม่นสามเม็ดออกมา สีหน้าตื่นเต้น

อึก อึก!

เมื่อกินยาลงไป ฮั่วชิงเฟิงก็เริ่มฝึกฝนและรักษาอาการบาดเจ็บ

ทันใดนั้น เขารู้สึกได้ว่าของเหลวที่เย็นเฉียบอย่างยิ่งไหลวนทั่วร่าง ผ่านกระดูก อวัยวะภายใน และยังแทรกเข้าไปในดวงวิญญาณ มีผลลัพธ์ประหลาดเกินคาดเดา รักษาอาการบาดเจ็บบนร่างเขา

“ระดับของยานี้เทียบเท่าได้กับ…‘สมบูรณ์แบบ’!”

ในหัวฮั่วชิงเฟิงเกิดเสียงดังสนั่น

ในฐานะที่เป็นผู้ถูกเลือกของสำนัก ยาที่เขาใช้มีไม่น้อย

นอกจากยาจะมีระดับแล้ว ยังมีระดับของผลลัพธ์ด้วย ผลลัพธ์จากต่ำไปสูงสุดแบ่งเป็นบกพร่อง ระดับต่ำ ระดับสูง ระดับสุดยอด และระดับสมบูรณ์แบบ

ยาระดับบกพร่องจะออกฤทธิ์หนึ่งถึงสามส่วน แต่ยาระดับสมบูรณ์แบบจะออกฤทธิ์ได้ถึงสิบส่วน

“ปรมาจารย์ จะต้องเป็นปรมาจารย์ศาสตร์ยาแน่!”

ฮั่วชิงเฟิงเรียกติดต่อกัน ตื่นเต้นไม่หยุด

หลังจากกลับไปที่จวนเจ้าเมือง ทุกคนดำเนินชีวิตตามปกติ ส่วนจ้าวเฟิงกำลังเตรียมเรื่องบางอย่างอยู่

เจ้าแมวขโมยน้อยเดินเตร็ดเตร่ไปรอบจวนเจ้าเมืองทั้งวัน ไม่เห็นตัว ต้องไปขโมยสิ่งของไม่น้อยแน่

เจ้าแมวขโมยที่ฟื้นความทรงจำทั้งหมดแล้ว ความสามารถในการขโมยของของมัน เกรงว่าทั้งจวนเจ้าเมืองคงมีเพียงผู้แข็งแกร่งในขอบเขตอมตะเท่านั้นถึงจะสังเกตเห็น

เจ้าแมวขโมยน้อยเสแสร้งทำท่าทีใสซื่อ ก็ได้รับความรักจากคนจำนวนมากในจวน จึงทำให้มันขโมยของได้ง่ายขึ้น

วันนี้บิดามารดาของจ้าวเฟิงมาถึงคฤหาสน์ของเขา

“ท่านพ่อท่านแม่ ท่านมาด้วยตนเองเช่นนี้มีเรื่องอะไรกัน?”

จ้าวเฟิงเปิดประตูต้อนรับ ใบหน้าเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม

แต่นอกจากบิดามารดาของเขาแล้ว ยังมีคนที่เขาไม่รู้จักติดตามอยู่ด้านหลังด้วย

นางเป็นสตรีเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น ท่าทางโดดเด่น ให้ความรู้สึกราววีรสตรี นางมองจ้าวเฟิงอยู่หลายครา

“เฟิงเอ๋อร์ ช่วงนี้ฝึกฝนเป็นอย่างไรบ้าง?”

จ้าวเทียนหลงถามอย่างห่วงใย

ในฐานะที่เป็นผู้นำตระกูล เขาย่อมห่วงใยพลังฝึกตนของจ้าวเฟิงที่สุด ภายหน้าจ้าวเฟิงจะต้องสืบทอดตำแหน่งของเขา

ถึงแม้การทดสอบทุกปีของจ้าวเฟิงจะได้คะแนนโดดเด่น แต่พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงเหมือนจะไม่ได้สูงส่งเท่าไหร่!

“ลูกฝึกฝนไปถึงขั้นปราณฟ้าช่วงสุดยอดขอรับ!”

จ้าวเฟิงเอ่ยเรียบๆ

จ้าวเทียนหลงไม่ได้พูดอะไร ขั้นปราณฟ้าช่วงสุดยอดในวัยสิบสี่ปี ในบรรดาพี่น้องตระกูลเดียวกันนับว่าอยู่ในระดับกลางเท่านั้น ค่อนข้างด้อยด้วยซ้ำในพี่น้องสายหลัก

“เฟิงเอ๋อร์ นี่เป็นอาจารย์คนใหม่ที่พ่อหาให้เจ้า ภายหน้าเจ้าจงฝึกฝนตามนาง!”

จ้าวเทียนหลงมองสตรีด้านข้าง แล้วจึงเอ่ยแนะนำ

บิดามารดาของจ้าวเฟิงเองก็รู้ดี จ้าวเฟิงไม่ชอบการถูกบังคับ จึงไม่ค่อยเข้าร่วมฝึกฝนกับคนในวัยเดียวกันที่ลานฝึกยุทธ์ของตระกูล แต่คะแนนการทดสอบทฤษฎีและปฏิบัติของจ้าวเฟิงก็อยู่ในสายตาของพวกเขา จึงรู้สึกได้ว่าบุตรชายของตนอาจจะเป็นคนคมในฝัก

อาจารย์ใหม่คนนี้จะเป็นทั้งผู้ชี้แนะให้จ้าวเฟิง และยังมาเพื่อทดสอบหาขีดความสามารถของเขาด้วย

“เฟิงเอ๋อร์ เจ้าอย่าดูแคลน ‘ถิงอวี้’ ปีนี้นางอายุยี่สิบเจ็ดปี ก็เป็นผู้ฝึกในขอบเขตแปรจิตขั้นสุดยอดแล้ว!”

มารดาของจ้าวเฟิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มละมุน

จากนั้นพวกเขาสองคนก็ออกไปจากที่นี่ ในฐานะที่จ้าวเทียนหลงเป็นผู้นำตระกูลจึงมีกิจธุระมากมาย การมอบบุตรชายให้ซ่งถิงอวี้ดูแลทำให้เขาเบาใจลงได้

ซ่งถิงอวี้เป็นอัจฉริยะของตระกูลซ่งซึ่งอยู่ใกล้ๆ เมืองหนานอวิ้น พรสวรรค์ในการฝึกอยู่เหนือผู้ชายตระกูลซ่ง กลายยป็นลำดับที่หนึ่งของตระกูล

“เจ้าชื่อจ้าวเฟิงใช่ไหม นับจากวันนี้ไปข้าก็คืออาจารย์ของเจ้า ข้าชื่อซ่งถิงอวี้!”

ซ่งถิงอวี้เผยรอยยิ้มละมุน

“ช้าก่อน บิดาข้าบอกว่าให้เจ้ามาชี้แนะข้า แต่ไม่ใช่ว่าใครก็ได้จะมาเป็นอาจารย์ของข้า ให้ข้าดูก่อนว่าเจ้ามีความสามารถมากพอจะมาเป็นอาจารย์ข้าหรือไม่!”

จ้าวเฟิงระบายยิ้มราบเรียบ เอ่ยออกมาทันที

คิดไม่ถึงเลยว่าหญิงคนนี้จะกลายมาเป็นอาจารย์ของผู้แข็งแกร่งระดับผู้สร้าง นับว่าเอาเปรียบกันอยู่!

นัยน์ตาซ่งถิงอวี้ฉายความแปลกใจเล็กน้อย จากนั้นจึงระบายยิ้มบางๆ เหมือนไม่ได้ใส่ใจ

ในสายตาของนาง การที่คุณชายพวกนี้หยิ่งยโสก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่นางซ่งถิงอวี้จะใช้ความสามารถทำให้อีกฝ่ายยอมรับนาง

“ได้สิ เจ้าอยากจะให้ข้าพิสูจน์อย่างไร ถึงจะเป็นอาจารย์ของเจ้าได้?”

ซ่งถิงอวี้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม นางจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเด็กไม่รู้ความแน่

“เป็นอาจารย์ย่อมต้องมีสายตาที่โดดเด่นกว่าคนอื่น จะได้เห็นความผิดพลาดในการฝึกฝนของศิษย์และส่วนที่ขาดไปในการฝึกยุทธ์!”

จ้าวเฟิงยืดอกเอ่ย

“ถูกต้อง!”

ซ่งถิงอวี้พยักหน้า นี่เป็นสิ่งที่คนเป็นอาจารย์ผู้หนึ่งควรมี

แต่ด้วยพลังฝึกตนขอบเขตแปรจิตขั้นสุดยอดของนาง ต่อให้สาตาแย่ไปสักหน่อย แต่จะสั่งสอนจ้าวเฟิงก็ยังเหลือเฟือ

“ขอสอบถามอาจารย์หน่อย อาจารย์คิดว่าข้าจะต้องใช้เวลานานที่สุดเท่าไหร่ถึงจะสามารถทะลวงไปถึงขั้นปราณม่วงได้?”

จ้าวเฟิงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม กางแขนออกสองข้างเพื่อให้ซ่งถิงอวี้ได้สำรวจอย่างละเอียด

“การเปลี่ยนจากปราณแท้วิญญาณฟ้าไปปราณแท้วิญญาณม่วงมีเพียงแค่ขั้นเดียวเท่านั้น หากเจ้าไม่ใช้ยาใดๆ จะใช้เวลาสิบวันเป็นอย่างน้อย!”

ซ่งถิงอวี้มองสำรวจอยู่นานถึงเอ่ยปากบอก

อันที่จริง นางคิดว่าจ้าวเฟิงต้องใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือน แต่เพราะนางประเมินพรสวรรค์ของจ้าวเฟิงไว้สูง ถึงได้เอ่ยเช่นนี้

อีกทั้งนางก็สามารถยืนยันได้ว่าจ้าวเฟิงไม่ได้มีพลังฝึกตนซุกซ่อนอยู่

“ได้ ข้าจะไปฝึกฝนก่อน ดูว่าสายตาของอาจารย์จะแม่นหรือไม่!”

จ้าวเฟิงหมุนกายจากไป เหมือนเตรียมจะไปฝึกฝน

ซ่งถิงอวี้ยิ้มน้อยๆ อย่างไม่ใส่ใจ ในระยะเวลาสิบวัน จ้าวเฟิงไม่อาจทะลวงถึงขั้นปราณม่วงได้แน่

แต่ทว่า จ้าวเฟิงที่เพิ่งก้าวข้ามธรณีประตูไปกลับแผ่ระลอกปราณแท้ที่ประหลาดออกมา อีกทั้งยังมาพร้อมกับไอสีม่วงเป็นระลอกด้วย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version