Skip to content

King of Gods 425

King Of Gods

บทที่ 425 : ยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ทั้งสิบ

ไม่นาน

จ้าวเฟิงและหอคอยพฤกษาปีศาจก็ตกลงกันได้

ตราบเท่าที่จ้าวเฟิงทำตามเงื่อนไขได้สำเร็จ หอคอยพฤกษาปีศาจก็ต้องใช้ ‘แก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษา’ ในการช่วยเขาฝึกฝนสัก 1-2 ส่วน

ในป่า

เย่หยานหยู หลี่หง โม่ก่านจากตำหนักผาดำ สามยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ลอยอยู่กลางอากาศ มองไปยังสถานการณ์ที่หอคอยพฤกษาปีศาจ

“จ้าวเฟิงผู้นี้ มิคาดสามารถร่วมมือกับปีศาจต้นไม้ได้”

หลี่หงขบฟันแน่น เมื่อครู่เขาเพิ่งจะหลุดรอดออกจากปากเหวแห่งความตาย แผ่นหลังยังคงเปียกโชกได้ด้วยเหงื่อเย็นเยียบ

อัจฉริยะจำนวนมากจากสามสำนักรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่ละเอียดอ่อนของสถานการณ์

ในยามนี้

จ้าวเฟิงยืนอยู่บนพุ่มไม้หนาของ ‘หอคอยพฤกษาปีศาจ’ ด้วยท่าทีเงียบงันไร้ความรู้สึก ไม่ได้ถูกต้นไม้ปีศาจโจมตีแต่อย่างใด

“คนผู้นี้แทรกซึมเข้ามาในสามสำนักด้วยแผนการระยะยาว หลบซ่อนพลังไว้ลึกล้ำ เมื่อถึงคราที่ถอดหนังแกะทิ้ง ศิษย์หลายคนของสำนักข้าก็ถูกเขาฆ่าไปเสียหลายคน รวมทั้งผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้หยูลั่วที่โชคร้ายต้องทิ้งชีวิตไว้ หากไม่ใช่เพราะการตอบสนองของข้ารวดเร็วพอ บางทีศิษย์พี่หลี่หงก็คงจะ…”

ใบหน้างดงามของเย่หยานหยูเต็มไปด้วยความแค้น จิตสังหารเย็นเยียบแพร่กระจายไปในอากาศ ลมหายใจถี่กระชั้น ทรวงอกขาวขยับขึ้นลงอย่างรวดเร็ว

ตั้งแต่ที่เข้ามาใน ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ ไม่มีผู้ใดสามารถทำให้นางโกรธแค้นเสียจนสูญเสียการควบคุมอารมณ์ไปได้ ทว่ายามนี้นางต้องการเพียงฆ่าคนผู้นั้นด้วยตนเองให้เร็วที่สุด

ในบรรดาอัจฉริยะในรุ่นเดียวกันยังคงมีผู้ที่สามารถวางแผนหลอกใช้งานนางได้ถึงระดับนี้อยู่จริงๆ

แรกเริ่ม เย่หยานหยูดูเหมือนเป็นฝ่ายบีบบังคับจ้าวเฟิง แต่ความจริงแล้วกลับถูกใช้เป็น ‘ร่ม’ ที่ใหญ่ที่สุดของเขาไป

หากไม่ใช่เพราะเย่หยานหยู คนนอกเช่นจ้าวเฟิงย่อมยากที่จะลงหลักปักฐานได้ เขาได้ล่วงรู้ถึงข้อมูลในสามสำนัก ค้นหาสิ่งที่ตนเองสนใจ และเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

“หากไม่ใช่เพราะข้า พวกหยูลั่วก็คงไม่ตาย…”

เย่หยานหยูด่าทอตนเอง ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและขายหน้า

มือขาวของหญิงสาวกำแน่น ฟันสีเงินแทบจะกัดริมฝีปากจนแตกยับ

ความอับอายและผิดบาปนี้ทำให้ความเกลียดแค้นชิงชังของนางพุ่งสูงจนถึงจุดสูงสุด

ทว่าจิตใจของนางเข้มแข็งยิ่งนัก ทำให้อารมณ์กลับมามั่นคงเยือกเย็นได้อย่างรวดเร็ว

เย่หยานหยูเข้าใจว่าหากต้องการต่อกรกับจ้าวเฟิงที่เชี่ยวชาญในการใช้วิชาดวงตา ไม่ว่าจะเป็นช่องว่างที่เล็กจ้อยเพียงใดในจิตใจก็อาจถูกช่วงใช้ได้

“เย่เซียนจื่อ ก่อนหน้าท่าน กลุ่มเขี้ยวมารสามคนของตำหนักผาดำของพวกเราเองก็ถูกทำลายด้วยน้ำมือของคนผู้นั้น เขากระทั่งปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน หลบหนีไปจากวิชาแกะรอยของชื่อกุ้ยได้”

สีหน้าของโม่ก่านเคร่งเครียด

ข้อมูลเกี่ยวกับจ้าวเฟิง เขาได้ฟังชื่อกุ้ยเอ่ยมาบ้าง

“ศิษย์น้องเย่ ด้วยสติปัญญาของเจ้า เหตุใดจึงได้ถูกไอ้เด็กเวรนั่นใช้ได้?”

หลี่หงสูดลมหายใจลึก เอ่ยออกมาด้วยท่าทีไม่พอใจ

หากไม่ใช่เพราะเย่หยานหยูทำตัวเป็นร่มให้กับจ้าวเฟิง อีกฝ่ายย่อมยากที่จะหารอยแยกของสามสำนักแทรกซึมเข้ามาฉกฉวยโอกาสได้

“นี่คือความผิดพลาดของข้า วางใจเถอะ ข้าจะลงมือฆ่าคนผู้นี้ด้วยตนเอง”

ใบหน้าของเย่หยานหยูเต็มไปด้วยความเย็นชาเด็ดขาด

ในเวลาเดียวกัน

นางก็ตกลงสู่ห้วงภวังค์สั้นๆ ตัวนางติดกับแผนการของจ้าวเฟิงได้อย่างไรกัน?

ในเสี้ยวพริบตา เย่หยานหยูก็พบถึงสาเหตุที่ทำให้นางตกอยู่ในสถานการณ์นี้

แผนการนั้นน่าหวาดกลัวยิ่งนัก และมีส่วนที่เป็นจุดสำคัญ หรือมิเช่นนั้นเย่หยานหยูย่อมไม่อาจถูกใช้งานได้

“เป็นแมว… ขโมย… ตัวน้อย”

ฟันขาวของเย่หยานหยูขบกันแน่น ร่างงดงามทรงเสน่ห์สั่นสะท้านเล็กๆ ค่อยๆ เอ่ยคำสามคำรอดไรฟันออกมา

ส่วนที่สำคัญที่สุดของแผนนั้น

จ้าวเฟิงและเย่หยานหยูไม่เคยเจอกัน ย่อมไม่อาจล่วงรู้

ในเมื่อทั้งสองฝ่ายไม่รู้ แล้วเหตุใดจ้าวเฟิงจึงสามารถวางแผนต่อนางได้อย่างกะทันหันกัน?

กุญแจสำคัญที่แท้จริงคือแมวขโมยตัวน้อย

เมื่อแมวขโมยตัวน้อยและเย่หยานหยูเจอกัน สิ่งมีชีวิตตัวจ้อยก็จงใจนำพานางไปหา ‘เจ้านาย’ ดูเหมือนกำลังข่มขู่บีบบังคับจ้าวเฟิง

“แมวขโมยตัวน้อย”

ใบหน้าของเย่หยานหยูเย็นเยียบ ส่งประสาทสัมผัสจิตวิญญาณออกไปค้นหาแมวขโมยตัวน้อย

ทว่า

แม้ประสาทสัมผัสจิตวิญญาณของนางจะค้นหาไปทั่ว รวมทั้งในเสื้อผ้าและมิติเก็บของ แต่ก็ไม่มีร่องรอยของแมวขโมยตัวน้อยแม้แต่น้อย

เมี้ยว เมี้ยว

แมวสีเทาเงินขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อยยืนอยู่บนไหล่ของจ้าวเฟิง

หนึ่งคนหนึ่งแมวเคลื่อนไหวด้วยกัน พึ่งพากันและกันราวกับเป็นหนึ่งเดียวกัน

“แมวขโมยตัวน้อย แผนของเจ้าแม้จะทำให้ข้าต้องปิดบังตัวตน ทั้งยังมีความเสี่ยงอย่างมาก ทว่าผลที่ได้รับมาก็ยอดเยี่ยมเช่นกันจริงๆ…”

จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง ยื่นมือออกไปหิ้วใบหูของแมวขโมยตัวน้อย

เมี้ยว เมี้ยว

อุ้งเท้าของแมวขโมยตัวน้อยขยับอย่างรวดเร็ว แสดงท่าทีคร่ำครวญถึงความยากลำบากของมัน

แมวขโมยตัวน้อยอ้าปากกว้าง คายเอา ‘หญ้าคืนชีวิต’ หนึ่งส่วนออกมาให้จ้าวเฟิง

“หญ้าคืนชีวิตของข้า แมวขโมยตัวน้อย เจ้ากล้าขโมยไป…”

ใบหน้างดงามของเย่หยานหยูขาวซีด นัยน์ตาเย็นเยียบเต็มไปด้วยความเกลียดแค้น ราวกับจะสามารถใช้สายตาฆ่าคนได้

ด้วยเกียรติยศศักดิ์ศรีและฐานะอันสูงส่งของนาง มีหรือจะเคยได้รับการฉีกหน้าเช่นนี้

“นี่นับว่าแมวขโมยตัวน้อยใจดีอย่างมากแล้ว ขโมยหญ้าคืนชีวิตมาเพียงหนึ่งส่วนตามคำสั่งของข้า หรือมิเช่นนั้นมิติเก็บของของเจ้ามีหรือจะสมบูรณ์พร้อมเช่นนั้น? อืม มันยังบอกให้ข้าไม่ลงมือรุนแรงกับเจ้าด้วย”

จ้าวเฟิงส่ายศีรษะ

แมวขโมยตัวน้อยคิดจะจัดการเย่หยานหยูให้เด็ดขาด ทว่าสุดท้ายแล้วกลับทำเพียงขโมยหญ้าคืนชีวิตมาส่วนหนึ่งตามคำสั่งของจ้าวเฟิง

จะอย่างไร เย่หยานหยูก็ดูแลแมวขโมยตัวน้อยเป็นอย่างดี ไม่เคยทำร้ายมันมาก่อน

“ข้าต้องฆ่าไอ้เด็กนี่ด้วยตนเองให้ได้ ไม่ต้องให้มันมาแสดงความเมตตาอันใด แมวขโมยตัวน้อย ข้าไม่โทษเจ้า อย่างน้อยเจ้าก็มีจุดยืนของตนเอง”

นัยน์ตางดงามที่มองไปทางแมวขโมยตัวน้อยเต็มไปด้วยความปรารถนามากขึ้น

ยามที่นางอยู่กับแมวขโมยตัวน้อย อีกฝ่ายได้นำผลประโยชน์และโชคมากมายมาหานาง ทำให้นางรู้สึกดี

เมี้ยว เมี้ยว

แมวขโมยตัวน้อยวาดอุ้งเท้าไปมาราวกับกำลังเล่าเรื่องราว เหมือนจะปลอบเย่หยานหยู

“อันใดนะ?… เจ้าต้องการให้ข้ากับมัน… นี่มันเป็นไปไม่ได้”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้างดงามของเย่หยานหยูก็แดงก่ำ แทบจะกระอักเลือดด้วยความเกลียดแค้น

คนอื่นอาจไม่เข้าใจอย่างชัดเจน ทว่าจ้าวเฟิงย่อมเข้าใจถึงความหมายของแมวขโมยตัวน้อย

“กลับไปได้แล้ว”

จ้าวเฟิงหิ้วหูของแมวขโมยตัวน้อยโยนเข้าไปในถุงสัตว์วิเศษอย่างไร้ความรู้สึก

จากนั้น

เขาก็ไม่สนใจเย่หยานหยูและผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้คนอื่นๆ อีกต่อไป นำ ‘หญ้าคืนชีวิต’ ส่วนหนึ่งมอบให้กับหอคอยพฤกษาปีศาจ

“นี่คือหญ้าคืนชีวิต เป็นสมุนไพรฟื้นพลังล้ำค่าในตำนาน ข้าเชื่อว่าข้อตกลงของข้าครึ่งหนึ่งสำเร็จแล้ว”

จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างเฉยชา

“หญ้าคืนชีวิต”

หอคอยพฤกษาปีศาจรู้สึกประหลาดใจและยินดี สายลมสีเขียวอ่อนส่องประกายดูดกลืน ‘หญ้าคืนชีวิต’ เข้าไป

เห็นเพียงแค่ว่ามันยืนนิ่งอยู่ที่เดิมพร้อมเปิดปากกลืนหญ้าคืนชีวิตเข้าไปทั้งต้น

หญ้าคืนชีวิตนั้นควรค่าแล้วที่นับเป็นสมุนไพรล้ำค่าในตำนาน หลังจากที่หอคอยพฤกษาปีศาจกินมันเข้าไป กระทั่งอาการบาดเจ็บสาหัสจาก ‘พลังเซียน’ ก็ยังเริ่มฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว

“ไอ้หนู ดูเหมือนว่าข้าจะดูถูกเจ้าเกินไป หญ้าคืนชีวิตนี้ไม่เพียงฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของข้าขึ้นครึ่งหนึ่ง ทว่ายังมีพลังเหลือให้ใช้อีก ทว่าอีกครึ่งหนึ่งของเงื่อนไข อย่างน้อยเจ้าก็ต้องไล่อัจฉริยะพวกนี้ออกไป ไม่ธรรมดาเท่าใด”

หอคอยพฤกษาปีศาจแย้มยิ้ม

จ้าวเฟิงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เฝ้ารอให้พุ่มไม้เติบโตขึ้นเช่นเดิม เรือนผมสีฟ้างดงามพลิ้วไหวหยอกล้อกับสายลม

เด็กหนุ่มไร้การเคลื่อนไหว ไม่แม้แต่จะเหลือบมอง ราวกับว่าเป็นส่วนหนึ่งของหอคอยพฤกษาปีศาจ

ทำเพียงป้องกัน ไม่โจมตี

นี่คือกลยุทธ์ของจ้าวเฟิง

หอคอยพฤกษาปีศาจคือร่มที่ใหญ่ที่สุดของจ้าวเฟิง ทั้งยังสร้างความได้เปรียบด้านพื้นที่

คนจากสามสำนักไม่ได้เร่งร้อนจู่โจม

บางที

‘การทรยศ’ ของจ้าวเฟิงอาจสร้างความเสียหายให้กับสามยอดสำนักมากเกินไป

ผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ทั้งห้าที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้น เย่หยานหยู จงหว่านเอ๋อร์ หลี่หง ชื่อกุ้ย และโม่ก่านรวมตัวกันอีกครั้งเพื่อปรึกษากัน

“ในบรรดาผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ทั้งหมดที่นี่ ชื่อกุ้ย เจ้าเชี่ยวชาญในวิชาดวงตา ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถขัดขวางการโจมตีของอีกฝ่ายได้”

เย่หยานหยูเอ่ยขึ้น

ในบรรดาอัจฉริยะจำนวนมากที่เข้ามาในซากปรักหักพัง สายเลือดดวงตาของชื่อกุ้ยอาจกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในแนวหน้า

ก่อนหน้าในถ้ำ ชื่อกุ้ยใช้วิชาดวงตา กระทั่งทำให้เย่หยานหยูบาดเจ็บได้

“สายเลือดดวงตาของเด็กนี่แม้จะแข็งแกร่ง ทว่าพลังฝึกตนยังไม่เข้าสู่ขั้นนายเหนือแท้ ในด้านการต่อต้านวิชาสายเลือดดวงตา ข้ามั่นใจ ทว่าก่อนหน้าข้าได้ใช้วิชาต้องห้ามซ้ำๆ ทำให้เกิดความเสียหายอยู่บ้าง หากไม่มีสิ่งใดมาช่วย…”

ชื่อกุ้ยเอ่ยบ่นในความยากลำบาก

ความจริงแล้ว เขากำลังเอ่ยเงื่อนไขให้กับคนสองคน

เย่หยานหยูและจงหว่านเอ๋อร์สบตากัน หยิบยาเซียนล้ำค่าบางส่วนออกมา แต่ล่ะเม็ดล้วนเป็นยาที่หายากในโลกใบนี้

สามสำนักนำยาที่ช่วยฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ และรวมทั้งยาที่ช่วยเสริมพลังให้กับวิญญาณมาเพื่อทำให้ชื่อกุ้ยพอใจ

“ข้าคงต้องลำบากพวกท่านแล้ว เมื่อข้าฟื้นฟูได้อีกสัก 1-2 ส่วน เนตรมารทมิฬกลับเข้าสู่สภาวะสมบูรณ์พร้อมย่อมสามารถสู้กับเด็กนั่นได้”

น้ำเสียงของชื่อกุ้ยแหบแห้ง เปลวเพลิงวิญญาณอ่อนจางในดวงตาควบรวมกัน กลับกลายเป็น ‘จุดว่างเปล่า’ ที่น่าหวาดกลัว

ผู้คนต่างคาดหวัง

วิชาสายเลือดดวงตาของชื่อกุ้ย ผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ ณ ที่แห่งนั้นล้วนเข้าใช้ใจเป็นอย่างดี แม้ว่าจะไม่อาจเอาชนะจ้าวเฟิงได้อย่างขาดลอย ทว่าอย่างน้อยย่อมสามารถต้านทานได้ ทั้งยังอาจจะได้เปรียบอยู่บ้าง

สามารถคาดหวังได้เลยว่ามันย่อมเกิดสงคราม ‘สายเลือดดวงตา’ ที่น่าตื่นตาตื่นใจขึ้นอย่างแน่นอน

“ข้าเองก็คาดหวังไว้มากเช่นกัน”

จ้าวเฟิงยืนเฝ้ารออยู่ท่ามกลางพุ่มไม้เป็นเวลานาน ทุกการเคลื่อนไหวทุกการกระทำของสามยอดสำนักไม่อาจเล็ดรอดไปจากดวงตาเทพเจ้าของเขาได้

ความสามารถของ ‘เนตรมารทมิฬ’ ของชื่อกุ้ยนั้นทรงพลังยากที่จะคาดประมาณได้ เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวเองก็เคยสัมผัสมาก่อน กระทั่งเคยสัมผัสมาด้วยตนเอง

หากไม่ใช่เพราะจ้าวเฟิงทุ่มสุดตัว ใช้วิชาดวงตาข้ามผ่านระยะทางไปทำลาย ‘เนตรโคมวิญญาณ’ ของอีกฝ่าย บางทีอาจไม่สามารถหลุดรอดจากการไล่ล่าของอีกฝ่ายได้

หากเป็นก่อนหน้า

จ้าวเฟิงไม่มีความมั่นใจมากนัก ย่อมไม่กล้าที่จะปะทะสายเลือดดวงตากับชื่อกุ้ย จะอย่างไรพลังฝึกตนของทั้งสองก็แตกต่างกันมาก

ทว่าบัดนี้

จ้าวเฟิงพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดในซากปรักหักพัง เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว การใช้ความสามารถของดวงตาเทพเจ้ายิ่งล้ำลึกทรงพลังยิ่งขึ้น

ฟุ่บ ฟุ่บ ฟ่บ

ห่างออกไปได้ปรากฏเสียงบางอย่างขึ้น กลิ่นอายชั่วร้ายเข้มข้นแพร่กระจายไปทั่ว ชัดเจนว่าไม่ใช่คนจากสำนักธรรมะ

“ดี ในที่สุดกำลังเสริมของตำหนักมารจันทราของเรามาถึงแล้ว”

อัจฉริยะจากตำหนักมารจันทราส่งเสียงยินดีขึ้น

ไม่นาน

กำลังเสริมจำนวนหนึ่งของตำหนักมารจันทราก็มาถึง ผู้นำคือบุรุษหัวล้านในชุดเกราะสีดำ พลังฝึกตนสูงถึงขั้นนายเหนือแท้

จำนวนของผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นเพิ่มขึ้นเป็นหกคน

ไม่เพียงเท่านั้น

จากนั้นอีกครึ่งชั่วยาม กำลังเสริมของสามสำนักก็ได้มาถึงอย่างต่อเนื่อง บ้างก็เป็นอัจฉริยะจากสำนักระดับหนึ่งดาวที่เป็นลูกน้องของสามสำนัก

เมื่อเวลาผ่านไป

อัจฉริยะที่มารวมตัวกันในหุบเขาลึกลับก็มากขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเย่หยานหยูใช้ ‘พลังเซียน’ พลังของมันสั่นสะท้านไปถึงสวรรค์ ผู้ที่อยู่ในระยะหนึ่งพันลี้โดยรอบสามารถรับรู้ได้

“อัจฉริยะที่ปรากฏอยู่… มีเกินร้อยแล้ว”

จ้าวเฟิงเอ่ยกระซิบกับตนเอง

หลังจากครึ่งชั่วยาม

จำนวนอัจฉริยะขั้นนายเหนือแท้ที่ปรากฏตัวก็มาถึงสิบคน

ผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ 2-3 คนได้ค้นพบโอกาสในซากปรักหักพังสือเฉิง ทำให้บรรลุสู่ขั้นนายเหนือแท้

จะอย่างไร อัจฉริยะขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสูงของสามยอดสำนักก็มีจำนวนมากมาย ภายใต้โอกาสมากมายในซากปรักหักพัง การที่มีหลายคนสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นนายเหนือแท้ได้ไม่นับเป็นเรื่องเกินคาด

“ผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้สิบคน ยอดอัจฉริยะมากกว่าร้อยคน แต่ล่ะคนไม่ด้อยไปกว่าระดับของผู้ถูกเลือกในทวีปบุปผาคราม… โชคดีที่ลู่เทียนอี้ผู้นั้นยังไม่มา ข้าขอให้เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงถ่วงเวลาเขาไว้”

หัวใจของจ้าวเฟิงไม่สงบนิ่ง

มันยากที่จะคาดเดายิ่งนักว่านับจากนี้มันจะเป็นเรื่องท้าทายที่ยิ่งใหญ่เพียงใด

อาการสั่นสะท้านเล็กๆ อย่างกระวนกระวายของหอคอยพฤกษาปีศาจใต้ฝ่าเท้าไม่อาจหลุดรอดไปจากประสาทสัมผัสของเขาได้

ความจริงแล้ว

มันไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมาย จากสภาพของหอคอยพฤกษาปีศาจ การเผชิญหน้ากับแรงคุกคามในระดับนี้ อย่างมากก็ต้านทานได้เพียงหนึ่งชั่วยาม ยากที่จะหลบหนีจากชะตาที่ต้องทิ้งชีวิตไปได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version