บทที่ 476 พายุอัสนี
เวลาผ่านไปหลายลมหายใจ วิชาเนตรสวรรค์ได้ฆ่าสองผู้คุ้มครองที่ยิ่งใหญ่แห่งลัทธิมารจันทราชาดสาขาไป กลิ่นอายของเนตรสวรรค์อ่อนแอลงอย่างมากก่อนจะจางหายไปจากท้องฟ้า สาวกลัทธิมารจันทราชาดทั้งระดับสูงระดับต่ำต่างรู้สึกหวาดกลัวไม่ปลอดภัย เต็มไปด้วยความกระวนกระวายหวาดผวา
บางที ไม่กี่นาทีต่อมาความตายอาจมาเยือนพวกเขา
“ไอ้เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม มัวแต่หลบซ่อนเพื่ออันใด หากมีความกล้าก็จงมาสู้กันตรงๆ” ดวงตาของหัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยถลนออก ตวาดเสียงดัง พลังฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงที่น่าหวาดกลัวทำให้ไอสวรรค์ในบริเวณสิบลี้โดยรอบสั่นกระเพื่อม ลมรุนแรงพัดกระโชกจนฝุ่นทรายฟุ้งไปหลายลี้
โหยวม่อและซานหลิง สองผู้คุ้มครองถูกกำจัด หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยนับได้ว่าสูญเสียมือขวาไป
ในฝูงชน ยังเหลือจ้าวตำหนักโหยวหลงและผู้คุ้มครองศพโลหิตที่มีพลังขั้นนายเหนือแท้ ทั้งสองสบตากันครั้งหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
“พลังของวิชาดวงตาของจ้าวเฟิงรุนแรงขึ้นหลายเท่าตัวเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน”
“ความพัฒนาเช่นนี้… เป็นไปได้หรือไม่ที่เขาจะบรรลุขั้นนายเหนือแท้แล้ว?”
สองจ้าวตำหนักจิตใจสั่นสะท้าน อดที่จะคาดเดาไม่ได้
พวกเขาเคยปะทะกับจ้าวเฟิงมาก่อน พลังสายเลือดดวงตาของอีกฝ่ายก็ได้เผชิญหน้ามาด้วยตนเอง
แน่นอนว่าขอบเขตจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงเหนือกว่าขั้นนายเหนือแท้ สำหรับพวกเขาแล้วมันไม่ได้เหนือกว่าความคาดหมายแต่อย่างใด
คนทั้งสองไม่อาจคาดเดาได้ว่า การทะลวงขั้นของจ้าวเฟิงได้ข้ามขั้นไปถึงขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำ
ห่างออกไปหลายร้อยลี้ บนต้นไม้ใหญ่
“หึ ยามที่พวกเจ้าลงมือกับสำนักจันทร์สลายเคยหลงเหลือผู้รอดชีวิตบางไหมเล่า?”
สีหน้าของจ้าวเฟิงปรากฏแววอ่อนล้าเล็กๆ มุมปากเหยียดออกเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน หลายวันมานี้ จ้าวเฟิงใช้ ‘เนตรสวรรค์’ ไม่รอให้พลังดวงตาแห้งเหือดก็จะรีบฟื้นฟูพลังเพื่อให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมตลอดเวลา
ดังนั้นแล้ว ทุกการลงมือของจ้าวเฟิงจึงไม่มีผลสำเร็จที่โดดเด่น
ทว่าเมื่อครู่ หนึ่งการโจมตีคร่าชีวิตของผู้คุ้มครองแห่งลัทธิมารจันทราชาดได้ พลังสายเลือดของจ้าวเฟิงแห้งเหือดลงจนถึงก้นบ่อในทันที
สองวันต่อมา
เด็กหนุ่มนั่งขัดสมาธิ ฟื้นฟูพลังดวงตาและพลังวิญญาณ เฝ้ารอการลงมือครั้งต่อไป เป้าหมายที่เหลืออยู่จำนวนมากค่อนข้างอันตราย หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ย พลังฝึกตนสูงถึงขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอด พลังต่อสู้อาจเพียงพอที่จะต่อกรกับรองจ้าวลัทธิโลหะเลือด
จ้าวตำหนักโหยวหลงและผู้คุ้มครองศพโลหิตเองก็ ‘หนังเหนียว’ เป็นพวกที่มีพลังป้องกันสูงส่งในการรักษาชีวิตรอด โดยเฉพาะจ้าวตำหนักโหยวหลงที่ดูจะฆ่าได้ยากเย็นที่สุด
ในเสี้ยวพริบตา เวลา 2-3 วันได้ผ่านไป
ในป่าเมฆาคล้อย สาวกลัทธิมารจันทราชาดเหมือนเช่นไก่ต้ม อยู่ในสถานการณ์วิกฤตอย่างมาก
เรื่องเหล่านี้ทำให้สาวกลัทธิมารล้วนอยู่ในสภาพตื่นตัวพร้อมต่อสู้ตลอดเวลา
ทุกคนไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ ‘เนตรสวรรค์’ จะปรากฏขึ้นโจมตี
“คำนวณดูแล้ว พลังสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงน่าจะฟื้นฟูเสร็จแล้ว”
ผู้คุ้มครองศพโลหิตตื่นตัว
ตามสภาพการณ์แล้ว เป้าหมายต่อไปของจ้าวเฟิงเป็นไปได้มากที่จะเป็นผู้คุ้มครองศพโลหิต
หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยและจ้าวตำหนักโหยวหลงต่างมีพลังภายในที่แข็งแกร่งกว่า การจะลงมือฆ่าได้ย่อมยากกว่า
“ไม่มีทางย้อนกลับแล้ว แม้ว่าเราจะถอยก็ไม่อาจสิ้นเรื่องลงได้ มีเพียงแค่รอให้อีกฝ่ายเลิกลงมือด้วยตนเองเท่านั้น”
หัวใจของจ้าวตำหนักโหยวหลงปรากฏความสิ้นหวังอยู่มาก
กล่าวได้ว่าพลังของจ้าวเฟิงก่อนทะลวงขั้นอยู่ในระดับที่สามารถต่อกรกับเขาได้ ทว่าในยามนี้ พลังของอีกฝ่ายได้เพิ่มขึ้นอีกระดับอย่างชัดเจน ทั้ง ‘เนตรสวรรค์’ ที่ผลุบๆ โผล่ๆ ก็ทำให้เขารู้สึกอ่อนล้ากว่าปกติ แม้ว่าจะเป็นประสบการณ์ของสามยักษ์ใหญ่แห่งสาขาในยามนี้ก็ไม่อาจหาวิธีแก้ไข ‘เนตรสวรรค์’ ได้
“ไม่ว่าเราจะเดินทางอย่างไร จ้าวเฟิงก็สามารถสอดแนมพวกเราได้”
สีหน้าของหัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยมืดทะมึน มักจะรู้สึกผิดปกติอยุ่เสมอ
จ้าวตำหนักโหยวหลงสำรวจ ในบรรดาผู้คนได้มี ‘สายลับ’ อยู่ นั่นคือความจริง ทว่าคนที่เหลืออยู่ในยามนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นสหายที่เชื่อถือได้ของหัวหน้าสาขาป๋าเถี่ย
ยามค่ำคืน
เหนือศีรษะได้ปรากฏแรงกดดันที่คุ้นเคยขึ้น
เนตรสวรรค์ได้ปรากฏขึ้น
สาวกลัทธิมารจันทราชาดในบริเวณนั้นหัวใจเต้นรัว หน้าผากปรากฏหยาดเหงื่อเย็นเยียบ จิตใจเครียดเขม็ง
ป๋าเถี่ย โหยวหลง และศพโลหิต สามยักษ์ใหญ่อยู่ในสถานการณ์วิกฤต
ที่คาดไม่ถึงคือการปรากฏขึ้นครั้งนี้ของ ‘เนตรสวรรค์’ กลับไม่ได้ลงมือเข่นฆ่าเช่นที่คาดเอาไว้
“ตาย”
“ไอ้หนู ตายซะเถอะ”
สาวกลัทธิมารจันทราชาดตกอยู่ในความวุ่นวาย ยอดฝีมือกว่าครึ่งหนึ่งดวงตาแดงก่ำ ลงมือเอาชีวิตผู้อื่นอย่างพร้อมเพรียงกัน
ฆ่า
เหล่าสาวกลัทธิมารจันทราชาดที่จิตใจสับสนวุ่นวายเหล่านี้ได้พุ่งตรงไปยังหัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยอย่างบ้าคลั่ง
อันใดกัน?
สีหน้าของหัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยแปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง คนที่ลงมือโจมตีเหล่านี้ ส่วนมากเป็นผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้
เนตรหัวใจวิญญาณ
‘เนตรสวรรค์’ ที่เหนือศีรษะได้ส่งพลังจิตลึกลับออกมา เต็มไปด้วยความล่อลวง ทำให้คนตกอยู่ในวังวนมายาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ฟึ่บ
หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยคำรามอย่างกราดเกรี้ยว ‘ขวานเหล็กยักษ์’ ในมือวาดออก ยอดฝีมือของสาขาหลายคนที่อยู่ใกล้พลันถูกหั่นเป็นสองส่วน เลือดเนื้อสาดกระจาย เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวน
สาวกลัทธิมารจันทราชาดบางคนร่างกายสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
เสียงคำรามของหัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยทรงพลังจนสามารถทำลายการ ‘ล่อลวง’ เหล่าสาวก ราวกับตื่นขึ้นจากฝัน ทั่วทั้งร่างเปียกโชกไปด้วยหยาดเหงื่อ
น่ากลัวเกินไปแล้ว
สาวกของลัทธิมารจันทราชาดบางคนสีหน้านิ่งอึ้ง ร่างกายเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย
เนตรสวรรค์เหนือศีรษะได้จางหายไปจากสายตาอีกครั้ง
“หัวหน้าสาขา หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เมื่อเราไปถึงยังสำนักจันทร์สลายไม่รู้ว่าจะเหลือคนรอดสักกี่คน”
สาวกเก่าแก่ของลัทธิมารจันทราชาดเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าขมขื่นหดหู่
สามยักษ์ใหญ่แห่งสาขาเริ่มครุ่นคิดสั้นๆ
“แคว้นเมฆาเล็กๆ นี่มิคาดว่าจะมีดวงดาราที่รุ่งโรจน์อย่างน่าพรั่นพรึงเช่นนี้อยู่ ผู้นำผู้นี้นับว่าได้ประเมินผู้ครองฉายานามราชาแห่งผู้ถูกเลือกต่ำไปโดยแท้” มือทั้งสองของผู้ที่แข็งแกร่งอย่าง ‘หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ย’ สั่นสะท้านเล็กๆ สีหน้ามืดหม่นลังเล
ทว่าในยามนี้ ไม่ว่าจะเสียใจหรืออยากจะคิดหาวิธีใหม่ก็ล้วนแล้วแต่ไร้ซึ่งประโยชน์ คนที่เหลือของลัทธิมารจันทราชาด ไม่ว่าจะมุ่งหน้าต่อไปหรือล่าถอยก็ไม่อาจสลัด ‘เนตรสวรรค์’ ออกไปได้
“หากในบรรดาพวกเรามีสายลับ เช่นนั้นก็กระจายตัวกันไปอาจมีหนทาง”
จ้าวตำหนักโหยวหลงเสนอ
“จะแยกกันไม่ได้หรอก หากเผชิญหน้ากับเด็กนั่นคนเดียว นอกจากท่านหัวหน้าสาขาแล้ว ในยามนี้คนอื่นๆ ยากที่จะรอดชีวิตไปได้”
ผู้คุ้มครองศพโลหิตเอ่ยค้าน ในใจของเขาเต็มไปด้วยความกังวล หากดูจากลำดับการฆ่าของจ้าวเฟิงแล้ว โอกาสที่จะถูกฆ่าเป็นคนต่อไปมีมากเกินไป
“ไม่มีทางถอย ต้องโจมตีสำนักจันทร์สลาย”
หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยคำรามเสียงต่ำ ในใจเต็มไปด้วยความเกลียดชังคลั่งแค้น จิตสังหารพุ่งสูงจนถึงขีดสุด
เขาไม่รู้ว่าการกระจายตัวกันออกไปกลับเป็นวิธีการที่ดี
เมื่อแยกกันเดินทาง ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงสามารถปรากฏขึ้นได้ด้วย ‘ตราเนตรแห่งเทพ’ ตรงตำแหน่งของจ้าวตำหนักโหยวหลงเท่านั้น ในป่าเมฆาคล้อยที่ไร้จุดสิ้นสุดนี้ หากคนที่ต้องการหาไร้ซึ่งจุดเด่นใดๆ ก็ไม่ต่างจากการงมหาเข็มในมหาสมุทร
ผ่านไปหลายวัน
สิ่งที่คาดไม่ถึงคือ ‘เนตรสวรรค์’ ไม่ได้ปรากฏขึ้นอีก
หนึ่งวัน… สองวัน… สามวัน
ในเสี้ยวพริบตา เวลาห้าวันได้ผ่านพ้นไป
ห้าวันมานี้ สาวกที่เหลือของลัทธิมารจันทราชาดราวกับข้ามผ่านความทรมานมาห้าปี
“ไม่มาหรือ?”
“อย่าได้บอกข้าเชียวว่าจ้าวเฟิงนั่นจะมาใจอ่อน ไม่ลงมือตีเหล็กยามที่ยังร้อน?”
สาวกลัทธิมารจันทราชาดประหลาดใจลังเล ไม่กล้าที่จะประมาท
ในวันที่หก
ชายป่าเบื้องหน้าได้ปรากฏภูเขาลูกหนึ่ง
หืม?
หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยราวกับรับรู้บางอย่างได้ สายตาจับจ้องไปยังฝั่งหนึ่งของภูเขา
บนภูเขา
เด็กหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงินผู้หนึ่งยืนนิ่งให้แสงอาทิตย์อาบไล้ ท่าทีเกียจคร้านไม่ใส่ใจ
“ผู้ใดกัน?”
หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยชะงักไป ไม่รู้จักอีกฝ่าย
“จ้าว… จ้าวเฟิง”
โหยวหลงและศพโลหิต สองยักษ์ใหญ่ของสาขาจิตใจสั่นสะท้าน ตื่นตะลึงจนสิ้นเสียง ในยามนี้ พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกประหลาดใจหรือหวาดกลัวดี
“จ้าวเฟิง เจ้าคือจ้าวเฟิงคนนั้น? ฮ่า”
ใบหน้าอ้วนท้วมเต็มไปด้วยไขมันของหัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยสั่นกระเพื่อม ความเกลียดชังคลั่งแค้นหลายวันมานี้พลันค้นพบทางไหลออก
โหยวหลงและศพโลหิตบนใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ทว่าไม่กล้าที่จะผลีผลามลงมือ
“จ้าวเฟิงผู้นี้มาเพียงคนเดียว กล้าที่จะปะทะกับพวกเราด้วยหรือ?”
“เขาบรรลุขั้นนายเหนือแท้แล้วจริงๆ เป็นไปได้อย่างไร… ขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำ?”
คนทั้งสองสบตากันครั้งหนึ่ง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงหวาดกลัว
“ขวานผ่านภา”
ร่างใหญ่โตของหัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยพลันหายไปพร้อมกับสายลมรุนแรงและแผ่นดินที่สั่นไหว เขาเป็นยอดฝีมือ การโจมตีรวดเร็วราวสายฟ้าฟาด พลังที่ระเบิดออกน่าตื่นตะลึง
เปรี้ยง
‘ขวานเหล็กยักษ์’ ในมือของหัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยสับลง อีกฟากของภูเขาพลันแตกสลายเป็นเศษเสี้ยว
แคร่ก ครืนนน
รอยแตกลึกจนไม่เห็นก้นปรากฏขึ้น
ทันใดนั้น ฝุ่นได้ฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณหลายลี้ บดบังทัศนะวิสัยเอาไว้
“ฮี่ฮี่ สมแล้วที่เป็นยอดฝีมือระดับหัวหน้าสาขาของลัทธิมารจันทราชาด”
ในเวลาเดียวกัน ‘ก้อนกระแสไฟฟ้า’ ก็ได้ปรากฏขึ้นที่เส้นขอบฟ้า
ดวงตาเปล่าเห็นเพียงแค่กลุ่มก้อนสายลมสีเขียวระยิบระยับที่ถูกโอบล้อมด้วยกระแสไฟฟ้า เด็กหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงินปรากฏให้เห็นเลือนรางบนร่างปรากฏระลอกคลื่นวายุอัสนีสั่นกระเพื่อม ทั่วทั้งร่างราวกับมีสนามพลังที่ไม่อาจมองเห็นอยู่
“เป็นความเร็วที่น่าหวาดกลัวนัก เทียบกับที่เจอกันครั้งก่อนยังเร็วกว่าเท่าตัวหนึ่ง”
หัวใจของจ้าวตำหนักโหยวหลงหล่นวูบ
ขวานนั้นของหัวหน้าสาขาป๋าเถี่ย แม้ว่าจะทรงพลังไร้เทียมทาน เหนือกว่าขั้นนายเหนือแท้ ทว่ากลับโจมตีไม่โดนจ้าวเฟิง
บนท้องฟ้า แสงเจิดจ้าของวายุอัสนีพร่าเลือนลง ทิศทางการเปลี่ยนแปลงไม่อาจทำความเข้าใจได้
“พายุอัสนี”
กลุ่มสายลมและสายฟ้าสีเขียวเข้มปรากฏขึ้นเป็นรูปน้ำวนเหนือศีรษะก่อนจะขยายออก สร้างพายุโหมกระหน่ำรุนแรงขึ้น สายฟ้าฟาดอาละวาด สายลมพัดหวนกรีดบาด
‘พายุอัสนี’ อันใหญ่โตร่วงลงมาจากท้องฟ้า ขยายออกไปในระยะครึ่งลี้ ครอบคลุมสาวกของลัทธิมารจันทราชาดเบื้องล่างไว้ทั้งหมด
“อ๊ากกกกก”
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังก้องไปทั่วยาวนาน
เมื่อสำรวจดูแล้ว สาวกของลัทธิมารจันทราชาดเสียชีวิตกันไปเป็นส่วนมาก
ฟึ่บ ฟึ่บ
จ้าวตำหนักโหยวหลงและผู้คุ้มครองศพโลหิตทะยานร่างออกไปนอกระยะของ ‘พายุอัสนี’
จ้าวตำหนักโหยวหลงไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก
ทว่าผู้คุ้มครองศพโลหิตทั่วทั้งร่างกลับเต็มด้วยบาดแผลและรอยไหม้ สีหน้าขาวซีด
“ข้าฟื้นฟูพลังดวงตาและทำความเข้าใจหอกจักรพรรดิเหมันต์กับอนุสรณ์วายุอัสนีโบราณอยู่ครึ่งเดือน พายุอัสนีนี้มีระยะกว้างไกล เป็นวิชาที่ทำความเข้าใจมาจากมรดกอย่างหลัง พลังรุนแรงโดยแท้”
ร่างของจ้าวเฟิงลอยอยู่กลางอากาศ
ยามที่ระลอกคลื่นวายุอัสนีบนร่างของเขาสั่นกระเพื่อม พลังแห่งเสวียนอ้าวของมัน เมื่อเทียบกับยามที่เพิ่งบรรลุขั้นนายเหนือแท้แล้วดูจะพัฒนาขึ้นหลายส่วนอย่างเห็นได้ชัด
เหตุผลสุดท้ายของห้าวันนั้นที่จ้าวเฟิงไม่ได้ใช้เนตรสวรรค์ไล่ล่าอีกฝ่ายอีกเป็นเพราะความผิดปกติของดวงตาเทพเจ้า
ในมิติในดวงตาซ้าย
บึงน้ำราบเรียบได้ขยายออกจนมีขนาดสิบจ้างในที่สุด ในขีดจำกัดของระยะสิบจ้างนี้ ผิวน้ำของมันกับราบเรียบ ทว่าในส่วนลึกของบึงน้ำได้ปรากฏน้ำวนสีเข้มขึ้น พลังของมันกราดเกรี้ยวรุนแรง เหลือเพียงแค่เสี้ยวเดียว สายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงก็จะเปลี่ยนแปลงไปสู่ระดับใหม่
ดังนั้นแล้ว จ้าวเฟิงจึงล้มเลิกการใช้ดวงตาโจมตีผ่านระยะทางไกลที่สบายกว่าและมาเผชิญหน้ากับยอดฝีมือของลัทธิมารจันทราชาดตรงๆ
“อืม จะได้ลองของที่ข้าเพิ่งจะทำความเข้าใจมาด้วย”
ระลอกคลื่นวายุอัสนีใต้ฝ่าเท้าของจ้าวเฟิงพลั่นสะท้าน ร่างของเขาราวกับกลายเป็นกระแสไฟฟ้าและสายลม จางหายไปอย่างไร้ร่องรอยในเสี้ยววินาที
ขวานไร้นภา
ประกายคมขวานบิดเบี้ยวเล็กๆ สร้างคมดาบสีเลือดขึ้นมุ่งตรงไปยังตำแหน่งเดิมของจ้าวเฟิงในเสี้ยววินาที การโจมตีที่น่าพรั่นพรึงนั้นเพียงพอที่จะตัดร่างของผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ทั่วไปได้อย่างง่ายดาย