Skip to content

King of Gods 510

King Of Gods

บทที่ 510 เคล็ดวิชาดวงตาต้องห้าม

“…หากก่อนออกเดินทางงานน้ำชายังไม่เริ่ม ข้าก็คงต้องขอคำชี้แนะจากสายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปก่อนล่วงหน้า คำขอเช่นนี้ หวังว่าโอรสสวรรค์สามตาที่เก่งกาจคงไม่ปฏิเสธใช่หรือไม่?”

บทสนทนาพลันพัฒนาไปอีกระดับ

บนใบหน้าของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความเยือกเย็น มองตรงไปยังผู้จัดงานน้ำชาเซียนมังกร โอรสสวรรค์สามตา ด้วยสายตาไร้ความรู้สึก

เมื่อได้ยินเช่นนั้น อัจฉริยะเซียนมังกรในที่นั้นหัวใจก็พลันกระตุกวูบ ตื่นตะลึงจนร่างสั่นสะท้าน

ผู้คนประหลาดใจ มองไปยังเด็กหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงินในฝูงชน ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าจ้าวเฟิงจะคัดค้านโอรสสวรรค์สามตาอย่างเถรตรงเช่นนี้ กระทั่งเอ่ยเสนอความจำนงในการ ‘ประลองชี้แนะ’ กับอีกฝ่าย

ในเสี้ยววินาที บรรยากาศในบริเวณนั้นได้เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด

“จ้าวเฟิงผู้นี้… ไม่ได้สนใจโอรสสวรรค์สามตาเลยแม้แต่น้อย”

“กล้าหาญยิ่งนัก กล้าท้าประลองกับอันดับหนึ่งงานชุมนุมเซียนมังกรติดต่อกันสองครั้งเช่นนี้”

“เฮ้ ยามนี้อายุของโอรสสวรรค์สามตานั้นมากกว่าห้าสิบปีแล้ว ยามที่เขาเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรครั้งแรก จ้าวเฟิงนั่นยังไม่เกิดเสียด้วยซ้ำ”

เหล่าผู้ชมส่งเสียงฮือฮา บนใบหน้าเผยความตื่นเต้นคาดหวังขึ้นหลายส่วน

แม้ว่าคนส่วนมากจะไม่ชอบจ้าวเฟิง ทว่าจำต้องยอมรับว่าในบรรดาอัจฉริยะเซียนมังกรที่ปรากฏตัวขึ้น คงมีเพียงจ้าวเฟิงที่คู่ควรกับการประลองกับโอรสสวรรค์สามตา

“จ้าวเฟิง ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ไว้หน้าข้าเลยนะ?”

สีหน้าของโอรสสวรรค์สามตามืดทะมึนลง

‘ดวงตาที่สาม’ ที่ปิดสนิทบนหน้าผากของเขาพลันปริแยกออกเล็กๆ เผยแสงสีทองลึกลับออกมาวูบ ส่งกลิ่นอายสายเลือดที่ทรงพลังยากจะต้านทานออกมา

เหล่าอัจฉริยะเซียนมังกรในที่นั้นพลันรู้สึกถึงแรงดันที่น่าหวาดกลัว

‘สายเลือดเนตรเซียน’ ของโอรสสวรรค์สามตาเพียงเปิดออกเล็กๆ ทว่ากลิ่นอายน่าพรั่นพรึงที่แพร่กระจายออกมานั้นได้ทำให้มรดกสายเลือดในบางคนสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวกระวนกระวาย ให้ความรู้สึกว่าตนเองต้องยอมรับค้อมคารวะ

“นี่คือสายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีป…”

รวมทั้งผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้หลายคนที่แบกรับแรงกดดันมหาศาล ลมหายใจติดขัดเล็กๆ

ชื่อเฉิงเทียนและตันไถ่หลันเยว่เปลี่ยนสีหน้าเป็นตื่นตะลึง ในทางกลับกัน บนใบหน้างดงามของปิงเว่ยเซียนจื่อได้ปรากฏความประหลาดใจและยินดีขึ้น

“สายเลือดเนตรเซียนของโอรสสวรรค์สามตาได้ตื่นขึ้นในระดับที่สามแล้ว…”

ถัวป๋าฉีและเนตรวิญญาณหนานจื่อ อีกสองทายาทของตระกูลสายเลือดดวงตาชนชั้นสูงพลันกระตุ้นการเคลื่อนไหวของสายเลือดดวงตาอย่างรุนแรงเพื่อต่อต้านแรงกดดันจากสายเลือดดวงตานั้น

ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าสายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีป ถัวป๋าฉีและเนตรวิญญาณหนานจื่อก็ยังคงได้รับผลกระทบ

กลิ่นอายแรงกดดันที่ ‘ดวงตาที่สาม’ ของโอรสสวรรค์สามตาส่งออกมาไม่ได้เจาะจงไปยังผู้ใด ทว่าทำเพียงแค่กวาดมองอย่างเหยียดหยาม

ในที่แห่งนี้

เขาคือผู้ที่มีความแข็งแกร่งเหนือกว่าอัจฉริยะเซียนมังกร ท่าทีหยิ่งผยอง

ทว่ามีคนผู้หนึ่งที่ยังคงไร้ซึ่งความหวั่นไหว

“ไม่ไว้หน้าท่าน? เอาชนะข้าสิ ท่านจึงจะมีคุณสมบัตินั้น”

สีหน้าของจ้าวเฟิงเย็นเยียบ

ภายใต้แรงกดดันของสายเลือดดวงตาจากโอรสสวรรค์สามตาที่มองอย่างหยามเหยียด ดวงตาซ้ายของเขาพลันแปรเปลี่ยนไปเป็นสีฟ้าหม่นเย็นยะเยือก

ทะเลสาบพลังดวงตาในมิติในดวงตาซ้ายได้ขยายออกจนมีขนาด 17-18 ฉื่อ(หน่วยวัดจีน:ฟุต) ระลอกคลื่นพลังดวงตาสั่นกระเพื่อมหมุนวนอย่างรุนแรง

พลังดวงตาที่เดือดพล่านได้กลับกลายเป็นกระแสน้ำเย็นเยียบ เผยให้เห็นถึงภายในของจ้าวเฟิงที่มีดวงวิญญาณในระดับเดียวกับผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด

ครืนนน เปรี้ยง

กลิ่นอายพลังดวงตาที่ไม่อาจมองเห็นทั้งสองเข้าปะทะกัน

ในเสี้ยววินาที ประกายแสงสีทองที่มองเห็นได้จางๆ ด้วยตาเปล่าก็ได้เข้าปะทะกับประกายแสงสีฟ้าหม่นห่างออกไป คลื่นความร้อนสีทองและม่านน้ำแข็งเย็นเยียบสีฟ้าเข้าหลอมรวมกัน ต่อต้านซึ่งกันและกัน

อัจฉริยะเซียนมังกรในบริเวณนั้นรับรู้ถึงแรงกดดันจากการต่อสู้ที่หยั่งรากฝังลึกในหัวใจและร่างกาย

“เป็นพลังดวงตาที่แข็งแกร่งยิ่งนัก”

หัวใจของถัวป๋าฉีและเนตรวิญญาณหนานจื่อสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว

พลังดวงตาของพวกเขา เมื่อเทียบกับยามที่จ้าวเฟิงและโอรสสวรรค์สามตาต่อสู้กันนั้นเหมือนราวกับภูเขาสองลูกที่กดทับลงมา ยากที่จะยืนหยัดอยู่ได้

ในระดับที่ไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่า

กลุ่มแสงสีทองนั้นคือสิ่งแทนพลังดวงตาของโอรสสวรรค์สามตา กลุ่มแสงสีฟ้าหม่นมาจากพลังดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิง

ผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ

“พลังดวงตาของเด็กนี่ราวกับว่าไม่ด้อยไปกว่าข้าแม้แต่น้อย…”

ดวงตาที่สามที่หน้าผากของโอรสสวรรค์สามตาเบิกกว้างขึ้น แสงสีทองที่ส่องออกมานั้นราวกับจะสามารถลบล้างทุกอย่างได้ในเสี้ยววินาที

แม้ว่าพลังดวงตาของเขาจะเพิ่มขึ้นควบรวมกันอย่างไม่หยุดยั้ง ทว่ากลับไม่อาจกุมความเหนือกว่าไว้ได้

ในยามนี้ เหล่าตัวตนชั้นแนวหน้าทั่วทั้งเมืองศักดิ์สิทธิ์ชินหยางต่างก็รู้สึกตื่นตัว

กลิ่นอายของการปะทะกันระหว่างสายเลือดดวงตาของโอรสสวรรค์สามตาและจ้าวเฟิงน่าหวาดกลัวอย่างน่าตระหนก โดยเฉพาะตัวตนของสายเลือดดวงตานั้นที่ให้ความรู้สึกแข็งแกร่งเป็นพิเศษ

เมืองศักดิ์สิทธิ์ชินหยาง บนหอคอยริมประตูเมือง

“นอกจากตระกูลสายเลือดดวงตาชนชั้นสูงทั้งสามแล้วยังคงมีสายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่งเช่นนั้นอยู่อีก”

บุรุษวัยกลางคนในชุดสีทองหรูหรายืนสองมือไพล่หลังอย่างเย่อหยิ่ง มองตรงห่างออกไป นัยน์ตาสั่นระริกไปชั่วพริบตา

บุรุษวัยกลางคนชุดทองที่ปรากฏตัวขึ้นผู้นี้มีลักษณะคล้ายโอรสสวรรค์สามตากว่า 4-5 ส่วน ทั้งบนหน้าผากยังปรากฏ ‘ดวงตาที่สาม’ อยู่

เขาคือผู้นำตระกูลชินหยางในยามนี้ บิดาของโอรสสวรรค์สามตา

“จ้าวเฟิงผู้นี้เยาว์วัยกว่าเฉิงเทียนนัก ทว่าพลังดวงตากลับยากที่จะคาดเดายิ่งกว่า นอกจากนั้น สายเลือดดวงตาข้างซ้ายของเขายังทรงพลังอย่างมาก ดูเหมือนจะไม่ใช่สิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด แต่เป็นสิ่งที่ได้รับมา”

เสียงถอนหายใจดังขึ้นที่ข้างใบหู

ข้างกายผู้นำตระกูลชินหยาง เมื่อใดไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ได้ปรากฏร่างของชายชราที่สวมหมวกฟางขึ้น

“ยอดผู้อาวุโส”

ผู้นำตระกูลชินหยางอดที่จะตกใจไม่ได้ สีหน้าเต็มไปด้วยความเคารพนอบน้อม

ในเวลาเดียวกัน เขาก็เอ่ยถามสิ่งที่เขาสงสัย “ไม่ได้ติดตัวมาแต่กำเนิด ทว่าเป็นสิ่งที่ได้รับมา… อย่าได้บอกข้าเชียวว่ามันคือเคล็ดวิชาชิงเนตร?”

“หากจะพูดถึงความแตกต่างแล้ว คนธรรมดาทั่วไปที่ไม่มีสายเลือดดวงตา มีหรือที่ในระยะเวลาสั้นๆ จะสามารถไล่ตามจนเทียบเคียงกับสายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปได้ นี่เป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะดูฝืนเกินไป”

ชายชราหมวกฟางส่ายศีรษะ

เมื่อผู้นำตระกูลชินหยางได้ยินเช่นนั้นก็อดที่จะยอมรับไม่ได้

คนทั่วไป มีหรือที่ดวงตาจะสามารถเปลี่ยนแปลงจนน่าพรั่นพรึงเพียงนี้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ

ในทางกลับกัน หากคนผู้นั้นมีสายเลือดดวงตาอยู่ก่อนแล้วมีการเปลี่ยนแปลง เช่นนั้นมันจึงจะเปลี่ยนแปลงได้มาก

ทว่าเรื่องของเรื่องคือ จ้าวเฟิงมีสายเลือดดวงตาเพียงดวงตาซ้าย ดวงตาขวาเป็นดวงตาปกติ มันเป็นไปได้มากกว่าว่าสายเลือดดวงตานั้นคือสิ่งที่ได้รับมา

“อย่าได้บอกข้าเชียวว่า… เป็นเคล็ดวิชาชิงเนตร”

ใบหน้าของผู้นำตระกูลชินหยางขาวซีด

“เคล็ดวิชาชิงเนตรเป็นวิชาต้องห้าม ทั้งโหดเหี้ยมต่อต้านลิขิตฟ้า คนทั่วไปหากต้องการที่จะช่วงชิงสายเลือดดวงตาที่ทรงพลังเช่นนั้นนับว่าเป็นไปได้ยาก”

ชายชราหมวกฟางปฏิเสธอีกครั้ง

ในเวลาเดียวกัน

ตระกูลชินหยาง ในพื้นที่รับแขก

สายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงและโอรสสวรรค์สามตาเข้าปะทะกัน ในเวลาสั้นๆ ไม่อาจตัดสินได้ว่าผู้ใดได้เปรียบหรือเสียเปรียบ

“สายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงสามารถรับมือกับโอรสสวรรค์สามตาได้แล้วหรือ?”

สถานการณ์ในยามนี้ได้ทำให้อัจฉริยะเซียนมังกรจำนวนมากในบริเวณนั้นเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงยากที่จะยอมรับในใจ จะอย่างไร โอรสสวรรค์สามตาเมื่อเทียบกับจ้าวเฟิงแล้วยังดูเหนือกว่าสองขั้น ในด้านของอายุ คนทั้งสองไม่ได้เป็นอัจฉริยะในยุคเดียวกัน อย่างน้อยก็ต่างกันหนึ่งรุ่น

“จ้าวเฟิง ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าจะมีพลังมากเพียงนั้น ทว่าความแข็งแกร่งของสายเลือดดวงตาเป็นเพียงแค่พื้นฐานของพลังดวงตา…”

‘ดวงตาที่สาม’ บนหน้าผากของโอรสสวรรค์สามตาเปิดกว้างขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ ส่งลำแสงสีทองทะลวงผ่านอากาศ สร้างแรงกดดันให้ร่างกายและจิตใจของคนมากขึ้นเป็นสองเท่า

“สายเลือดดวงตาของโอรสสวรรค์สามตาราวกับสามารถส่งผลต่อวิญญาณและร่างเนื้อได้พร้อมกัน”

หัวใจของจ้าวเฟิงบีบรัดแน่น ร่างกายปรากฏความเคร่งเครียดที่ไม่อาจอธิบายได้ขึ้น

ดวงตาเทพเจ้าของเขา เมื่อเทียบแล้วนับว่าส่งผลต่อดวงวิญญาณมากกว่า

ทว่าสายเลือดเนตรเซียนของโอรสสวรรค์สามตาดูราวกับเพิกเฉยต่อความแตกต่างระหว่างดวงวิญญาณและกายเนื้อ ส่งผลต่อทั้งสองส่วนแบบเดียวกัน

“ทั้งสองคนหยุด”

เสียงตวาดเย็นเยียบดังขึ้นก้องไปทั่ว ความเย็นเยียบแพร่กระจายแช่แข็งอากาศ แทรกซึมเข้าไปในร่างของผู้คน

อัจฉริยะเซียนมังกรในที่นั้นร่างสะท้านเฮือก โลหิตในร่างราวกับจับตัวแข็ง ร่างกายแข็งทื่อ

‘ปิงเว่ยเซียนจื่อ’ มุ่งตรงไปยังจ้าวเฟิงและโอรสสวรรค์สามตา อากาศถูกแช่แข็งจนกลายเป็นผลึกสีฟ้าใส ดูคล้ายกับอสรพิษน้ำแข็ง มัดร่างของจ้าวเฟิงและโอรสสวรรค์สามตาไว้พร้อมกัน พลังความเย็นมหาศาลนั้นได้แช่แข็งทุกสิ่ง เข้าจู่โจมแช่แข็งจ้าวเฟิงและโอรสสวรรค์สามตา หยุดการปะทะกันระหว่างสายเลือดดวงตา

“ปิงเว่ยเซียนจื่อผู้นี้บรรลุขั้นนายเหนือแท้แล้ว พลังความเย็นของนางได้เข้าสู่ระดับใหม่อย่างสิ้นเชิง”

จ้าวเฟิงกระตุ้นการเคลื่อนไหวของพลังสายเลือด หลอมละลายความเย็นในอากาศที่ทิ่มแทงร่างกาย

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาเองก็ต้องยอมหยุดการปะทะกับโอรสสวรรค์สามตา ปิงเว่ยเซียนจื่อดูเหมือนจะลงมือหยุดคนทั้งสอง ความการเคลื่อนไหวของนางนั้นดูเหมือนจะมุ่งเน้นไปทางจ้าวเฟิงมากกว่า

หากจ้าวเฟิงดื้อดึงต่อต้านก็เหมือนกับตกสู่วงล้อมการโจมตีของโอรสสวรรค์สามตาและปิงเว่ยเซียนจื่อ

“น้องเว่ย เหตุใดเจ้าถึง?”

โอรสสวรรค์สามตามุ่นคิ้วเข้าหากันเล็กๆ มองไปยังปิงเว่ยเซียนจื่ออย่างงุนงง

แม้ว่าพลังสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงดูจะไม่ด้อยไปกว่าเขา ทว่าโอรสสวรรค์สามตามั่นใจอย่างมากว่าเขาจะสามารถเอาชนะจ้าวเฟิงได้ในกระบวนท่าเดียว

มันไม่ใช่แค่เพียงเพราะสายเลือดเนตรเซียนของเขา

อีกเหตุผลหนึ่งคือเขามาจากตระกูลสายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างตระกูลชินหยาง ระบบวิชาสายเลือดดวงตาสมบูรณ์แบบ มีหรือที่คนผู้หนึ่งที่เพิ่งจะเริ่มต้นได้ไม่นานจะสามารถเทียบเคียงได้?

“พี่ชินหยาง จะอย่างไรพวกเราก็เป็นผู้จัดงาน ก่อนที่งานน้ำชาเซียนมังกรจะเริ่มต้นขึ้นก็ได้ลงมือต่อสู้แล้ว คำเล่าลือต่อจากนี้คงทำให้เราต้องอับอาย…”

ปิงเว่ยเซียนจื่อขอโทษขอโพยโอรสสวรรค์สามตา เอ่ยอธิบายต่ออีกฝ่ายและทุกคน เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้คนต่างก็ยอมรับ

มีคนจำนวนหนึ่งที่รู้สึกไม่พอใจกับการกระทำของโอรสสวรรค์สามตา

เหล่าผู้ที่เข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรล้วนมีสิทธิของตนเอง จ้าวเฟิงเองก็ต้องการจะจากไปด้วยตนเอง

การกระทำของโอรสสวรรค์สามตาเมื่อครู่นับว่าเป็นการยั่วยุก่อน จริงๆ แล้วมันมีนัยถึงการ ‘กลั่นแกล้ง’ อยู่บ้าง หากไม่ใช่จ้าวเฟิง เปลี่ยนเป็นคนทั่วไป บางทีคงถูกโอรสสวรรค์สามตาเยาะเย้ยถากถางจนเสียหน้าไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว

“น้องเว่ยเอ่ยได้มีเหตุผล ก่อนที่งานน้ำชาจะเริ่ม ในฐานะของผู้จัดงานแล้วคงไม่อาจลงมือได้ชั่วคราว เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้คนครหาว่าข้ารังแกคนอ่อนแอ”

โอรสสวรรค์สามตาแย้มยิ้มเย่อหยิ่ง

จ้าวเฟิงยืนนิ่งอยู่กับที่ อดที่จะใช้สายตาครุ่นคิดมองไปยังปิงเว่ยเซียนจื่อคราหนึ่งไม่ได้

นับว่าปิงเว่ยเซียนจื่อฉลาดยิ่งนัก

สถานการณ์นั้น หากโอรสสวรรค์สามตาชนะ ชัยชนะนั้นก็ไม่ได้ได้มาอย่างขาวสะอาด และหากเขาแพ้ก็คงจะพังทลายลงไปอย่างสิ้นเชิง มีหรือที่จะมีหน้ามาจัดงานน้ำชาเซียนมังกรต่อ?

ที่สำคัญไปกว่านั้น

การปะทะกันระหว่างพลังดวงตาของโอรสสวรรค์สามตาและจ้าวเฟิงนั้นยากที่จะหาผู้เหนือกว่า อย่างน้อยก็ไม่มีความแตกต่างอย่างชัดเจน หรือมิเช่นนั้น ปิงเว่ยเซียนจื่อย่อมคาดหวังให้โอรสสวรรค์สามตาสั่งสอนจ้าวเฟิง

“เช่นนั้นก็เอาเช่นที่จ้าวเฟิงว่า งานน้ำชาเซียนมังกรจะเริ่มต้นขึ้นในอีกสามวัน”

ปิงเว่ยเซียนจื่อเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม

เมื่อผู้คนได้ยินเช่นนั้นก็อดที่จะรู้สึกคาดไม่ถึงไม่ได้

จากข้อตกลงก่อนหน้าคือจะเลื่อนไปอีกสิบวัน งานน้ำชาเซียนมังกรจึงจะถูกจัดขึ้นอย่างเป็นทางการ

ทว่าบัดนี้ เป็นเพราะคำพูดไม่กี่คำของจ้าวเฟิง วันก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นสามวัน

นี่นับว่าไว้หน้าจ้าวเฟิงอยู่บ้าง อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นการจัดการของปิงเว่ยเซียนจื่อ

บนหอคอยกำแพงเมืองห่างออกไป

“ปิงเว่ย เด็กนี่นับว่ามีสายตาเฉียบแหลมนัก การต่อสู้นี้ถูกเลื่อนไปอีกสามวันให้หลัง นัยยะสำคัญคือเฉิงเอ๋อร์มีเวลาเตรียมตัว นอกจากนั้นก่อนที่คนทั้งสองจะประลองกันก็ยังมีโอกาสอีกมากในการสืบเสาะถึงข้อมูลของจ้าวเฟิง เพิ่มโอกาสสำเร็จให้กับเฉิงเอ๋อร์” บนใบหน้าของผู้นำตระกูลชินหยางเต็มไปด้วยความชื่นชม

จะอย่างไร การประลองระหว่างจ้าวเฟิงและโอรสสวรรค์สามตาก็คือการสื่อถึงตำแหน่งสายเลือดดวงตาอันดับหนึ่งของทวีป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version