Skip to content

King of Gods 511

King Of Gods

บทที่ 511 งานน้ำชาท้าประลอง

การยอมผ่อนปรนของปิงเว่ยเซียนจื่อได้ทำบรรเทาความไม่พอใจของเหล่าอัจฉริยะเซียนมังกรลง

ข้อเสนอใหม่ได้รับการตอบรับอย่างรวดเร็ว

“จ้าวเฟิง เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

ปิงเว่ยเซียนจื่อราวกับไม่สนใจบุญคุณความแค้นที่ผ่านมา เอ่ยถามอีกฝ่ายขึ้น

“ได้สิ”

จ้าวเฟิงรู้ดีว่าปิงเว่ยเซียนจื่อวางแผนจะถ่วงเวลา ทว่ามันก็ไม่ใช่การดีหากเขาจะปฏิเสธ

กลุ่มคนสลายตัว โอรสสวรรค์สามตาและปิงเว่ยเซียนจื่อเดินเคียงข้างกัน

“น้องเว่ย ลำบากเจ้ามากแล้ว”

บนใบหน้าของโอรสสวรรค์สามตาปรากฏความตื้นตัน แม้ว่าเขาจะเชื่อว่าการกระทำของปิงเว่ยเซียนจื่อไม่จำเป็นอยู่บ้างก็ตาม แม้ว่าโอรสสวรรค์สามตาจะคิดว่ามีโอกาสชนะอยู่มากและไม่ได้ใส่ใจจ้าวเฟิงมากมาย ทว่าสตรีที่เขารักได้ทำเพื่อเขาเพียงนี้ มีหรือที่เขาจะไม่รู้สึกซาบซึ้ง?

“พี่เฉิง ท่านต้องเตรียมตัวในการประลองนี้ให้ดี แก้แค้นให้ข้า…”

ปิงเว่ยเซียนจื่อนึกถึงความอัปยศอดสูที่ได้รับจากจ้าวเฟิงในงานชุมนุมเซียนมังกร ในใจเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่ไม่อาจกักเก็บ ทว่าโอกาสในการทำให้จ้าวเฟิงพ่ายแพ้อย่างยับเยินครานี้ นางจำต้องวางแผนอย่างระมัดระวัง ไม่อาจเผอเรอได้

ในเสี้ยวพริบตา เวลาสามวันได้ผ่านพ้นไป

ในสามวันนี้ ภายใต้สายตาอันเฉียบแหลมของปิงเว่ยเซียนจื่อ โอรสสวรรค์สามตาได้ปรึกษากับผู้นำตระกูลชินหยางและยอดผู้อาวุโส

จะอย่างไร ยามที่จ้าวเฟิงและโอรสสวรรค์สามตาปะทะกัน กลิ่นอายสายเลือดดวงตาก็ได้ถูกเปิดเผย

ในยามค่ำคืน

ใกล้เมืองศักดิ์สิทธิ์ชินหยาง ณ ทุ่งราบใกล้ตีนเขา ริมฝั่งแม่น้ำ งานน้ำชาเซียนมังกรก็ได้ถูกจัดขึ้น

คนที่ทำให้จ้าวเฟิงรู้สึกผิดหวังคือ ซินอู๋เหิน รวมทั้งหยูเทียนฮ่าวไม่ได้มา

“บางทีซินอู๋เหินอาจจะตายอยู่ในมรดกแล้ว ทว่าหยูเทียนฮ่าว ในครึ่งปีที่ผ่านมานี้ไม่ได้ปรากฏตัวเลย”

ในใจจ้าวเฟิงไม่ได้ตั้งความหวังไว้สูงนัก งานน้ำชาเซียนมังกรนี้ดูเหมือนกับงานชุมนุมอัจฉริยะของเมืองประกายอรุณอยู่บ้าง ส่วนที่แตกต่างคงเป็นเหล่าผู้ที่เข้าร่วมงานน้ำชาคืออัจฉริยะเซียนมังกรที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของทวีป

ในพื้นที่โล่งกว้าง เหล่าอัจฉริยะเซียนมังกรยืนกระจัดกระจายกันเป็นกลุ่มสามสี่คน

จ้าวเฟิงย่อมเป็นตัวแทนของอาณาจักรนภา รวมทั้งแดนเหนือ

ข้างกายของเขาคืออัจฉริยะจากแดนเหนือ นอกจากอัจฉริยะเซียนมังกรของอาณาจักรแล้วยังมีโม่เทียนอี้ ชางหยูเยว่ หลิงเยว่กงจู้ และยอดอัจฉริยะแดนเหนือคนอื่นๆ

ชื่อเฉิงเทียนและตันไถ่หลันเยว่เองก็นั่งอยู่ตามฝั่งของตน

งานน้ำชาเพียงเพิ่งเริ่ม ช่วงแรกคือการแลกเปลี่ยนวิชา เหล่าอัจฉริยะรวมตัวกัน พูดคุยถึงเคล็ดวิชาในที่ต่างๆ ของทวีป กระทั่งรวมถึงวิชาในมรดกต่างแดนบางส่วน

จ้าวเฟิงฟังอย่างสนใจ

โอรสสวรรค์สามตาย่อมเป็นผู้นำ เขาเอ่ยพูดอย่างมั่นใจในงานน้ำชา สิบปีที่ผ่านมานี้เขาได้อาศัยอยู่ในต่างแดน ประสบการณ์ความรู้ย่อมไม่ธรรมดา

จากนั้นจึงเป็นยอดอัจฉริยะบางคน ไม่ว่าเอ่ยถามเรื่องใด โอรสสวรรค์สามตาก็จะสามารถอธิบายได้อย่างน้อยหนึ่งหรือสองส่วน ได้เรื่องอยู่บ้าง

จ้าวเฟิงอดที่จะชื่นชมไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านความแข็งแกร่ง ความรู้ ประสบการณ์ หรือทัศนวิสัย โอรสสวรรค์สามตาล้วนเหนือกว่าคนหนุ่มสาวในงานชุมนุมเซียนมังกรครั้งนี้นัก

ในระดับหนึ่ง โอรสสวรรค์สามตาไม่นับว่าอยู่ในรุ่นดวงดาราที่กำลังรุ่งโรจน์แล้ว ทว่าเป็นชายหนุ่มที่กำลังก้าวเข้าสู่ขั้นชนรุ่นเก่า

หลังจากเอ่ยแลกเปลี่ยนกันอย่างกระตือรือร้น การประลองที่แสนเร่าร้อนก็เริ่มต้นขึ้น

ผู้ที่เดินขึ้นไปยังลานประลองคืออัจฉริยะเซียนมังกร ทั้งยังเป็นยอดฝีมืออัจฉริยะเซียนมังกรที่มีชีวิตรอดมาจากมรดกต่างแดน

อัจฉริยะเซียนมังกรเหล่านี้กลับมาจากมรดกต่างแดน พลังฝึกตนเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้เกิดความมั่นใจ เป้าหมายในการท้าประลองจึงมุ่งไปยังเหล่าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ การท้าประลองของเหล่าอัจฉริยะเซียนมังกรทั้งหลายจบลงที่ความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าผู้ท้าประลองคนต่อไปมีความแข็งแกร่งไม่เลว

“ตันไถ่หลันเยว่ ให้ข้าได้ทดสอบความก้าวหน้าของเจ้าหน่อยเถอะ”

โม่เทียนอี้เดินออกไปอย่างมั่นคงจนถึงที่โล่งกว้าง

หลังจากกลับมาจากมรดกต่างแดน โม่เทียนอี้ก็ได้รับวาสนาอันใหญ่โต หลังจากกลับมายังสำนักและทรมานตนเองอยู่นาน พลังฝึกตนก็เข้าสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอด

บัดนี้ ไม่ว่าจะเป็นสำนึกรู้พลังฝึกตนของเขาหรือวิชาต่อสู้ เมื่อเทียบกับผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ในงานชุมนุมเซียนมังกรเมื่อหนึ่งปีก่อนแล้วก็มีเพียงแต่จะแข็งแกร่งกว่า ไม่ด้อยกว่า

ทว่าตันไถ่หลันเยว่ยังไม่บรรลุขั้นนายเหนือแท้ มีพลังฝึกตนในขั้นครึ่งก้าวสู่ขั้นนายเหนือแท้

ในห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ พลังฝึกตนของตันไถ่หลันเยว่ล้าหลังอยู่ครึ่งขั้น ทว่านางคือนักฝึกสัตว์ พลังต่อสู้ของนางมาจากสัตว์วิเศษเสียเป็นส่วนมาก

“ฮี่ฮี่ มาสิ ข้า ตันไถ่หลันเยว่ ไม่หวั่นเกรงคำท้าประลองใด”

ตันไถ่หลันเยว่ในอาภรณ์สีสด กระโปรงผ่าสูงเผยให้เห็นขาเรียวขาวราวบัวหิมะที่เคลื่อนไหวอย่างงดงาม ให้ความรู้สึกชวนฝัน

เปรี้ยง

ตันไถ่หลันเยว่วาดมือ เรียก ‘มังกรดินเขาเดียว’ ออกมา

หลังจากผ่านการกระตุ้นจากในมรดกต่างแดน มังกรดินเขาเดียวก็บรรลุขั้นนายเหนือแท้อย่างสมบูรณ์ พลังกายและพลังป้องกันต่างเหนือกว่าผู้อื่นในระดับเดียวกัน

โม่เทียนอี้แย้มยิ้มบางไร้ซึ่งความหวาดกลัว ผลักฝ่ามือออก สร้างเงาเทือกเขาสีทองใสขึ้นจำนวนมาก ผนึกโอบล้อมสร้างแรงกดดันไปยังตันไถ่หลันเยว่จนร่างของนางทรุดลงเล็กๆ

ในด้านพลังต่อสู้ โม่เทียนอี้ไม่ต่างจากขั้นนายเหนือแท้เท่าใดนัก ทว่าตันไถ่หลันเยว่คือนักฝึกสัตว์ ไม่เชี่ยวชาญในการต่อสู้ด้วยตนเอง ทว่ามังกรดินเขาเดียวในยามนี้พลังต่อสู้ไม่อาจเทียบในอดีตได้ แม้ไม่คำราม เพียงขยับปีกก็สะท้านฟ้า ทุกการเคลื่อนไหวทุกการกระทำสั่นสะเทือนพื้นดิน

กระทั่งผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ทั่วไปก็ไม่ต้องการที่จะปะทะกับมังกรดินเขาเดียวตรงๆ ทว่าในเมื่อโม่เทียนอี้กล้าที่จะท้าประลองตันไถ่หลันเยว่ แน่นอนว่าเขาย่อมมีสิ่งที่ได้เปรียบ

ร่างของโม่เทียนอี้เคลื่อนไหวอย่างแปลกประหลาด พลิ้วกายไปหยุดลงเหนือร่างอันใหญ่โตของมังกรดินเขาเดียว ทิ้งไว้เพียงเงาพร่าเลือนสีทอง

“กลับมาจากมรดกต่างแดน พลังโดยรวมของโม่เทียนอี้พัฒนาขึ้น การโจมตี การป้องกัน ความเร็วการเคลื่อนไหว… ไร้ซึ่งจุดอ่อนที่ชัดเจน”

จ้าวเฟิงลอบผงกศีรษะ

โม่เทียนอี้พลิ้วกายลงบนร่างของมังกรดินเขาเดียว แสดงการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและคล่องแคล่วกว่า ทุกฝ่ามือทุกหมัดที่ใช้ออกราวกับเทือกเขาที่กดทับลงมา บีบอัดตันไถ่หลันเยว่ทุกช่องทาง

ตันไถ่หลันเยว่คือนักฝึกสัตว์ แม้ว่าพลังฝึกตนจะได้เปรียบอยู่เล็กน้อย ทว่าก็ไม่ได้เชี่ยวชาญการต่อสู้ระยะประชิด ทำให้ถูกไล่ต้อนอยู่หลายส่วน

ผู้คนอดที่จะคิดไม่ได้ว่า อย่าบอกเชียวว่าตำแหน่งห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้จะเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วเพียงนี้?

งานชุมนุมเซียนมังกรสิ้นสุดลง ห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้กลับมาจากมรดกต่างแดน พลังฝึกตนเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก

หยูเทียนฮ่าว จ้าวเฟิง ชื่อเฉิงเทียน และปิงเว่ยเซียนจื่อต่างก็บรรลุขั้นนายเหนือแท้แล้ว ทั้งหยูเทียนฮ่าวเมื่อไม่นานมานี้ยังบรรลุขั้นนาเยหนือแท้ระดับต่ำด้วย

เมื่อเทียบกันแล้ว ตันไถ่หลันเยว่ดูจะอ่อนแอกว่า ยังไม่ได้บรรลุขั้นนายเหนือแท้

“วิชาหยวนจี้สือเซียน”

 

เงาเทือกเขาสีทองที่ปรากฏขึ้นจากฝ่ามือของโม่เทียนอี้พลันส่องประกายสีเงินไหวกระเพื่อม ราวกับกระแสไฟฟ้าที่ผลิบานออก ให้ความรู้สึกราวกับถูกรัดพันอย่างแปลกประหลาด

ตันไถ่หลันเยว่เคลื่อนกายหลบไปข้างๆ ทว่าราวกับถูกจำกัดไว้ด้วยแรงโน้มถ่วงและสนามแม่เหล็กที่ไม่อาจมองเห็น

เคร้ง

ภายใต้แรงกดดันที่หนาแน่นนั้น ตันไถ่หลันเยว่ได้เผยรอยยิ้มบางออกมา:”อสรพิษหญ้าน้ำแข็ง”

มือเล็กของนางวาดออก งูตัวเล็กสีผลึกใสราวน้ำแข็งแยกตัวออกจากข้อมือของนาง กลายเป็นประกายแสงเย็นเยียบดุดันพุ่งผ่านอากาศพร้อมกับกลิ่นอายเย็นเยียบอย่างน่าพรั่นพรึง สลายวิชาของโม่เทียนอี้ไปในเสี้ยววินาที

ฟึ่บ

โม่เทียนอี้เพียงอยากจะขยับหลบ ทว่ากลับรู้สึกได้ว่าฝ่ามือแข็งค้างเย็นยะเยือกราวกับถูกรัดไว้ด้วยบางอย่าง ความเย็นแพร่กระจายไปทั่วร่างในเสี้ยววินาที

อสรพิษสีผลึกมีความรวดเร็วคล่องแคล่ว ไม่มีผู้ใดที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันรัดแขนของโม่เทียนอี้ได้อย่างไร

หลังจากผ่านไป 1-2 ลมหายใจ

ตุบ

ร่างกายที่เย็นเยียบแข็งค้างของโม่เทียนอี้ถูกมังกรดินเขาเดียวกระทืบลงไป

“ฮี่ฮี่ กลับมาจากมรดกต่างแดน เจ้าคิดว่าข้าจะมีสัตว์วิเศษขั้นนายเหนือแท้เพียงตัวเดียวหรือ”

ตันไถ่หลันเยว่สะบัดมือ อสรพิษน้ำแข็งก็กลับไปหลบซ่อนที่ข้อมือของนาง

อัจฉริยะเซียนมังกรในที่นั้นเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง

หากจะพูดง่ายๆ ก็คือ ตันไถ่หลันเยว่เหมือนกับมีผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้อยู่ข้างกายสองคน

มังกรดินเขาเดียวนั่นมีร่างกายใหญ่โตราวภูเขา นับว่าเป็นโล่เนื้อชั้นยอด ใช้ปะทะซึ่งๆ หน้า มนุษย์ขั้นนายเหนือแท้ทั่วไปยากที่จะสั่นคลอนมันได้ ทว่าข้อเสียของมังกรดินเขาเดียวนั้นชัดเจน มันเชื่องช้างุ่มง่าม ถูกกดดันได้ง่ายโดยมนุษย์ที่มีความคล่องแคล่วสูงกว่า

ทว่าบัดนี้ ตันไถ่หลันเยว่ได้ครอบครองอสรพิษหญ้าน้ำแข็งตัวหนึ่งที่สามารถแพร่ความเย็นอันน่าพรั่นพรึงออกมาได้ ทั้งยังคล่องแคล่วว่องไวยากจะเทียบ ยอดเยี่ยมในการต่อสู้ระยะประชิดและลอบโจมตี

“มีสัตว์วิเศษขั้นนายเหนือแท้ตัวเล็กกับตัวใหญ่คอยประสานกัน ตันไถ่หลันเยว่นับได้ว่าไร้ซึ่งจุดอ่อน”

จ้าวเฟิงรู้ว่าสัตว์วิเศษในมือของตันไถ่หลันเยว่นั้นสามารถสร้างกองทัพขึ้นกองทัพหนึ่งได้อย่างแน่นอน

แน่นอนว่าสิ่งนี้ เมื่อเทียบกับแผนการหนึ่งร้อยศพของจ้าวเฟิงแล้วไม่อาจนับเป็นอันใดได้

ไม่นานมานี้ หุ่นเชิดศพขั้นนายเหนือแท้ในมือของจ้าวเฟิงมีศพพิษสองตัว รวมกับตัวที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อครึ่งปีมานี้อีก 2-3 ตัว รวมแล้วคือหุ่นเชิดศพขั้นนายเหนือแท้ห้าตัว

ในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน

เหล่าอัจฉริยะเซียนมังกรได้ท้าประลองชื่อเฉิงเทียน ปิงเว่ยเซียนจื่อ และ

ตันไถ่หลันเยว่ สามผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้

สุดท้ายแล้ว การท้าประลองของคนทั้งหมดก็สิ้นสุดลงด้วยความล้มเหลว

ความแข็งแกร่งของชื่อเฉิงเทียนและปิงเว่ยเซียนจื่อ เมื่อเทียบกับตันไถ่หลันเยว่แล้วมีเพียงแต่จะแข็งแกร่งกว่า ไม่ด้อยกว่า

พลังสายเลือดของชื่อเฉิงเทียนพัฒนาขึ้นไปอีก หนึ่งหมัดส่งร่างของหวังเสี่ยวก้วยให้กระเด็นลอยไปได้

“กายาวานรสวรรค์”

หวังเสี่ยวก้วยตวาด คำรามขึ้นอย่างไม่เต็มใจ เริ่มโจมตีชื่อเฉิงเทียนอย่างบ้าคลั่ง

ชื่อเฉิงเทียนหัวเราะ ร่างราวกับยักษ์ศิลา รับการโจมตีของหวังเสี่ยวก้วยตรงๆ

ไม่ว่าจะโจมตีใช้วิชาอันใด หวังเสี่ยวก้วยก็ถูกจัดการจนยับเยิน ทว่าชื่อเฉิงเทียนกลับไร้ซึ่งรอยขีดข่วน ทั้งยังไม่ได้จู่โจมกลับแม้สักครั้ง

พลังป้องกันของชื่อเฉิงเทียน หากไม่ได้บรรลุขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอดก็ยากที่จะทำลายได้”

จ้าวเฟิงมั่นใจว่าพลังป้องกันและพลังกายของชื่อเฉิงเทียนแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาคนทั้งหมดในที่นั้น

ควรรู้ว่าในอาณาจักรนภา หวังเสี่ยวก้วยคืออัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดหากไม่นับจ้าวเฟิง

การลงมือของปิงเว่ยเซียนจื่อได้สร้างความหวาดกลัวให้แก่อัจฉริยะเซียนมังกรในที่นั้นอย่างมาก เอาชนะยอดฝีมือของทวีปในระดับเดียวกับโม่เทียนอี้ไป 2-3 คนอย่างง่ายดาย ความแข็งแกร่งของนางเมื่อเทียบกับชื่อเฉิงเทียนและตันไถ่หลันเยว่แล้วยังแข็งแกร่งกว่าครึ่งขั้น

บริเวณเทือกเขาห่างออกไป

ผู้นำตระกูลชินหยางและชายชราหมวกฟางยืนอยู่บนยอดเขา มองลงไปยังการประลองเบื้องล่าง

“ในยามที่มีอายุเท่ากัน ยุคของเฉิงเอ๋อร์และจ้าวเฟิง เมื่อเทียบกับหยูเทียนฮ่าวแล้วนับว่ายังมีความแตกต่างอยู่บ้างจริงๆ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ถูกเลือกทั่วไปจะสามารถเทียบได้”

บนใบหน้าของชายชราหมวกฟางปรากฏความเคร่งเครียด

“ทว่าไม่ใช่อัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ไร้เทียมทานทุกคนจะสามารถเติบโตได้อย่างเฉิงเอ๋อร์”

บนใบหน้ายิ้มแย้มของผู้นำตระกูลชินหยางปรากฏความเย็นชาอยู่บ้าง

ครึ่งวันต่อมา ในงานน้ำชาเซียนมังกร ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ทั้งหลายก็ยังคงไม่พ่ายแพ้

ไม่ว่าจะเป็นตันไถ่หลันเยว่ ชื่อเฉิงเทียน หรือปิงเว่ยเซียนจื่อต่างก็แสดงให้เห็นถึงพลังที่แข็งแกร่งเกินกว่าอัจฉริยะเซียนมังกรทั่วไปอย่างมาก

ทว่า กระทั่งคนผู้หนึ่งลงมือ ตำนานนี้ก็ได้ถูกทำลายลง

นั่นคือชางหยูเยว่

หลังจากออกมาจากมรดกเจ็ดดาบ ชางหยูเยว่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ในแคว้นเมฆาคล้อย คู่ต่อสู้ที่ผ่านมามีพลังฝึกตนสูงถึงขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด

ผู้ที่นางท้าประลองเป็นคนแรกคือตันไถ่หลันเยว่

จิตแห่งดาบที่ผ่านสงครามมาเต็มไปด้วยความอำมหิต ความเย็นเยียบนั้นราวกับแทรกซึมไปทุกอณูของอากาศ เหล่าผู้ชมโดนรอบรู้สึกราวกับจิตใจโดนทิ่มแทง

หลังจากประลองไป 50 กระบวนท่า

มังกรดินเขาเดียวหวาดผวา ถูกจิตแห่งดาบทำร้ายจนวิญญาณบาดเจ็บ สิ้นสติไป

“มรดกเจ็ดดาบ… สำนึกรู้จิตแห่งดาบของเจ้าได้เข้าสู่สภาวะที่สามารถต้านทานผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ได้แล้ว”

ใบหน้าของตันไถ่หลันเยว่ซีดขาว บนร่างปรากฏรอยเลือดขึ้นหลายแห่ง

หากสู้ต่อไป สัตว์วิเศษของนางย่อมตกอยู่ในสภาวะวิกฤติ จนต้องยอมแพ้

ชางหยูเยว่ชนะ

หลังจากนั้น นางจึงท้าประลองปิงเว่ยเซียนจื่อและชื่อเฉิงเทียน สองผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ หลังจากผ่านไปหนึ่งร้อยกระบวนท่าก็ไม่มีสถานการณ์แพ้ชนะอย่างชัดเจน

ความจริงแล้ว หากไม่ใช่เพราะชื่อเฉิงเทียนและปิงเว่ยเซียนจื่อมีวิธีป้องกันที่โดดเด่นก็คงจะพ่ายแพ้ให้แก่ชางหยูเยว่ไปแล้ว โดยไม่ต้องสงสัย ชางหยูเยว่ได้กลายเป็นผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้คนใหม่แทนตันไถ่หลันเยว่

เหล่าอัจฉริยะเซียนมังกร ณ ที่นั้นและเหล่าผู้ชมจากหลากแดนล้วนมีท่าทีตื่นเต้นที่ได้เป็นพยานให้แก่ปาฏิหาริย์นี้

ทว่า

ในงานน้ำชาเซียนมังกรยามนี้ สามผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ล้วนถูกท้าประลอง มีเพียงแค่จ้าวเฟิงที่ยังไม่ถูกท้าประลอง

ในยามนี้ก็ยังคงไม่มีผู้ใดท้าประลองจ้าวเฟิง

หากจะพูดตามตรงแล้ว ในช่วงเวลานี้ไม่มีผู้ใดกล้าท้าประลองเขาเสียมากกว่า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version