บทที่ 544 ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้น
สำหรับการคัดเลือก ‘ผู้สูงศักดิ์’ คนดังกล่าว ทั้งสามสำนักล้วนแต่เสนอยอดฝีมือของสำนักตนเอง
โครงกระดูกสีทองและราชันย์ปราณเทวะทั้งสองล้วนแต่มีคนที่ต้องการเสนอชื่อ
“หินที่ปูทางไว้ในคราวก่อน ผลไม่เป็นไปตามที่พวกเราคาดหวังไว้ นี่เป็นกองกำลังที่จะส่งเข้าไปเป็นครั้งแรก จะต้องเข้าไปสร้างฐานมั่นคงภายในมิติซากปรักหักพังให้ได้”
สายตาเย็นชาของเฉิงเยว่เซียนกูมองกวาดไปยังฝูงชน
สร้างฐานมั่นคง?
ราชันย์ปราณเทวะอีกสองคนที่เหลืออดคิดหนักไม่ได้
ปัจจัยสำคัญของการสร้างฐานที่มั่นคงอาจจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับ ‘พลังรบ’
หากจะนำกลุ่มคนทะลวงเข้าไปในซากปรักหักพังสือเฉิง ปัจจัยที่ส่งผลให้สำเร็จมีมากมายเช่น พลัง ปัญญา หรือความสามารถในการวางแผน
“อาจารย์อา มอบภารกิจนี้ให้ข้าเถิด!” เด็กหนุ่มร่างท้วมท่าทางเฉื่อยชาเอ่ยปากขึ้นท่ามกลางฝูงชน
ผู้เยาว์ร่างค่อนข้างท้วมผู้นี้ฝึกตนสูงจนไปถึงขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิด กลิ่นอายพลังย่อมน่ากลัวกว่าผู้สูงศักดิ์ธรรมดา
ลู่เทียนอี้!
ยอดฝีมือจากสามสำนักไม่น้อยมองไปยังลู่เทียนอี้ด้วยสีหน้าแปลกประหลาด ในใจเกิดหวั่นเกรงขึ้นมา
ถึงแม้ว่าลู่เทียนอี้เพิ่งทะลวงเป็นผู้สูงศักดิ์ แต่เขาคำนับราชันย์ปราณเทวะเป็นอาจารย์ มรดกที่ใช้ฝึกตนจึงเหนือกว่าผู้สูงศักดิ์ธรรมดาทั่วไป
ว่ากันว่า ยามที่ลู่เทียนอี้อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดเคยต่อกรกับผู้สูงศักดิ์ อีกทั้งในระยะที่ผ่านมาเขาทะลวงขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิด และเคยเอาชนะผู้สูงศักดิ์อาวุโสมาหลายคนติดกัน
คนทั้งหลายไม่เคยสงสัยในพลังรบของลู่เทียนอี้ ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายเป็นศิษย์ของราชาในขอบเขตปราณเทวะ จึงน่าจะมีไพ่เด็ดอะไร
“เทียนอี้?” แววตาของเฉิงเยว่เซียนกูทอดมาบนร่างของลู่เทียนอี้ ยิ้มน้อยๆ แล้วส่ายหัว
“พลังของเจ้า อาจารย์อาไม่สงสัยเลย แต่ว่าการจะเข้าไปในซากปรักหักพังเป็นคนแรก แล้วยังต้องเป็น ‘ผู้นำ’ ในการสร้างฐานที่มั่น เจ้าไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด”
เฉิงเยว่เซียนกูไม่ลังเลเลยที่จะปฏิเสธ “ลู่เทียนอี้”
ลู่เทียนอี้ไม่ยินยอม แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนปณิธานของราชันย์ปราณเทวะ
“ดูท่าเฉิงเยว่เซียนกูน่าจะมีตัวเลือกแล้ว” โครงกระดูกสีทองสบตากับราชาลิทธิมารแวบหนึ่ง
เป็นจริงเช่นนั้น
แววตาของเฉิงเยว่เซียนกูทอดมองไปยังสตรีชุดชาววังสีฟ้าท่าทางนุ่มนวลราวธารน้ำในกลุ่มคน
“ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้น!” สตรีในชุดสีฟ้าท่าทางสุภาพสำรวม หมดจดงดงาม ผิวพรรณผุดผ่องดุจผิวทารกน้อย ไร้ตำหนิใดราวกับไม่ใช่คนบนโลกมนุษย์
ในพริบตาเดียว
สายตาของกลุ่มคนล้วนแต่จับจ้องไปยังเรือนร่างของสตรีในชุดสีฟ้า หรือก็คือ ‘ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้น’
บรรดาบุรุษทั้งหลายในดวงตามีแววตกตะลึง ทั่วที่แห่งนี้ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นนับได้ว่างามล่มเมืองอย่างแท้จริง
“เป็นนาง?”
ราชันย์ปราณเทวะที่เหลือทั้งสองหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่เมื่อครุ่นคิดให้ดีก็เข้าใจทันที
“ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นเป็นผู้รักษาอันดับหนึ่งของดินแดนหมู่เกาะเทียนหลู เชี่ยวชาญในการรักษาบาดแผลและอาการบาดเจ็บเป็นอย่างยิ่ง”
“ว่ากันว่า กองทัพที่นำโดยผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นเคยทำภารกิจอันตรายระดับหกหลายครั้ง ล้วนแต่ไม่เคยมีการล้มตายเกิดขึ้น ทำลายสถิตินับหมื่นปีไปแล้ว”
ฝูงชนถกเถียงอื้ออึง ในตอนแรกผู้คนบางส่วนยังมีข้อกังขา
ในเมื่อ ‘ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้น’ ผู้นี้ของสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างเป็นผู้สูงศักดิ์ที่เชี่ยวชาญการรักษาอยู่แนวหลัง แนวหน้าบุกเข้าโจมตีมิติซากปรักหักพังควรจะมอบหมายให้กับอัจฉริยะผู้มีความชำนาญในการโจมตีถึงจะถูก
“ให้สตรีนางนี้ลงมือก็พอได้อยู่” โครงกระดูกสีทองและราชาลัทธิมารลังเลเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด
ตามแผนการวางหมากของเฉิงเยว่เซียนกู กำลังพลแรกที่ลักลอบเข้าไปในมิติซากปรักหักพังจะต้องลงหลักสร้างฐานที่มั่นให้ได้
จุดสำคัญอยู่ที่คำว่า ‘มั่นคง’ เพียงคำเดียว
“ในบรรดาผู้สูงศักดิ์ ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นถือได้ว่าพลังรบไม่สูงมาก ถนัดวางแผน กำลังพลที่นางนำทัพโดยมากแล้วล้มตายน้อยนัก” หลังจากถกเถียงกันแล้ว ยอดฝีมือของทั้งสามสำนักจึงยอมรับในตัวของผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้น
นอกจากผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นที่เป็นผู้นำ ถัดมาจึงได้เลือกคนในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดทั้งสี่ แล้วเลือกนายเหนือแท้ระดับสุดยอดประมาณสิบกว่าคน ผู้ถูกเลือกที่เป็นยอดฝีมือทั้งหลายต่างมีการชิงดีชิงเด่นกันอยู่ในที
สุดท้าย กองกำลังพลทั้งหมดรวมเป็นสิบยี่สิบคน
เตรียมตัวออกเดินทางที่ด้านหน้าของ ‘ทางเชื่อมมิติ’
หุบเขาลี้ลับ
จ้าวเฟิงนั่งอยู่บนหอคอยพฤกษาปีศาจ ทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่งจึงจะใช้พลัง ‘เนตรสวรรค์’ สักครั้งเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ทั้งหมดจากมุมสูง
ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ เขาได้ฝึกฌานเพื่อพัฒนาความสามารถใหม่ของวิชาดวงตา…วิชาเคลื่อนย้ายกลางอากาศ
‘เคลื่อนย้ายกลางอากาศ’ ที่ว่าคือการดูดซึมสิ่งของใดๆ ที่อยู่กลางอากาศย้ายเข้ามาภายในมิติดวงตาซ้าย
ในครั้งแรกเริ่มปลดปล่อยวิชาดวงตาดังกล่าว ส่งผลให้พลังดวงตาของจ้าวเฟิงสูญสลายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อฝึกฌานกับความสามารถในการควบคุมให้ลึกซึ้งขึ้นแล้ว การสิ้นเปลืองพลังดวงตาก็ลดลงไปมาก
โชคยังดีที่พลังวิญญาณของจ้าวเฟิงในวันนี้ล้วนแต่เทียบเท่าผู้สูงศักดิ์ ทั้งขอบเขตจิตวิญญาณก็แตะไปถึงขั้นผู้สูงศักดิ์ จึงสามารถแบกรับการใช้พลังดังกล่าวได้หลายครั้ง
ในช่วงนี้ จ้าวเฟิงเข้าใจในวิชา ‘เคลื่อนย้ายกลางอากาศ’ ขึ้นค่อนข้างมาก
สวบ!
เพียงหนึ่งห้วงความคิด ในมือของจ้าวเฟิงก็ปรากฏวารีคืนชีวิตหยดหนึ่ง ที่แท้แล้วสิ่งของที่ถูกดูดซึมเข้าไปภายในมิติดวงตาซ้ายยังสามารถเรียกออกมาได้
สวบ!
จ้าวเฟิงกระตุ้นดวงตาเทพเจ้าอีกครั้ง ‘วารีคืนชีวิต’ ที่อยู่ใกล้สายตาจึงหายไป แล้ววินาทีถัดมาก็ปรากฏบนอากาศที่ไกลออกไปราวครึ่งลี้
การเคลื่อนย้ายที่ไร้ร่องรอยแบบนี้เป็นพลังมิติประเภทหนึ่ง
“ในมิติดวงตาซ้ายของข้าเท่ากับว่าเป็น ‘จุดพัก’ ที่ดูดซึมเอาสิ่งของเข้ามา แล้วจึงย้ายไปไว้จุดอื่นในมิติอย่างรวดเร็ว” จ้าวเฟิงยิ้มน้อยๆ
การ ‘เคลื่อนย้ายกลางอากาศ’ ช่างสิ้นเปลืองพลังวิญญาณและพลังดวงตา ในทุกๆ วันเขาจะฝึกฝนวันละสี่ห้าครั้ง เพื่อประคับประคองสภาวะสูงสุดของตนเองไว้
ด้วยเพราะเขาไม่รู้เลยว่าสามสำนักที่โลกภายนอกจะมีลูกเล่นอะไรอีกในครั้งต่อไป ในตอนบ่ายวันนั้น จ้าวเฟิงปิดตาฝึกฌาน เตรียมพร้อมที่จะฝึกฝนวิชา ‘เคลื่อนย้ายกลางอากาศ’ อีกครั้ง
หืม?
ฉับพลัน ดวงตาเทพเจ้าของเขาก็รู้สึกถึงแรงกระเพื่อมของมิติ ซึ่งมาจากใจกลางของรอยโหว่ในหุบเขาลี้ลับ แรงกระเพื่อมมิติในครั้งนี้แข็งแกร่งยิ่งนัก
ราวกับว่ามีพลังมิติที่แปลกประหลาดพยายามทะลวงเข้ามา
“จ้าวเฟิง ระวัง! โลกภายนอกพยายามส่งเหล่ายอดฝีมือจำนวนหนึ่งผ่านค่ายกลมิติเข้ามาภายใน” น้ำเสียงของเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงดังขึ้นภายในหัวของจ้าวเฟิงทันที
แล้วในเวลาเดียวกันนี้
เจ้าหอโครงกระดูก เจ้าแมวขโมย กับจ้าวหยูเฟ่ยล้วนได้รับข่าวคราวนี้โดยถ้วนทั่วกัน
พวกเขากลับไม่ได้ตื่นตระหนก เพราะอยู่ในสภาพพร้อมรบเสมอ
วิ้ง~
ใจกลางของหุบเขาลี้ลับ รอยร้าวเกิดฉีกออกเป็นรอยแยก ด้านในเป็นแสงสีเงินแวววาว กลิ่นอายพลังที่แข็งแกร่งและแรงกระเพื่อมของมิติทำลายต้นไม้ที่อยู่ในบริเวณด้านข้างจนสิ้น
สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในขั้นต่ำกว่าผู้สูงศักดิ์ ถ้าหากว่าอยู่ภายในพื้นที่แห่งนี้เกรงว่าจะถูกทำลายให้สูญสลายในชั่วพริบตา
พรึ่บ สวบ สวบ สวบ!
ภายในปากทางเชื่อมมีเงาของเหล่ายอดฝีมือเรียงรายทะยานออกมาทีละคน
กลิ่นอายพลังที่แข็งกล้าทั้งสิบยี่สิบพลัง ถึงแม้จะเป็นกลิ่นอายพลังที่อ่อนแอที่สุดก็อยู่ในระดับนายเหนือแท้ขั้นสุดยอด เมื่อเทียบกับพลังของชายผมแดงเถี่ยหมัวแล้วมีแต่แข็งแกร่งกว่า
“ผู้สูงศักดิ์ขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดหนึ่งท่าน ขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดสี่คน และนายเหนือแท้ระดับสุดยอดสิบสามคน” ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงมองเห็นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งจากที่ไกลๆ
ผู้ที่บุกเข้ามาเป็นคนแรกของกำลังพลกลุ่มนี้คือผู้สูงศักดิ์หญิงในชุดสีฟ้า มองดูแล้วท่าทางอ้อนแอ้นบอบบาง เป็นหญิงงามโดดเด่นที่อ่อนแอนนางหนึ่งเท่านั้น
“จิ๊จิ๊ สามสำนักนั่นใจกว้างเสียจริง ส่งหญิงงามมากเพียงนี้เข้ามา” เจ้าหอโครงกระดูกออกมาจากประคำหมื่นวิญญาณภายในหมอกควันทะมึนสีเทา
วิ้ง!
‘ทางเชื่อม’ ของรอยแยกมิติหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อกำลังพลเข้ามาเรียบร้อยแล้ว
“มีผู้สูงศักดิ์เพียงคนเดียว” เมื่อจ้าวเฟิงและเจ้าหอโครงกระดูกคลำทางของฝั่งศัตรูออก จึงถอนหายใจเฮือกใหญ่
เดาไม่ยากว่าการส่งคนผ่านทางเชื่อมมิติมีขีดจำกัด การส่งคนครั้งหนึ่งสามารถส่งผู้สูงศักดิ์ได้เพียงคนเดียว
“ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้น จ้าวเฟิงอยู่ตรงนั้น”
ภายในกลุ่มคน สตรีดวงหน้ากระจ่างจับจ้องดวงตาแวววาวงดงามบนร่างของจ้าวเฟิง
หญิงนางนั้นดูราวกับคุ้นเคยภูมิศาสตร์ของที่นี่เป็นอย่างดี สามารถสังเกตพบจ้าวเฟิงอย่างรวดเร็ว
“เย่หยานหยู!” จ้าวเฟิงตกใจเล็กน้อยเมื่อมองเห็นร่างงดงามที่คุ้นตา
ในเวลาดังกล่าว
ใบหน้าของเย่หยานหยูเต็มไปด้วยความเย็นชา ไม่ปกปิดจิตสังหารภายใจในเลยแม้แต่น้อย
ถ้าหากว่านางไม่ได้กังวลถึงผู้สูงศักดิ์ข้างกายของจ้าวเฟิง เกรงว่าคงจะบุกเข้าไปสังหารเขาตั้งแต่วินาทีแรกทันที
เวลาที่ผ่านไปสามปี
การฝึกตนของเย่หยานหยูทะลวงขั้นอย่างรวดเร็วจนถึงขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด พลังของนางแข็งแกร่งกว่าลู่เทียนอี้ในคราวก่อนเป็นอย่างมาก
“หยานหยู พวกเราไม่ต้องรีบร้อนลงมือ” ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นเอ่ยปนยิ้มด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล นางมีกลิ่นอายสงบราบเรียบ ทำให้อารมณ์ของเย่หยานหยูนิ่งสงบลงอย่างประหลาด
ต่อจากนั้น
ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นก็ได้ออกคำสั่งให้กลุ่มคนโจมตีและทำลายค่ายกลฟื้นฟูกับค่ายกลผนึกไอสวรรค์ที่อยู่ใกล้เคียง
ตูม โครม คราม!
ค่ายกลทั้งหลายที่อยู่ในบริเวณใกล้ๆ โดนเหล่ายอดฝีมือทำลายพังพินาศ อีกทั้งอานุภาพของมันรุนแรงจนทำให้คนตกใจแทบพูดไม่ออก
จ้าวเฟิงและเจ้าหอโครงกระดูกอดที่จะตื่นตระหนกไม่ได้
กองกำลังเหล่ายอดฝีมือของทั้งสามสำนัก เมื่อเข้ามาภายในซากปรักหักพังกลับไม่ได้ลงมือกับคนทั้งสองในทันทีอย่างที่คาดคิดไว้
จะต้องรู้ไว้ว่า จ้าวเฟิงและคนอื่นๆ อยู่ห่างกองทัพของผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นเพียงแค่ลี้เดียว ถัดมา ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นได้สั่งเหล่ายอดฝีมือให้จัดสร้างรูปแบบของค่ายกลบนที่แห่งนั้น
“เจ้าคนพวกนี้มองข้ามพวกเราไปเลยหรือไง?” เจ้าหอโครงกระดูกสีหน้าเคร่งขรึม ฝ่ายศัตรูมีผู้สูงศักดิ์เพียงคนเดียว เขาจึงไม่ได้หวาดกลัวอะไร
“จ้าวเฟิง เกรงว่าคนเหล่านั้นคงอยากจะตั้งฐานที่มั่นบนพื้นที่แห่งนี้ การจัดสร้างค่ายกลมิติจะต้องเกี่ยวโยงโดยตรงกับทางเชื่อมมิติของโลกภายนอก เมื่อถึงเวลานั้น หากส่งบรรดายอดฝีมือของสามสำนักเข้ามาก็จะไม่มีจำนวนจำกัดอีกแล้ว…” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเอ่ยอย่างร้อนรน
“ไป” จ้าวเฟิงและเจ้าหอโครงกระดูกไม่ลังเลที่จะโจมตีคนกลุ่มนั้น
“ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้น! พวกเขามาแล้ว!” ในน้ำเสียงของเย่หยานหยูมีแววร้อนรน
“เตรียมรบ” ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นเอ่ยอย่างใจเย็น คลี่ปากยิ้มน้อยๆ กลิ่นอายของความสุขุมอ่อนโยนทำให้จิตใจที่สั่นระรัวของผู้คนสงบลง
“จ้าวเฟิง! สตรีนางนั้นยกให้ข้าจัดการเถิด ครั้งนี้ให้ท่านจัดการ ‘ค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาป’” ลูกไฟสีแดงที่เต้นเร่าๆ ในเบ้าตาของเจ้าหอโครงกระดูกมีทีท่าฮึกเหิมอยู่บ้าง
จ้าวเฟิงพยักศีรษะน้อยๆ แล้วในมือจึงปรากฏธงสีดำ
ฟู่ สวบ!
เกิดหมอกควันทะมึนสีเทาในรัศมีร้อยจ้าง กลิ่นอายปราณที่แข็งแกร่งของหุ่นเชิดศพปิดกั้นพื้นที่มิติแห่งนี้จนหมดสิ้น
ภายในควันสีเทาทะมึนกลุ่มก้อนนั้น มีหุ่นเชิดศพร่วมยี่สิบร่างปรากฏกายเตรียมพร้อมในตำแหน่งที่กำหนดไว้ของค่ายกล
จ้าวเฟิงไม่ได้ผลีผลามทะลวงเข้าไปในทันที เขาโบกสะบัดธงสีดำ ทำให้พลังของค่ายกลหุ่นเชิดศพค่อยๆ คืบคลานเข้าไปทางกองกำลังจากสามสำนัก
สวบ!
ในเวลานั้น เจ้าหอโครงกระดูกบินขึ้นไปกลางอากาศแล้วโบกมือข้างหนึ่ง ไอสวรรค์ก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง มีเพียงเงาของกรงเล็บกระดูกสีทองเงินเจิดจ้าตรงดิ่งไปยังผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นที่อยู่กลางฝูงคน
ผู้สูงศักดิ์ปะทะผู้สูงศักดิ์
เจ้าหอโครงกระดูกยื่นมือออกมา จัดการเล็งเป้าหมายไปที่ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้น
จากการพักฟื้นเป็นระยะเวลาอันยาวนาน พลังของเจ้าหอโครงกระดูกได้ฟื้นฟูมาพอควรแล้ว ไม่ได้ต่างจากยามที่เขารุ่งโรจน์สักเท่าไหร่
การโจมตีครั้งนี้ของเขาแข็งแกร่งมากพอจะสังหารผู้ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดของทวีปบุปผาคราม
“ฝันไปเถอะ!” เย่หยานหยูกับผู้อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดรวมสี่คน แค่นเสียงหึเตรียมตัวป้องกัน
“ให้ข้าเอง” ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นยิ้มเพียงเล็กน้อย ขยับมือขาวอมชมพูของนางครั้งหนึ่ง
ผลัวะ!
ในมือของผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นปรากฏฟองอากาศสีเขียวมรกตซึ่งสาดลำแสงกระจ่างราวภาพมายา
ฟุ่บ!
ฟองอากาศมายาขยายออกราวสิบจั้ง มองดูบอบบางแต่กลับมีน้ำหนักมหาศาล มันประดุจปลุกพลังไอน้ำในอากาศ แล้วพุ่งทะลวงเงากรงเล็บโครงกระดูกสีทองเงินที่น่าสะพรึงนั้น
พลังที่ร้ายกาจและสำนึกรู้ลึกลับทำให้จ้าวเฟิงและเจ้าหอโครงกระดูกต่างตกใจ
ไป!
ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นโบกมือครั้งหนึ่ง ฟองอากาศมายาซึ่งเลือนรางไปครึ่งหนึ่งแตกกระจาย กลายเป็น ระลอกน้ำหลอมรวมไปกับอากาศ พลังคลื่นมหาสมุทรแปรปรวนสาดซัดจนเกิดเสียงดัง ‘ตูม’ ส่งเจ้าหอโครงกระดูกลอยละลิ่วไปไกลกว่าครึ่งลี้