Skip to content

King of Gods 545

King Of Gods

บทที่ 545 ไม่มีช่องโหว่แม้แต่นิดเดียว

ยามผู้สูงศักดิ์ทั้งสองประมือกันล้วนแต่ไม่มีใครอ่อนข้อให้กัน

ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นโบกมือน้อยๆ พลังลึกล้ำยากจะคาดเดาของฟองอากาศมายาตรงดิ่งไปยังเจ้าหอโครงกระดูกอย่างรวดเร็ว

จ้าวเฟิงที่อยู่ใจกลางของ ‘ค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาป’ ยังอดประหลาดใจไม่ได้

“สตรีน่ารังเกียจพวกนี้…” เสียงจ้าวหอโครงกระดูกสบถดังมาจากด้านหลัง เขาพยายามลุกขึ้นมาจากพื้นอย่างยากลำบาก

นี่ขนาดเป็นถึงเจ้าหอโครงกระดูกผู้ซึ่งมีร่างกายครึ่งหนึ่งมาจากการหลอมกระดูก ทั่วร่างแข็งแกร่งอย่างมาก ปกติแล้วแทบไม่สะทกสะท้านกับการโจมตีของขั้นครึ่งก้าวของผู้สูงศักดิ์

“ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นคนนี้เป็นผู้นำการโจมตีให้กับทั้งสามสำนัก พลังต้องล้ำหน้ากว่าผู้สูงศักดิ์ธรรมดา นางต้องมีอะไรบางอย่างพิเศษกว่าผู้อื่นอย่างแน่นอน” จ้าวเฟิงสีหน้าขรึมลง

เขาไม่ได้ประหลาดใจกับการพ่ายแพ้ของเจ้าหอโครงกระดูก แต่พลังที่ต่างกันมากขนาดนี้ทำให้เขาตกใจอยู่ไม่น้อย

ถึงแม้ว่าพลังของเจ้าหอโครงกระดูกยังไม่ฟื้นฟูถึงขั้นสูงสุด แต่อย่างน้อยๆ ก็มีพลังในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ทว่ากลับโดนโจมตีลอยไปไกลด้วยหนึ่งกระบวนท่า

“ฮ่าฮ่าฮ่า…โครงกระดูกนั่นเพียงการโจมตีเดียวก็ทนไม่ได้เสียแล้ว” เหล่ายอดฝีมือ ณ โลกภายนอกหัวเราะกันเสียงดัง

กำลังพลที่นำโดยผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นมีกำลังใจฮึกเหิมขึ้น

“ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้น! พวกเราชิงลงมือกำจัดจ้าวเฟิงและเจ้าหอโครงกระดูกก่อน เรื่องอื่นน่าจะจัดการง่ายขึ้น” กลุ่มยอดฝีมือที่นำโดยเย่หยานหยูพยายามปลุกระดม

“ไม่ต้องรีบร้อน” ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นยืนเงียบอยู่ที่เดิม เรือนร่างในชุดคลุมสะอาดหมดจดมีระลอกน้ำลอยล่อง ดูแล้วนิ่งสงบงดงามยิ่ง

นางกวาดดวงตาสุกใสไปหยุดอยู่ที่กลุ่มควันสีเทาทะมึนที่ล่องลอยมา

คือพลังของ ‘ค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาป’ นั่นเอง

จ้าวเฟิงที่ซ่อนตัวอยู่ในใจกลางของค่ายกลอดถอนใจไม่ได้ “ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นคนนี้เยือกเย็นนัก กลับไม่ไล่ตามมาปลิดชีพเจ้าหอโครงกระดูก”

ถ้าหากว่าเปลี่ยนเป็น ‘ลู่เทียนอี้’ หรือพวกบ้าดีเดือดแล้วล่ะก็ มีความเป็นไปได้มากกว่าครึ่งที่จะทำเช่นนั้น เพราะถึงอย่างไรเกียรติยศและผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการสังหารผู้สูงศักดิ์ก็มีอยู่มาก

แต่หารู้ไม่ว่าเช่นนี้เป็นการเปิดโอกาสให้กับจ้าวเฟิง เพียงแค่ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นลงมือไล่ล่าสังหาร จ้าวเฟิงก็จะสังหารคนอื่นในกองทัพของนางไม่เหลือซากเช่นกัน

สวบ!

เจ้าหอโครงกระดูกพุ่งทะลวงมาในอากาศอีกครั้ง โบกสะบัดแส้กระดูกสีทองเงิน เงาโครงกระดูกมังกรปรากฏเป็นลำแสงสีม่วงเต้นเร่าๆ อยู่กลางอากาศ มันขยายออกยาวหลายสิบจั้ง จากนั้นพุ่งตรงไปที่ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นอีกครั้ง

ทันใดนั้น ไอสวรรค์ในรัศมีสิบลี้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนเกิดเป็นพลังธรรมชาติที่ไร้ขีดจำกัด

ไม่จำเป็นต้องมีข้อกังขาในพลังของผู้สูงศักดิ์อีกแล้ว!

“ไป!”

จ้าวเฟิงโบกธงสีดำ กลุ่มควันสีเทาทะมึนทะลักออกกลายเป็นหนวดสีดำขนาดมหึมา แล้วปลดปล่อยพลังคำสาปอันแข็งกล้าเข้ากัดกร่อนบรรดาคนที่อยู่ข้างผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้น

“พวกกระจอก!” เย่หยานหยูและขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดดูไม่สะทกท้านแต่อย่างใด แต่ละคนปล่อยกระบวนท่าเพื่อตั้งรับการโจมตี

ตูม ตูม~

พลังของค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาปที่เพิ่งจะคืบคลานเข้ามา ก็โดนพลังลำแสงหลากหลายแบบจากบรรดายอดฝีมือทำให้แตกสลายไปในทันที

ขนาดนายเหนือแท้ระดับสุดยอดยังมีฝีมือเทียบเท่ากับขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดของทวีปบุปผาคราม

ส่วนเย่หยานหยูและขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อเนิดรวมสี่คน พลังรบของพวกเขาเพียงคนเดียวก็เทียบเท่าผู้สูงศักดิ์ในระดับเดียวกันของทวีปบุปผาครามถึงสามคน

หากสี่คนนี้ร่วมมือกัน เกรงว่าต่อให้เป็นผู้สูงศักดิ์ก็ยากที่จะรับมือไหว

“คนเหล่านี้เกรงว่าจะเป็นเหล่ายอดฝีมือในสำนักสองดาว”

จ้าวเฟิงสูดหายใจลึก ค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาปของเขาในเวลานี้มีความแข็งแกร่งเท่าไหร่ ในใจเขารู้ดี

ภายในค่ายกลมีหุ่นเชิดศพต้องสาปยี่สิบห้าร่าง พลังคำสาปที่ปลดปล่อยออกมา หากเป็นนายเหนือแท้ธรรมดาจะต้องตายอย่างแน่นอน แล้วหากเป็นขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดคงยากที่จะรอดออกจากค่ายกลนี้

เพล้ง ตูม!

กลางอากาศมีเสียงระเบิดลอยมา เกิดเป็นลมหนาวและไอน้ำทั่วบริเวณสิบกว่าลี้

“พวกสตรีน่ารังเกียจ…” ร่างของเจ้าหอโครงกระดูกทะยานไปอีกครั้ง

วูบ~

ตรงค่ายกลหุ่นเชิดศพที่จ้าวเฟิงควบคุมอยู่ หมอกควันที่ปกคลุมในรัศมีหนึ่งถึงสองลี้เหล่านั้นแทบแตกกระจายหายไปกว่าครึ่ง

เขาหน้าถอดสี แล้วจึงชุลมุนกับการทำให้ค่ายกลมั่นคงขึ้น

การประมือของผู้สูงศักดิ์ทั้งสอง เจ้าหอโครงกระดูกโดนจัดการอย่างเหี้ยมโหด

“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ฝูงชนในกองกำลังของผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นระเบิดเสียงหัวเราะด้วยสีหน้าเยาะเย้ย

เย่หยานหยูและพวกขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นกำเนิดยิ่งได้ใจ เกือบจะพุ่งเข้าไปในค่ายกลหุ่นเชิดศพเพื่อลงมือสังหารจ้าวเฟิง

“ยั้งมือก่อน!” ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นเอ่ยเสียงเบา หยุดการสังหารของเย่หยานหยูกับคนอื่นๆ อีกครั้ง

“ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้น พวกเราได้เปรียบกว่าเห็นๆ ทำไมจึงไม่ลงมือฆ่าคนทั้งสองนั่นซะ” ขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นกำเนิดคนหนึ่งไม่เข้าใจ

“ได้เปรียบกว่าเห็นๆ?​ อาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น”

ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นเอ่ยแจกแจงด้วยสีหน้าหน้าเยือกเย็น “ที่นี่คือมิติสือเฉิงซึ่งถือว่าเป็นแหล่งของศัตรู อีกอย่างตัวอันตรายที่แท้จริงไม่ใช่โครงกระดูกขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิด แต่เป็นจ้าวเฟิงคนนั้นต่างหาก”

ในเวลานั้น เจ้าหอโครงกระดูกที่นอนคว่ำอยู่บนพื้นกำลังลุกขึ้นมาอย่างลำบากยากเย็น ดูท่าจะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย

ในครั้งนี้เจ้าหอโครงกระดูกมาอยู่เบื้องหน้าของค่ายกลหุ่นเชิดศพด้วยสีหน้าคับแค้น ไม่กล้าลงมือผลีผลามอีก

ในใจของเขาหวาดหวั่นและเกรงกลัวผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นผู้นั้นอย่างมาก

ถ้าหากว่าไม่กังวลเรื่องจ้าวเฟิงรวมไปถึงปัจจัยต่างๆ ที่ยังไม่รู้ ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นจะลงมือสังหารเจ้าหอโครงกระดูกนั้นไม่ได้ยากเย็นเลยแม้แต่น้อย

“จ้าวเฟิง…การปะทะกับผู้สูงศักดิ์โดยตรงจะเพิ่มรอยร้าวให้กับรอยโหว่มากขึ้น” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเอ่ยเตือน

เมื่อจ้าวเฟิงได้ยินคำเตือนดังกล่าว ในใจก็หนักอึ้ง

เขาอดประเมินสตรีเลอโฉมอ่อนหวานอย่าง ‘ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้น’ สูงขึ้นหลายเท่าไม่ได้ นางมีความสามารถในการประเมินสถานการณ์ที่ลึกล้ำ มองการณ์ใหญ่ เน้นที่ความมั่นคงปลอดภัย จึงไม่ได้สนใจผลได้ผลเสียเล็กๆ น้อยๆ

โลกภายนอก บนยอดเขาเทียมฟ้า

ในภาพมิติ กองทัพของทั้งสองฝั่งสู้รบตบมือกันอยู่ ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นและคนอีกจำนวนสิบยี่สิบคนโรมรันกับกลุ่มควันฝั่งตรงกันข้าม

ขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดพร้อมเย่หยานหยู รวมถึงนายเหนือแท้ขั้นสุดยอดสิบกว่าคน ตรงเข้าไปทะลวงพลังกัดกร่อนของค่ายกลหุ่นเชิดศพ

“ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นช่างสุขุมนัก ไม่มีจุดให้พลาดเลย”

“กองทัพที่นำโดยนางแทบไม่เคยมีการสูญเสียเลย เรียกได้ว่าฟ้าดินมีตา”

ยอดฝีมือของทั้งสามสำนักอดอุทานอย่างตื่นตะลึงไม่ได้

หยดนทีศักดิ์สิทธิ์!

มือบอบบางของผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นสะบัดคราหนึ่ง หยดน้ำสีฟ้าเข้มซึ่งมีแสงประกายบริสุทธิ์ก็ร่วงหล่นลงบนร่างกายของเย่หยานหยูและคนอื่นๆ

เหล่ายอดฝีมือที่ไม่ระมัดระวังโดนพลังคำสาปและไอพิษศพกัดกร่อนพลันหายดีในทันที

สถานการณ์เปลี่ยนไป!

กำลังวังชาของกำลังพลทั้งหมดกลับคืนมา จึงไม่มีการสูญเสียเกิดขึ้น

นี่มันอะไรกัน!

ใจของจ้าวเฟิงและเจ้าหอโครงกระดูกราวถูกกระแทก

“หรือว่าจะถูกนางมองออกเสียแล้ว”

พลังของค่ายกลหุ่นเชิดศพของจ้าวเฟิงเหมือนจะทำอะไรพวกของเย่เหยียนหยูไม่ได้ แต่ที่จริงพลังคำสาปจะค่อยๆ ทะลวงผ่านร่างคนเหล่านั้น พลังคำสาปเพียงเล็กน้อยอาจทำอะไรไม่ได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งจิตวิญญาณและเลือดเนื้อของคนทั้งหลายจะโดนกัดกร่อนไปเรื่อยๆ พลังรบจะอ่อนแอลงโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

“นางช่างมีพลังรักษาที่แข็งแกร่งเหลือเกิน กำลังพลที่นางเป็นผู้นำขอเพียงแค่ยังไม่สิ้นลมหายใจไปก่อน ไม่ว่าใครก็ล้วนแต่มีโอกาสฟื้นคืนกลับมาทั้งนั้น” ในใจของเจ้าหอโครงกระดูกเต้นระรัว

คนทั้งสองค่อยๆ ตระหนักได้ว่าสุ่ยอวิ้นคนนี้มิใช่ผู้อาวุโสธรรมดาเสียแล้ว

“ถ้าหากทายไม่ผิด นางน่าจะเป็นผู้สูงศักดิ์ด้านการรักษาและให้ความช่วยเหลือ สิ่งที่นางชำนาญไม่ใช่การสู้รบตบมือ และไม่จำเป็นต้องรบ เพียงต้องตั้งหลักปักฐานให้มั่นคง แล้วค่อยรอเหล่ายอดฝีมือที่ชำนาญการรบมาจัดการต่อไป” ฉับพลันจ้าวเฟิงก็เข้าใจในที่มาที่ไป

จุดที่ไม่ไกลมากนัก

ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นอมยิ้มน้อยๆ ด้วยท่าทีสง่างาม พิสุทธิ์สูงส่ง

เวลาผ่านไปทีละน้อย เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปสองสามวัน

จ้าวเฟิงและเจ้าหอโครงกระดูกคอยผลัดเวรดูแลค่ายกลหุ่นเชิดศพ แต่กลับทำอะไรผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นไม่ได้เลย ในช่วงระยะเวลานี้ จ้าวเฟิงและเจ้าหอโครงกระดูกล้วนแต่ทดลองการโจมตีประเภทต่างๆ นับไม่ถ้วน

ผลลัพธ์คือ ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นยังคงไม่มีช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย เหล่าคนในกองกำลังของนางยังไม่เกิดการสูญเสียเลย

ขอเพียงแค่จ้าวเฟิงและพวกหยุดการโจมตี ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นก็จะสั่งคนให้ไปสร้างค่ายกลเพื่อเชื่อมต่อกับทางเชื่อมของโลกภายนอก

โลกภายนอก ยอดเขาสูงเทียมฟ้า

“ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นตั้งฐานที่มั่นได้แล้ว ผ่านไปอีกสิบวันเราน่าจะสามารถส่งคนเข้าไปได้”

ปรมาจารย์อิ๋นคงเอ่ยยิ้มๆ

คนทั้งหลายต่างพากันนับถือในความมั่นคงเยือกเย็นของผู้อาวุโส

หากผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นลงแรงทั้งหมดเข้าโจมตี มีความเป็นไปได้ถึงเจ็ดแปดส่วนที่จะสังหารจ้าวเฟิงและเจ้าหอโครงกระดูกเสียสิ้น แต่ว่าการอยู่ในซากปรักหักพังสือเฉิงนิรนาม การทำเช่นนั้นยังคงมีความเสี่ยงอยู่มาก อีกทั้งผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นพยายามไม่ให้เกิดการล้มตาย สูญเสียให้น้อยที่สุด ใช้วิธีการที่สงบเยือกเย็นกับศัตรู

“เทียนอี้! สิบวันจากนี้ รอให้ทางเชื่อมมั่นคงครั้งที่สอง เจ้าจงนำกำลังคนไปช่วยผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้น” เฉิงเยว่เซียนกูกวาดสายตาไปหยุดที่ลู่เทียนอี้

“ขอบพระคุณอาจารย์อา!” ลู่เทียนอี้ปีติยินดีอย่างยิ่ง

เขารู้ว่าเฉิงเยว่เซียนกูจะยกโอกาสในการปราบศัตรูให้ตนเอง

จะอย่างไรผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นก็เป็นผู้รักษาที่อยู่แนวหลัง ยึดเอาการป้องกันเป็นหลัก รอให้นางลงหลักปักฐานเรียบร้อยก่อน แล้วส่งกองเสริมบ้าดีเดือดของลู่เทียนอี้เข้าไปรบ เช่นนี้นับว่าเข้าคู่กันเป็นยอดยิ่ง

ณ ซากปรักหักพังสือเฉิง หุบเขาลี้ลับ

จ้าวเฟิงและเจ้าหอโครงกระดูกรู้สึกว่าแรงกดดันนับวันยิ่งมากขึ้นทุกที

“ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นคนนี้ละเอียดรอบคอบประดุจไข่ไก่ที่ไร้รูโหว่ใด” สีหน้าเจ้าหอโครงกระดูกทุกข์ระทม ดวงตาของจ้าวเฟิงสว่างวาบแล้วเอ่ยเสียงต่ำ “ดูไปแล้วน่าจะต้องใช้วิธีการทั้งหมดที่มี”

“จ้าวเฟิง! ท่านมีวิธีการอะไรก็รีบเอาออกมาใช้เถิด มิฉะนั้นกองกำลังใหม่ของสามสำนักจะมาถึง…” เจ้าหอโครงกระดูกมีสีหน้าพิลึกพิลั่น

แซ่ด สวบ!

เงาสายฟ้าสว่างวาบหนึ่ง แล้วจ้าวเฟิงกับเจ้าหอโครงกระดูกก็หายไปใจกลางจากค่ายกลหุ่นเชิดศพ

“เจ้าหอโครงกระดูก ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเจ้าแค่คอยจัดการดูแลค่ายกลหุ่นเชิดศพ พยายามหลอกล่อคนพวกนั้นไว้ล่ะ”

เมื่อมีเสียงดังขึ้น จ้าวเฟิงก็มาถึงบนร่างของหอคอยพฤกษาปีศาจที่อยู่ด้านหลังแล้ว

“ทำไมท่านหนีไปอีกแล้ว!” เจ้าหอโครงกระดูกตัวชาวาบ

ให้เขาคอยรับมือกับกำลังคนของผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นอยู่แนวหน้าเพียงลำพัง เขารู้สึกกดดันอย่างมหาศาล ยังดีที่ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นแค่มองจ้าวเฟิงปราดหนึ่ง แต่ไม่ได้ใส่ใจค่ายกลหุ่นเชิดศพของเจ้าหอโครงกระดูก

วูบ!

เจ้าหอโครงกระดูกฝืนใจโบกธงสีดำ แล้วเรียกค่ายกลหุ่นเชิดศพที่หอบเอากลุ่มควันสีเทาทะมึนมาด้วยเข้าไปโจมตีเหล่าผู้ที่มาจากโลกภายนอก

แต่ทว่าที่แห่งนั้นมีผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นอยู่ แล้วยังมีเย่เหยียนหยูและขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดร่วมมือกับนายเหนือแท้ระดับสุดยอดสิบกว่าคน การโจมตีของเจ้าหอโครงกระดูกแน่นอนว่าย่อมไม่มีผลใดๆ

“จ้าวเฟิง ที่สุดแล้วเจ้ามีแผนการอะไรกันแน่?” ของเจ้าหอโครงกระดูกลอบด่าในใจ

ในเวลานั้นเอง เจ้าหอโครงกระดูกรู้สึกได้ถึงพลังจิตวิญญาณแข็งแกร่งที่กดอยู่เหนือศีรษะ

เอ๊ะ!

กองทัพของผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นแหงนศีรษะขึ้นไปมองแล้วต้องตกใจ

เคว้ง!

เนตรสวรรค์สีฟ้าโปร่งแสงลอยอยู่กลางอากาศแล้วมองคนเบื้องล่างอย่างเย็นชา ฝูงชนภายในกองทัพสัมผัสได้ถึงความกดดันขนาดมหึมาที่ยากจะต้านทาน จิตใจรู้สึกหนักอึ้ง

“กลิ่นอายจิตวิญญาณแข็งแกร่งนัก พลังวิญญาณของจ้าวเฟิงเทียบเท่ากับผู้สูงศักดิ์แล้วงั้นรึ?” ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นตกใจ รู้สึกได้ถึงความไม่ปลอดภัย

กลางอากาศ เนตรสวรรค์นั้นค่อยๆ ปล่อยไอเหมันต์ออกมา พลังกดดันทางวิญญาณที่ทะลักออกมาในอากาศรุนแรงไม่มีที่สิ้นสุด จำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกดและผนึกทั่วทั้งบริเวณนี้ไว้

ในวันนี้ พลังวิญญาณของจ้าวเฟิงเทียบเท่าผู้สูงศักดิ์แล้ว เมื่อหลอมรวมกับแก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษา พลังของเขาก็ถือได้ว่าอยู่เหนือเหล่าผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดธรรมดาบางส่วน

ว่ากันตามหลักการแล้ว จ้าวเฟิงในสภาพนี้มีพลังวิชาสายเลือดดวงตาที่สามารถเอาชนะผู้สูงศักดิ์ธรรมดาได้เลย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version