บทที่ 58 : คำสั่งกักบริเวณ
ดรรชนีเหนือดารา!
ความสุขเต็มตื้นอยู่ภายในหัวใจของจ้าวเฟิง ในยามนี้ หากมีผู้อื่นอยู่พวกเขาย่อมต้องตื่นตะลึง เหตุใดเด็กหนุ่มผู้นี้จึงสามารถเข้าสู่ขั้นเจ็ดด้วยอายุอันน้อยเท่านี้กัน?
ทุกคนล้วนรู้ว่ามีเพียงจอมยุทธ์เท่านั้นที่สามารถปลดปล่อยพลังภายในสู่อากาศได้ (โจมตีผ่านอากาศ) มันเป็นระดับที่ผู้ฝึกตนส่วนมากเฝ้าฝันถึง
ทว่าจ้าวเฟิงมิใช่จอมยุทธ์ พลังฝึกตนของเขานั้นเข้าสู่ขั้นหกเพียงไม่นานมานี้ ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะดรรชนีดาราของเขาเข้าสู่ระดับสี่
ในระดับสี่นั้น ผู้ฝึกจะสามารถควบรวมพลังภายในและแผ่พุ่งมันออกไปในอากาศได้ แน่นอนว่าวิชานี้นับว่ายากจะฝึกฝนกว่าวิชาอื่น กระทั่งผู้อาวุโสจ้าวผู้ดูแลรักษาหอสมุดก็สามารถฝึกฝนได้เพียงระดับสามเมื่อก่อนหน้า
จ้าวหยงชี่นั้นคาดว่าวิชานี้อาจนับได้ว่าเป็นขั้นครึ่งก้าวของวิชาเทพเจ้า กระทั่งอัจฉริยะเองก็ต้องมีระดับอย่างน้อยขั้นเจ็ดในการฝึกฝนวิชานี้สู่ระดับสี่ ดังนั้นแล้วจึงไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อนว่ามีผู้ฝึกตนขั้นหกสามารถโจมตีผ่านอากาศได้
เริ่ม!
แสงสีเขียวพุ่งวาบผ่านอากาศและกระแทกเข้าที่หน้าต่างห่างออกไปสองเมตร
เพล้ง!
เสียงเสียดหูดังขึ้นพร้อมกับหน้าต่างที่แตกลง เพราะว่าดรรชนีดารานั้นเพิ่งจะเข้าสู่ระดับสี่ ดังนั้นพลังโจมตีองมันจึงไม่มากนัก เพียงแค่เกือบครึ่งของระยะประชิดเท่านั้น แต่แม้กรนั้นมันก็สามารถฆ่าผู้ฝึกตนธรรมดาได้ในเสี้ยววินาที
สองวันถัดไป จ้าวเฟิงยังคงฝึกฝนดรรชนีดาราเพื่อความเชี่ยวชาญ ในสมองของเขาก็ยังคงพยายามทำความเข้าใจกับความรู้สึกหนึ่งเดียวกับสวรรค์อยู่
ปุ! ปุ! ปุ!
จ้าวเฟิงสามารถแทงดรรชนีได้ติดต่อกัน พลังโจมตีของพวกมันนับนับได้ว่าถึง 60-70% ของการโจมตีระยะประชิด ทว่าเมื่อระยะห่างนั้นมากกว่า 2 เมตร พลังของมันจะลดลงอย่างมาก
หากจ้าวเฟิงต้องการฆ่า เขาสามารถฆ่าผู้ฝึกตนที่มีพลังฝึกตนต่ำกว่าขั้นเจ็ดได้เกือบทุกคนด้วยเพียงนิ้วหนึ่งนิ้ว เด็กหนุ่มมั่นใจว่าเขาย่อมไม่ลำบากในการต่อสู้กับผู้อาวุโสตระกูลชิวอีกครั้งนัก
ฮู่ววว
จ้าวเฟิงเดินออกจากห้องและสูดอากาศสดชื่นเข้าไป
“ศิษย์น้องเฟิงปิดห้องฝึกตนเป็นเวลานาน ดังนั้นแล้วมันคงมีความพัฒนาบ้างไม่มากก็น้อยใช่หรือไม่?” จ้าวหยูเฟ่ยเอ่ยพร้อมรอยยิ้มขณะเดินตรงมาหา
“ข้าได้รับสำนึกรู้บางอย่างหลังจากงานชุมนุม” จ้าวเฟิงเอ่ยตอบ
เหตุผลหลักที่เขาไม่ได้ออกจากห้องนั้นเป็นเพราะเขากำลังรักษาตนเองที่บาดเจ็บสาหัสในวันนั้น เมื่อได้ยินเช่นนั้น จ้าวหยูเฟ่ยพลันตื่นเต้น ในฐานะของเพื่อนบ้าน ทั้งสองมักจะประลองชี้แนะกันเล็กๆ น้อยๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จ้าวเฟิงยังคงจำกัดพลังของเขาไว้ที่ขั้นห้า ทว่ามักจะปลดปล่อยกลิ่นอายหนึ่งเดียวกับสวรรค์อยู่บ่อยๆ เมื่อประลองกับเด็กสาว จ้าวหยูเฟ่ยนั้นพัฒนาอย่างก้าวกระโดด นางกระทั่งเรียนรู้วิชาระดับสุดยอด
ตัดวิญญาณวายุ!
แสงสีม่วงส่องสว่างจากนิ้วที่ราวกับหยกของนางขณะที่นางควบรวมพลังภายในสู่ฝ่ามือ ทุกๆ การวาดมือของนางสามารถตัดผ่าหินได้
“ตัดวิญญาณวายุ? พี่หยูเฟ่ยมีวิชาเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?” จ้าวเฟิงอุทาน
ความซับซ้อนของวิชาตัดวิญญาณวายุนั้นเกือบเทียบเท่าได้กับดรรชนีดาราของเขา ข้อได้เปรียบของมันนั้นคือความรวดเร็วและแหลมคม ในขณะที่ดรรชนีดาราคือความทะลุทะลวง
“ฮะฮะ ข้าเป็นหนึ่งในสี่ยอดอัจฉริยะ ดังนั้นแล้วนี่จึงเป็นรางวัลที่ระดับสูงให้ข้ามา” จ้าวหยูเฟ่ยเอ่ยอย่างมีความสุข
อันใดกัน?
ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างสำคัญเกิดขึ้นในระหว่างที่เขากำลังรักษาตัว
“ศิษย์น้องจ้าวเฟิงยังไม่ได้รับรางวัลหรือ?” ครานี้เป็นฝ่ายเด็กสาวที่รู้สึกแปลก
“ไม่!” จ้าวเฟิงสั่นศีรษะ
ตามปกติแล้ว เขาควรได้รับรางวัลที่กระทั่งยอดเยี่ยมกว่าจ้าวหยูเฟ่ยเพราะอันดับของเขานั้นสูงกว่า
“เจ้าควรไปถามผู้อาวุโส” จ้าวหยูเฟ่ยเอ่ย
ในขณะที่ประลองกับเด็กสาว จ้าวเฟิงก็ได้รับข่าวที่น่าตื่นตะลึงอีกหนึ่งข่าว ผู้ที่ครองอันดับหนึ่งคู่กับเขาในงานชุมนุม ‘ซินหวู่เฮิง’ ได้สลายหายไปในอากาศ
“สิบกว่าวันแล้วตั้งแต่งานชุมนุมสิ้นสุดลง เหตุใดเขาจึงหายไปโดยไร้ร่องรอยได้เล่า?” จ้าวเฟิงรู้สึกได้ว่ามันไม่ธรรมดาเช่นฉากหน้า
หรือซินหวู่เฮิงจะถูกฆ่าแล้ว…?
เด็กหนุ่มส่ายศีรษะ เขาไม่ได้สนิทกับอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
หลังจากที่ประลองกันเสร็จ ทั้งสองก็แยกกัน
“เมื่อจ้าวหยู่เฟ่ยได้รางวัล ข้าก็ควรได้เช่นกัน…” จ้าวเฟิงคิดอย่างมั่นใจ
อย่างไรก็ตามเขานับเป็นหนึ่งในอันดับหนึ่ง ทว่าบัดนี้ซินหวู่เฮิงไปแล้ว เขาจึงเป็นอันดับหนึ่ง!
ไม่ช้าเขาก็ไปถึงยังหอตำราที่เขาพบกับผู้อาวุโสจ้าว
“ผู้อาวุโสจ้าว!” จ้าวเฟิงทำความเคารพผู้อาวุโสที่ดูแลหอตำรา
“เจ้ามาหาข้าเพื่อรับรางวัลใช่หรือไม่?” ความเหนื่อยล้าปรากฏขึ้นบนสีหน้าของชายชรา
“ใช่ขอรับ ถูกต้องแล้ว” จ้าวเฟิงไม่หลบซ่อนความต้องการของตน
จ้าวหยงชี่มองไปยังเด็กหนุ่มด้วยความชื่นชมและเป็นห่วง
“เจ้าทำได้ดีกว่าที่ข้าคาดไว้ในงานชุมนุม…”
“ท่านเยินยอข้าเกินไป! หากข้ามิได้ความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสจ้าว ข้าย่อมไม่อาจประสบความสำเร็จได้เช่นวันนี้” จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างถ่อมตน
“ไม่ยโสแม้แต่น้อย เจ้านับว่าเป็นอัจฉริยะที่เฉียบแหลมโดยแท้… เพียงไม่กี่วันก่อน ข้าได้ถามหัวหน้าตระกูลเพื่อให้เจ้าเข้าไปยังชั้นสามของหอตำรา”
ชั้นสามของหอตำรา! หัวใจของจ้าวเฟิงเต้นแรงขึ้น
ในพรรคจ้าวนั้น ชั้นสามนับเป็นเพียงตำนาน มันไม่เคยถูกเปิดออกมาก่อน
ชั้นสองนั้นเต็มไปด้วยวิชาระดับสุดยอด เช่นนั้นชั้นสามเล่ามีสิ่งใด?
จ้าวหลินหลงที่แสดงความหยิ่งยโสเช่นนั้นออกมาได้ย่อมมีบางอย่างหนุนหลังอยู่ แปดถึงเก้าจากสิบนั้นย่อมเกี่ยวข้องกับชั้นสาม
“แม้ว่ามันจะไม่มีวิชาระดับเทพเจ้าในชั้นสาม มันก็ยังมีบางส่วนของมันให้เหล่าอัจฉริยะทำความเข้าใจ ผู้ที่มีพลังฝึกตนไม่สูงเพียงพอย่อมไม่อาจได้รับสิ่งใดจากการเข้าไป ดังนั้นแล้วชั้นสามจึงถูกปิด มีเพียงจ้าวหลินหลงที่เข้าไปได้แม้ว่าพลังฝึกตนของเขาจะต่ำกว่าขั้นเจ็ด” ผู้อาวุโสจ้าวอธิบาย
ความเข้าใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจ้าวเฟิง จ้าวหลินหลงนั้นเป็นอันดับหนึ่งในงานประลองประจำตระกูล ทั้งยังเป็นบุตรบุญธรรมของหัวหน้าพรรค เขาย่อมสามารถเข้าไปยังชั้นสามได้
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่ให้โอกาสนี้แก่ข้า” จ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความตื้นตัน
“โชคร้ายนักที่หัวหน้าพรรคปฏิเสธในทันที” ผู้อาวุโสจ้าวส่ายศีรษะพร้อมถอดถอนใจ
ปฏิเสธ?
ความเย็นชาและอยุติธรรมพลุ่งพล่านในหัวใจของเด็กหนุ่ม จ้าวหลินหลงนั่นเป็นเพียงอันดับหนึ่งในพรรคจ้าว ทว่าเขาเป็นอันดับหนึ่งในทั่วทั้งเมืองประกายอรุณ
เป็นไปได้หรือไม่ที่เป็นเพราะเขานั้นมาจากตระกูลสาขา ในขณะที่จ้าวหลินหลงนั้นเป็นบุตรบุญธรรมของหัวหน้าพรรค
“เหตุใดหัวหน้าพรรคจึงไม่ยอมรับกันขอรับ?” จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึก เขาอยากจะได้ยินเหตุผลของผู้เป็นหัวหน้าพรรค
“เจ้าได้พบกับชิวเมิงหยูหลังงานชุมนุมหรือไม่?” ผู้อาวุโสจ้าวเอ่ยเสียงลึกล้ำ
“ถูกต้องขอรับ” จ้าวเฟิงตอบกลับ รู้สึกเข้าใจในทันที
ตระกูลชิวและตระกูลจ้าวนั้นเป็นศัตรูกัน และการที่เขาตอบรับคำเชิญของหญิงสาวนั้นสามารถสร้างความสงสัยได้อย่างง่ายดาย
“ศพสองศพถูกพบและหลังจากการตรวจสอบ เราพบว่าทั้งคู่ตายโดยวิชาที่คล้ายคลึงกับดรรชนีดารา” ดวงตาของชายชราจับจ้องตรงไปยังร่างของเขา
ดรรชนีดารา?
จ้าวเฟิงแสร้งทำเป็นประหลาดใจ
“พรรคคิดว่าข้าเป็นคนฆ่าหรือ?”
“ข้าไม่เชื่อ เจ้าจะฆ่าสองคนนั้นได้โดยที่เจ้าอยู่ในขั้นห้าได้อย่างไร?” ผู้อาวุโสสั่นศีรษะ
จริง
ทั้งสองนั้นล้วนเป็นผู้ฝึกตนขั้นสุดยอดของขั้นหก ทั้งยังเป็นคนรุ่นเก่า ดังนั้นแล้วพวกเขาย่อมเข้าถึงวิชาระดับสูงได้มากกว่า
หากคนผู้นั้นมีเหตุผลและไม่ปัญญาอ่อน พวกเขาย่อมรู้ว่าคนฆ่าไม่ใช่จ้าวเฟิง
แน่นอนว่ามันก็แค่ตามหลักเหตุผล..
ผู้อาวุโสจ้าวไม่อาจคาดฝันได้ว่าคนฆ่านั้นจะยืนอยู่เบื้องหน้าเขา
“มีใครบางคนรายงานว่าเจ้าได้ไปหาชิวเมิงหยูเพียงคนเดียว ทั้งจ้าวเทียนเจี้ยนและอีกคนนั้นตายใกล้แดนของพรรค หลายคนสงสัยว่าเจ้าจะร่วมมือกับตระกูลชิวในการฆ่าทั้งสอง” น้ำเสียงของเขาพลันเคร่งขรึมขึ้น
อย่างแรกนั้น มันเป็นความจริงที่จ้าวเฟิงได้ไปพบชิวเมิงหยู อย่างที่สอง จ้าวเทียนเจี้ยนนั้นกระทบกระทั่งกับจ้าวเฟิงและตายในคืนที่จ้าวเฟิงกลับมาอย่างพอดิบพอดี
นี่นับว่าเป็นเหตุผลที่เพียงพอในการสร้างความเคลือบแคลง อย่างไรก็ตาม เขาเป็นเพียงศิษย์ตระกูลสาขา มันไม่สำคัญว่าจะมีหลักฐานหรือไม่ หัวหน้าพรรคย่อมใช้เหตุผลนั้นในการไม่อนุญาตให้เด็กหนุ่มเข้าไปในชั้นสาม
“ผู้ใดเป็นคนรายงาน?” ดวงตาของจ้าวเฟิงกระตุกขณะที่เขาคิด
คืนนั้นมีเพียงจ้าวหลินหลง จ้าวหยูเฟ่ย จ้าวฮัน และคนที่ไปยังงานชุมนุมกับเขา คนที่สนิทสนมกับหัวหน้าพรรคที่สุดย่อมเป็นจ้าวหลินหลงอย่างไม่ต้องสงสัย
“ระดับสูงได้สั่งการลงมาว่าก่อนที่ความจริงจะถูกเปิดเผย เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากอาณาเขตพรรคจ้าว” ผู้อาวุโสเอ่ยอย่างจนใจ
อันใดกัน!?
ดวงตาของจ้าวเฟิงแปรเปลี่ยนเป็นคมกริบ
“นี่นับเป็นคำสั่งกักบริเวณหรือไม่?”