บทที่ 582 ว่องไวปานสายฟ้า
แซ่ด สวบ!
ยามที่จ้าวเฟิงโบยบินหนีออกจากวงต่อสู้ ก็ไม่ได้สนใจสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานของ ‘เรือหลานเหลย’
แววตาของเขาจับจ้องไปที่โจรสลัดที่ป้วนเปี้ยนอยู่แถวซากของวาฬยักษ์
ในเวลานั้น กลุ่มโจรสลัดเถี่ยเจี่ยวบางคนได้เริ่มลงมือแล่ชิ้นส่วนของวาฬ บางส่วนถึงขั้นเตรียมส่งคนเข้าไปสำรวจภายในร่างของวาฬแล้ว
“ถ้าหากให้โจรสลัดพวกนี้จับได้ว่าหัวใจวาฬไม่มีอยู่แล้ว สิ่งที่จะตามมาคงร้ายแรงมากนัก…” จ้าวเฟิงคิดในใจ
สิ่งที่มีค่าที่สุดในร่างของวาฬยักษ์เห็นทีจะเป็น ‘เลือดหัวใจวาฬ’
ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าเถี่ยเจี่ยวหรือผู้อาวุโสสามเฉียนอวิ๋น ล้วนแต่ต้องการเลือดหัวใจดังกล่าวเป็นอย่างมาก
จ้าวเฟิงเองก็ไม่อยากให้ความลับแพร่งพรายออกไป แล้วกลายเป็นศัตรูกับผู้สูงศักดิ์ในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดทั้งสองคน
“เจ้าหนุ่ม จะหนีไปไหน…” โจรสลัดแห่งทะเลความว่างเปล่าที่อยู่ใกล้สองสามคน นำโดยคนขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดเข้ามาขวางจ้าวเฟิง
“ท่านหัวหน้าเรือมีคำสั่ง ฆ่าให้หมดอย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว!” โจรสลัดเหล่านั้นมีสีหน้าอำมหิต
จ้าวเฟิงไม่ได้สนใจโจรสลัดเหล่านี้ ดีดนิ้วเบาๆ เล็กน้อย
แซ่ด แซ่ด โครม!
ลูกไฟวายุอัสนีสีม่วงลูกเล็กลูกน้อยลอยผ่านไปในอากาศราวขนนก
“อ๊าก…” โจรสลัดสองสามคนที่เข้ามาใกล้ร่างกายแข็งทื่อ บริเวณอกซึ่งมีรอยไหม้ปรากฏไฟวายุอัสนี
วายุอัสนีสีม่วงพวกนั้นแข็งแกร่งรุนแรง แฝงด้วยพลังเสวียนอ้าวพิฆาต ทำลายชีวิตภายในร่างกายอย่างรวดเร็ว
รวมทั้งทำลายชีวิตภายในร่างของโจรสลัดขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดผู้นั้นด้วย
การสังหารโจรสลัดทั้งสามคนใช้เวลาเพียงแค่ดีดนิ้วเท่านั้น
เมื่อเทียบกับครั้งก่อนที่ประลองกับโจรสลัดขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดของกลุ่มหลานเหลย ครั้งนี้ง่ายกว่ากันมาก ในตอนนี้ ความเข้าใจที่เขามีต่อวายุอัสนีสีม่วงพิฆาตไปถึงสามส่วนแล้ว ครึ่งก้าวของปราณที่แท้จริงล้วนแต่กำเนิดมาจากพลังเสวียนอ้าวของวายุอัสนีพิฆาตสีม่วง
โครม! โครม!
เงาร่างของจ้าวเฟิงร่อนลงบนวาฬแห่งทะเลความว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว โจรสลัดแห่งทะเลความว่างเปล่าใกล้ๆ ร้องโหยหวนล้มลงไปทีละคน
“เจ้าเด็กชั่ว!” โจรสลัดที่อยู่ใกล้ซากวาฬสังเกตเห็นจ้าวเฟิง จึงเตรียมพร้อมรบ
สวบ สวบ สวบ!
โจรสลัดจำนวนสิบยี่สิบคนในละแวกนั้น นำโดยสามคนในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด พุ่งตรงดิ่งมาหมายจะสังหารจ้าวเฟิง
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนจำนวนมาก จ้าวเฟิงยังคงยิ้มแย้มอย่างไม่ใส่ใจ
แซ่ด สวบ! พรึ่บ!
บนพื้นจุดเดิมมีร่องรอยควันกรุ่นของอัสนีสีม่วงอยู่เลือนราง บรรดาโจรสลัดทั้งหลายแตะไม่ได้แม้แต่ปลายเสื้อของจ้าวเฟิงด้วยซ้ำ
โครม! โครม! โครม!
แต่กลายเป็นโจรสลัดที่อยู่ใกล้จ้าวเฟิงที่ค่อยๆ ตายตกทะเลไปทีละคน
บรรดาโจรสลัดที่ล้มตายพวกนี้ สภาพศพยังคงสมบูรณ์ มีเพียงรอยไหม้กับควันลอยโขมงเป็นวงบริเวณหน้าอกตรงตำแหน่งหัวใจเท่านั้น
ความเร็วในการโจมตีของวายุอัสนีพิฆาตสีม่วงพุ่งไปด้วยความเร็วสูงสุด
โจรสลัดพวกนี้ไม่มีหนทางจะหลบหลีกและไม่สามารถปัดป้องต้านทานได้เลย
ทุกครั้งที่จ้าวเฟิงดีดนิ้วจะเกิดวายุอัสนีพิฆาตสีม่วงดวงเล็ก แต่ว่ากลิ่นอายเสวียนอ้าวพิฆาตภายในนั้นกลับน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง พลังของวายุอัสนีพิฆาตนั้นทำลายพลังชีวิตในเวลาอันรวดเร็ว
“เหอะเหอะ” จ้าวเฟิงหัวเราะเบาๆ ร่างกายสั่นไหวยามเมื่อดีดนิ้วสังหารโจรสลัดที่อยู่ใกล้ๆ
ด้วยลำดับขั้นของเขาในตอนนี้ พวกคนที่ฝึกตนอยู่ต่ำกว่าขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดแทบไม่ต่างอะไรกับมดปลวก เพียงดีดนิ้วก็สามารถสังหารได้อย่างสบายๆ
“เจ้าหนุ่มคนนี้! มีพลังที่น่ากลัวยิ่งนัก…” โจรสลัดที่อยู่ใกล้กับซากวาฬยักษ์โดนกำจัดไปทีละคน
จ้าวเฟิงพุ่งผ่านร่างของวาฬแห่งทะเลความว่างเปล่า ถึงแม้พวกโจรสลัดจะไม่ได้เข้ามาใกล้ แต่เขาก็ยังคงปลิดชีพพวกนั้นได้
ในเวลาสั้นๆ มีโจรสลัดกว่ายี่สิบคนตายด้วยน้ำมือของจ้าวเฟิง อีกทั้งเป็นจำนวนที่ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“พวกเรามองเขาผิดไป”
สตรีวงหน้าละมุนมองเห็นทุกอริยาบทของจ้าวเฟิงยามสังหารนายเหนือแท้ระดับสุดยอดกับโจรสลัดขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด รู้สึกละอายใจที่มองเขาผิดไป
“เป็นพลังรบที่แข็งแกร่งนัก! ในดินแดนของพวกเราหรือแม้กระทั่งดินแดนหมู่เกาะละแวกใกล้เคียง ก็ไม่น่าจะมีอัจฉริยะที่เก่งกล้าขนาดนี้ นอกเสียจากว่าจะเป็นสำนักสองดาวนั่น…” ชายหนุ่มท่าทางองอาจตื่นตระหนกตกใจ
พลังรบของจ้าวเฟิงน่าจะสังหารพวกเขาได้อย่างรวดเร็วเพียงแค่ดีดนิ้วเท่านั้น
สถานการณ์ในฟากนี้ดึงดูดความสนใจของคนในขั้นขอบแขตแก่นก่อกำเนิดอีกสองคน
“เรามองผิดไป”
ชายหนุ่มหน้าตาอำมหิตและสตรีผ้าคลุมหน้าสีดำสบตากันด้วยความประหลาดใจ ทั้งสองคาดไม่ถึงเลยว่าคนรุ่นหลังที่อายุยังน้อยผู้นี้จะมีพลังเก่งกล้าขนาดนี้
ถ้าหากไม่เข้าขวาง จ้าวเฟิงคงสังหารโจรสลัดผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดทั้งหมดแน่
“ไป!” สตรีผ้าคลุมหน้าสีดำโบกมือสั่งให้หุ่นเชิดศพโครงกระดูกในขั้นผู้สูงศักดิ์ไปช่วยเหลือพวกโจรสลัดแถวซากของวาฬ
หืม?
จ้าวเฟิงที่กำลังสังหารโจรสลัดแถวซากวาฬ ทันใดนั้นเองก็สัมผัสได้ถึงพลังมรณะของปราณศพ เมื่อเหลียวกลับไปมองจึงเห็นร่างศพหยกทมิฬพร้อมกลุ่มเพลิงนั่นพุ่งตรงดิ่งมาที่เขา
ถ้าหากว่าเป็นเมื่อก่อน จ้าวเฟิงคงจะลองใช้ดวงตาเทพเจ้าควบคุมร่างหุ่นเชิดศพโครงกระดูกนี้
แต่ในวันนี้เขาแทบไม่กล้าใช้ดวงตาสายเลือดในปริมาณมากแล้ว
“แส้วายุอัสนีสีม่วง!”
จ้าวเฟิงไม่ได้หลบหนี หนำซ้ำยังเรียกแส้วายุอัสนีลักษณะเป็นโซ่สีม่วงสว่างไว้ในมือ มันเริงระบำร่อนฟ้า สาดพลังอัสนีออกไป ทำให้กลิ่นอายทำลายล้างคละคลุ้งไปทั่ว
โครม คราม! เพียะ เพียะ!
แส้วายุอัสนีพิฆาตสีม่วงฟาดลงบนร่างของ ‘โครงกระดูกหยกทมิฬ’ ร่างกระดูกของอีกฝ่ายเกิดเป็นกลุ่มควันสีดำครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงอัสนีดังกึกก้องไปทั่ว เดิมทีพลังของสายอัสนีบาตควบคุมสิ่งของจำพวกหุ่นเชิดศพได้ด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น วายุอัสนีพิฆาตสีม่วงของจ้าวเฟิงยังแฝงพลังเสวียนอ้าวทำลายล้างมากกว่าพลังสายฟ้าธรรมดาทั่วไป เมื่อประมือกันจ้าวเฟิงย่อมได้เปรียบกว่ามาก
แส้วายุอัสนีพิฆาตสีม่วงโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า พัวพันอยู่ที่ร่างโครงกระดูกในขั้นผู้สูงศักดิ์ ร่างของฝ่ายหลังเต็มไปด้วยบาดแผลแตกหัก ควันลอยคุกรุ่นจนถอยร่นไม่เป็นกระบวน
ในเวลาไม่กี่ช่วงลมหายใจ
จ้าวเฟิงจัดการโครงกระดูกหยกทมิฬจนหมอบราบคาบ มันมีสภาพสะบักสะบอมยับเยิน ประหนึ่งได้ยินเสียงโหยหวนของดวงวิญญาณมรณะได้เลยทีเดียว
“นายท่าน นั่นมันหุ่นเชิดศพโครงกระดูกในขั้นผู้สูงศักดิ์! การสร้างโครงกระดูกได้หลอมเอา ‘ผลึกกระดูกฉวนโม่’ ซึ่งเป็นทรัพยากรศาสตร์แห่งศพชั้นยอดที่ล้ำค่าและหาได้ยากยิ่งเข้าไปด้วย…” ขนาดเจ้าหอโครงกระดูกที่อยู่ไกลออกไปยังรู้สึกเจ็บปวดไม่น้อย
“ผลึกกระดูกฉวนโม่?” จ้าวเฟิงเข้าใจในฉับพลัน ทรัพยากรแบบนี้มีประโยชน์กับเจ้าหอโครงกระดูกเป็นอย่างยิ่ง
พรึ่บ!
แส้วายุอัสนีพิฆาตสีม่วงในมือของจ้าวเฟิงพลันหายไป พลังวายุอัสนีพิฆาตก็ไหลรวมกลับเข้าไปภายในร่าง
“ตราจักรพรรดิเหมันต์!”
จ้าวเฟิงกระตุ้นพลังสายเลือด ในฝ่ามือของเขาปรากฏตราแสงเหมันต์สีฟ้าสุกใสราวผลึกแก้ว มันพลันขยายใหญ่ออกมา แล้วสาดซัดพลังเหมันต์โบราณที่หนาวเหน็บออกไปคลุมทั่วร่างของโครงกระดูกหยกทมิฬ
แซ่ด แซ่ด~
ร่างภายนอกของโครงกระดูกมีน้ำแข็งห่อหุ้มจนร่างของมันแข็งทื่อ มองดูแล้วราวกับว่ามันโดนตราลำแสงเหมันต์ปกคลุมไว้ ภายนอกเริ่มกลายเป็นผลึกน้ำแข็ง
แต่อย่างไรมันก็เป็นหุ่นเชิดศพโครงกระดูกในขั้นผู้สูงศักดิ์ ทั่วร่างที่มีเพลิงสีดำสนิทพยายามดิ้นรนต่อสู้กับการผนึกของเสวียนอ้าวจักรพรรดิเหมันต์โบราณ
หอกจักรพรรดิเหมันต์!
จ้าวเฟิงสายตาขรึมลง เปลี่ยนจากการใช้เสวียนอ้าวเหตุมันต์บริสุทธิ์ในปริมาณมาก มาใช้พลังของหอกจักรรพรรรดิเหมันต์ภายในร่าง
ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ พลังของ ‘ตราจักรพรรดิเหมันต์’ ก็เพิ่มขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
ร่างของโครงกระดูกหยกทมิฬถูกแช่แข็งอย่างรวดเร็ว มันถูกผนึกอยู่ในตราประทับทรงลูกบาศก์สีฟ้าสุกใสราวผลึก
“นายท่าน ทำได้ดียิ่งนัก!” เจ้าหอโครงกระดูกที่อยู่อีกด้านเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็อดยินดีไม่ได้
“ยั้งมือก่อน…ราชากระดูกหยกทมิฬของข้า!” สตรีอัปลักษณ์ภายใต้ผ้าคลุมที่กำลังสู้รบอยู่หน้าถอดสี กรีดร้องเสียงดังในทันที
จ้าวเฟิงไม่ใส่ใจ โบกมือน้อยๆ ให้ระลอกสายน้ำสีฟ้าหลั่งไหลเข้าไปยังตราประทับนั้น
เหมันต์วารีผันแปร!
ระลอกน้ำนั้นกลายเป็นคลื่นมีดตัดโครงกระดูกหยกทมิฬเป็นชิ้นๆ
โครงกระดูกหยกร่างนี้ดิ้นรนทุรนทุรายเพราะการควบคุมสุดแรงเกิดของสตรีหน้าตาอัปลักษณ์ อีกทั้งในทันทีที่สิ่งของขยับดิ้นรน ก็ยากที่จะเก็บเข้าไปภายในมิติเก็บของได้ นี่เป็นกฎอย่างหนึ่ง
แคว่ก! แคว่ก!
โครงกระดูกหยกทมิฬถูกตัดเป็นหลายส่วน จากนั้นจ้าวเฟิงจึงเก็บชิ้นส่วนพวกนั้นไว้ภายในแหวนเหล็กโบราณ อย่างไรเสียเจ้าหอโครงกระดูกจะใช้ก็แค่เพียงทรัพยากรกระดูกพวกนี้เท่านั้น
“เจ้าหนุ่ม เจ้าทำลายความเหนื่อยยากร่วมร้อยปีของข้า ข้าจะทำให้เจ้าต้องตายทั้งเป็น…”
สตรีอัปลักษณ์ภายใต้ผ้าคลุมหน้าบ้าคลั่งอย่างรุนแรง สติสัมปชัญญะใดๆ ก็หายไปด้วย
กว่าจะสร้างหุ่นเชิดศพในขั้นผู้สูงศักดิ์ออกมาได้เป็นเรื่องที่ยากลำบากเพียงใด
เหล่าโจรสลัดทะเลความว่างเปล่ามองหน้าเหลอหลา สตรีแบบบางสองคนในเรือหลานเหลยใจสั่นสะท้าน
“อัจฉริยะแบบนี้ ต่อให้อยู่ในสำนักสองดาวที่ดินแดนหมู่เกาะเชียนหลิวก็ยากนักที่จะเจอ…” สตรีวงหน้าละมุนจ้องมองไปที่เด็กหนุ่มท่าทางเย็นชาบนร่างของวาฬยักษ์ รู้สึกนับถือขึ้นหลายส่วน
“เพียะ เพียะ เพียะ…”
‘โครงกระดูกเพลิง’ ที่เจ้าหอโครงกระดูกสร้างขึ้น อาศัยจังหวะนี้ปลดปล่อยพลังโจมตีออกไปอย่างรุนแรง แขนกระดูกที่มีพลังยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตเรียกลูกเพลิงมรณะ สะบัดสตรีผ้าคลุมหน้าสีดำที่กำลังเสียสมาธินั้นกระเด็นออกไป
อึก!
สตรีหน้าตาอัปลักษณ์ผู้นั้นกระอักเลือดออกมา เมื่อเสียราชาโครงกระดูกหยกทมิฬไปแล้ว พลังรบของนางก็ลดลงไปสองถึงสามขั้น
แล้วในเวลานี้ เจ้าหอโครงกระดูกหลอมรวมกับ ‘กระดูกเก้าทมิฬ’ ปลดปล่อยเคล็ดวิชาที่แข็งกล้า เริ่มกดดันผู้สูงศักดิ์ทั้งสองแล้ว
โครม! โครม! โครม!
จ้าวเฟิงที่อยู่บนร่างของวาฬสั่นไหวไม่หยุด เขาว่องไวมากนัก ใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็จัดการสังหารโจรสลัดภายในรัศมียี่สิบลี้จนหมดสิ้น
โจรสลัดที่เหลืออยู่บางส่วนตกใจราววิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง หนีออกไปไกลกว่าร้อยลี้นานแล้ว
“เป็นแบบนี้ได้อย่างไร!”
หัวหน้ากลุ่มเถี่ยเจี่ยวที่กำลังรบอยู่เหนือทะเลหมอกหน้าเปลี่ยนสี กลุ่มคนที่ไม่เคยอยู่ในสายตาของเขากลับมีพลังรบที่แข็งกล้าชวนสะพรึงขวัญเช่นนี้
เจ้าหอโครงกระดูกสู้รบกับผู้สูงศักดิ์สองคนเพียงลำพัง ส่วนเด็กหนุ่มคนนั้นลงมือปลิดชีพสมาชิกโจรสลัด แช่แข็งและสังหารโครงกระดูกหยกทมิฬในขั้นผู้สูงศักดิ์อย่างสบายๆ
“น่าจะจบแล้ว” จ้าวเฟิงมองดูรอบๆ ก็ไม่เห็นเงาของโจรสลัดคนใดอีก
วิ้ง แซ่ด!
บริเวณแผ่นหลังของจ้าวเฟิงฉับพลันปรากฏปีกวายุอัสนีสีม่วงอ่อนคู่หนึ่ง เสียงอัสนีบาตดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
“ปีกวายุอัสนี!” เพียงหนึ่งหรือสองช่วงพริบตาเท่านั้น จ้าวเฟิงก็ใช้ความเร็วที่ชวนพิศวงบินวนกลับไปบริเวณใกล้เรือหลานเหลย
วูบ~
ในละแวกใกล้เคียงของเรือหลานเหลย ลมวายุอัสนีสร้างความปั่นป่วนให้กับไอสวรรค์วายุอัสนีในฟ้าดิน คล้ายคลึงกับพลังที่แข็งแกร่งของคนในขั้นผู้สูงศักดิ์
เพียะ! แซ่ด แซ่ด!
ปีกวายุอัสนียาวหลายจั้งที่รายล้อมด้วยกลิ่นอายแข็งกล้าของวายุอัสนีพิฆาตสีม่วงร่อนลงเหนือศีรษะของคนทั้งหลาย
“ฮะ?” ผู้นำโจรสลัดทั้งสองที่กำลังสู้รบอยู่และสตรีแบบบางภายในเรือหัวใจเต้นถี่ ยังไม่ทันได้สติกลับมา
“คมมีดพิฆาตสีม่วง!” ในมือของจ้าวเฟิงปรากฏลำแสงมีดสีม่วงเล่มบางราวปีกจักจั่น บริเวณผิวนอกของมันห่อหุ้มด้วยเส้นวายุอัสนีสีม่วงสุกสกาวราวแก้ว อัดแน่นด้วยกลิ่นอายทำลายล้าง
เปรี้ยง แซ่ด แซ่ด…
‘คมมีดพิฆาตสีม่วง’ ได้ปรากฏเป็นรูปร่างที่สมบูรณ์ยามจ้าวเฟิงปรากฏตัวขึ้น เขารวบรวมพลังไว้แล้วปล่อยออกไปในทันที!
เพียะ โครม!
คมมีดพิฆาตสีม่วงแทงทะลุสตรีหน้าตาอัปลักษณ์ผู้นั้นจากด้านหลังลำคอ
“อ๊าก…” สตรีนางนั้นกรีดร้องโหยหวน ใบหน้าเต็มไปด้วยความสะพรึงกลัว
ไม่นานก่อนหน้านี้ นางรับการโจมตีที่แสนรุนแรงของเจ้าหอโครงกระดูกจนกระอักเลือด จึงยังไม่ทันได้ตั้งสติดี แต่เมื่อ ‘ปีกสายุอัสนี’ พาจ้าวเฟิงมาถึงที่นี่ การโจมตีดังกล่าวก็เสร็จสิ้นพอดี
แซ่ด แซ่ด สวบ!
คมมีดพิฆาตสีม่วงพุ่งผ่านไอเพลิงสีขาวมรณะบนร่างของสตรีอัปลักษณ์ พลังนั้นพุ่งทะลุไปถึงขีดสุด แต่คมมีดพิฆาตสีม่วงที่แฝงไปด้วยพลังเสวียนอ้าวทำลายล้างก็รุนแรงมากพอจะทำลายร่างกายภายในของนางแล้ว
โครม!
ศพของสตรีนางนั้นร่วงหล่นลงจากทะเลหมอก
“นี่มัน…” ชายหนุ่มหน้าตาอำมหิตที่สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับนางหวาดกลัวจับขั้วหัวใจจนต้องสูดลมหายใจลึก
‘ปีกวายุอัสนี’ และ ‘คมมีดพิฆาตสีม่วง’ ประสานสมบูรณ์แบบ ทำให้จ้าวเฟิงใช้วิธี ‘ว่องไวปานสายฟ้า’ ฉวยโอกาสจู่โจมตอนฝ่ายตรงข้ามเผลอได้สำเร็จ