บทที่ 587 โลกกลม
ตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า มองจากภายนอกเป็นตำหนักจำนวนหลายหลังเชื่อมต่อกันกลายเป็นหมู่ตำหนักเกาะติดกันเป็นแผง แล้วล้อมรอบด้วยกลุ่มพลังลูกไฟสีฟ้าใสสกาว ประดุจเป็นก้อนอัญมณีวาววับ
แต่เมื่อเข้าไปภายในตำหนักวิญญาณแล้ว ถึงพบว่าภายในนั้นเป็นเมืองจิตวิญญาณกึ่งปิดผนึกที่มีสีสันตระการตา
พื้นที่ที่แท้จริงภายในตำหนักวิญญาณเทียบกับที่เห็นจากภายนอกแล้วใหญ่กว่าไม่รู้กี่เท่า อาณาจักรนภาไม่อาจจะเทียบได้เลย
สวบ! สวบ! สวบ!
‘พื้นที่กว้างใหญ่’ ภายในตำหนักวิญญาณ มีเงาร่างของบรรดายอดฝีมือจำนวนมากบินผ่านไปในอากาศ รวมไปถึงเงาขนาดมหึมาของสัตว์วิเศษบินมาเป็นฝูง หรือไม่ก็เรือหลากหลายรูปแบบ เรือแห่งทะเลความว่างเปล่าบางส่วนในนั้น ลักษณะรูปทรงใหญ่กว่าเรือหลานเหลยกว่าสิบเท่า สามารถบรรจุคนในเรือได้นับร้อย
ภายในดินแดนวิญญาณกึ่งปิดผนึกที่ปรากฏในครรลองสายตา สามารถมองเห็นสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ และทหารที่คอยคุ้มกันตำหนัก
นอกจากนี้ ทั่วทุกบริเวณตำหนักวิญญาณยังมองเห็น ‘ร้านค้า’ เล็กใหญ่หลากหลายขนาด อีกทั้งในเมืองที่เป็นส่วนตลาดแออัดจอแจยังมี ‘แผงลอยส่วนตัว’ ที่ค้าขายแลกเปลี่ยน ‘เหล่าเจ้าของแผง’ พวกนั้นเองก็เป็นยอดฝีมือจากที่ต่างๆ เช่นกัน
ในบริเวณค้าขายที่รุ่งเรืองของเมืองนี้ ผู้คนมากมายเดินผ่านไปมา ส่งเสียงดังจอแจ
พื้นที่ต่างๆ ภายในเมืองตำหนักวิญญาณขนาดใหญ่ถูกรายล้อมด้วยสภาพแวดล้อมต้นไม้ภูเขาและสายน้ำ ทิวทัศน์จรรโลงใจผู้คน เหนือศีรษะขึ้นไปเป็นท้องฟ้าสีฟ้าสดใสจนมองเห็น ‘ทะเลความว่างเปล่าด้านนอกเมือง’ ได้รางๆ
บรรดาลูกเรือมองของมากมายมหาศาลเบื้องหน้าด้วยสายตาตกตะลึง
“พื้นที่ภายในตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่าเทียบกับซากปรักหักพังสือเฉิงแล้วใหญ่กว่ามาก” นอกเหนือจากความตกใจ จ้าวเฟิงยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คลับคล้ายคลับคลากับซากปรักหักพังสือเฉิง
ระหว่างตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่าและซากปรักหักพังสือเฉิงมีความคล้ายคลึงกันอย่างเห็นได้ชัด
หนึ่งในนั้นคือ มิติภายในทั้งสองแห่งล้วนแต่สร้างโดยน้ำมือมนุษย์ ไม่ใช่มิติที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
ข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือ ซากปรักหักพังสือเฉิงเป็นมรดกมิติลี้ลับที่ปิดผนึกไว้ มีความสามารถในการดำรงอยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องการทรัพยากรอย่างผนึกเริ่มต้น
ส่วนตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า แก่นแท้ของมันสร้างขึ้นเป็น ‘พื้นที่ขนาดเล็ก’ โดยคนผู้หนึ่งและยังติดต่อกับโลกภายนอก ทุกวันต้องการผนึกเริ่มต้นจำนวนมากเพื่อให้มิติคงสภาพอยู่ต่อไปได้
ขอเพียงแค่มีทรัพยากรอย่างผนึกเริ่มต้น ‘ตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า’ ก็จะสามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่สูญสลายไป
แน่นอนว่าไม่ว่าจะมากจะน้อย ความสามารถในการบุกเบิกพัฒนามิติก็ถือว่าทิ้งนำผู้อื่นไปจนไม่เห็นฝุ่นแล้ว
“คุณสมบัติไอสวรรค์ของตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า แข็งแกร่งกว่าเขาปาฮวงของพวกเราหลายเท่าตัว เกรงว่าน่าจะเทียบเทียมดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามได้…”
ดวงตาโหลวหลานจื๋อสุ่ยสั่นระริกเมื่อพื้นที่ขนาดใหญ่และวิวทิวทัศน์สวยงามละลานปรากฎขึ้นในครรลองจักษุ
ภายในตำหนักวิญญาณที่ดูเหมือนไม่ใหญ่ แต่กลับยิ่งใหญ่และเจริญมากขนาดนี้ เมื่อเทียบกับเขาปาฮวงที่จัดว่าเป็น ‘สถานที่เติมเสบียง’ กับ ‘จุดพักเปลี่ยน’ แล้วน่าจะเหนือกว่าหลายระดับ
พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ สถานที่แห่งนี้เป็นศูนย์กลางการค้าขายและจุดพบปะของยอดฝีมือนอกทวีป เป็นพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนระดับสูงบนทะเลแห่งความว่างเปล่า
“นายท่านหัวหน้าเรือคนนี้ ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่ท่านเข้ามา ‘ตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า’ ใช่หรือไม่? ถ้าหากว่ามีความต้องการอะไร เสี่ยวหม่าช่วยนายท่านทำงานขันแข็งประหนึ่งม้าได้ รับรองว่าจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับนายท่าน ไม่ให้โดนหลอกแต่อย่างใด…” น้ำเสียงนบนอบเสียงหนึ่งลอยแว่วมา
จ้าวเฟิงผ่อนฝีเท้าลงแล้วประเมินเด็กหนุ่มหน้าตาดีตรงหน้า
เด็กหนุ่มผู้นั้นขี่ม้าบินสีขาวปลอด นัยน์ตากระจ่างใส ก้มกายค้อมคำนับพร้อมกับแย้มรอยยิ้มน้อยๆ
แววตาของเขาไม่ได้สนใจยอดฝีมือนอกดินแดนคนอื่นหรือผู้สูงศักดิ์ในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดทั้งหลาย แต่เขากลับจับจ้องบนร่าง ‘จ้าวเฟิง’ เพียงคนเดียว
“เสี่ยวหม่า?ที่นี่พวกเจ้าเก็บเงินอย่างไร?”
จ้าวเฟิงเกิดความสนใจอย่างมาก ครุ่นคิดชื่อของคนหนุ่ม อายุของอีกฝ่ายน่าจะพอๆ กับเขา แต่กลับฝึกตนอยู่ในขั้นนายเหนือแท้
แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่จุดสนใจหลักของเขา
เด็กหนุ่มที่เรียกตนเองว่า ‘เสี่ยวหม่า’ เหมือนว่าทำอาชีพเป็นคนนำทางโดยเฉพาะ การที่เขาดำรงชีวิตอยู่ใน ‘ตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า’ ที่ซึ่งชุลมุนวุ่นวายได้ แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย
“ ‘เสี่ยวหม่า’ เป็นฉายาของข้า ท่านหัวหน้าเรือเพิ่งมาถึงที่ ‘ตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า’ ท่านมาที่นี่มีความต้องการอะไร ข้าน้อยสามารถนำทางท่าน เป็นลูกไม้ลูกมือให้นายท่านได้ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายนั้น…ก็แล้วแต่นายท่านจะตบรางวัลให้” เด็กหนุ่มวงหน้าองอาจเต็มไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
เขาค้อมกายลงน้อยๆ แล้วใช้หางตาลอบสังเกต ‘หัวหน้าเรือผู้เยาว์’ คนนี้ ซึ่งที่จริงแล้วภายในใจของ ‘เสี่ยวหม่า’ รู้สึกตึงเครียดและกระสับกระส่ายนัก
ถึงแม้ว่า ‘ลูกค้า’ ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ไม่ใช่ผู้สูงศักดิ์ในขั้นขอบแขตแก่นก่อกำเนิด แต่ว่าความรู้สึกบางอย่างบอกกับเขา ชายผู้นี้จะต้องเป็นคหบดีหรือแขกผู้ร่ำรวยแน่
ตั้งแต่ตอนที่ทำตราสั่งเข้าเมืองมา เสี่ยวหม่าก็ ‘จับจ้อง’ ที่หัวหน้าเรือผู้เยาว์คนนี้มาโดยตลอด
“ได้! พวกเราล้วนแต่ได้ประโยชน์กันทั้งนั้น” จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างเคร่งขรึม เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “สำหรับจะตบรางวัลให้เท่าไหร่ คงต้องดูความสะดวกสบายที่เจ้าจัดหาให้ข้าแล้วล่ะ”
“ขอบพระคุณนายท่านมาก” เสี่ยวหม่าเหมือนยกภูเขาออกจากอก ในใจโล่งไปเปาะหนึ่ง
“ท่านหัวหน้าเรือ ไม่ทราบว่าท่านมาที่ ‘ตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า’ เพราะต้องการอะไร เสี่ยวหม่ารับใช้ท่านได้” เสี่ยวหม่าเช็ดคราบเหงื่อบริเวณหน้าผาก แล้วรีบเดินตามหลังจ้าวเฟิงประดุจข้ารับใช้
“พาข้าเดินดูอะไรหน่อย” จ้าวเฟิงไม่ได้ตอบในทันที เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้รีบร้อนแต่อย่างใด
“ได้เลยขอรับนายท่าน ตามข้าน้อยมา” เสี่ยวหม่าที่มีใบหน้าเป็นมิตรนำจ้าวเฟิงและพรรคพวก แนะนำสถานที่ต่างๆ ภายใน ‘ตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า’
สิ่งแรกที่ลอดเข้ามาในครรลองสายตาของเขา เป็นหอสูงโอ่อ่าใหญ่โตยิ่งนัก มีทหารของตำหนักวิญญาณคอยเฝ้าอยู่
“นายท่านเชิญดู! หอที่มีทหารของตำหนักวิญญาณเฝ้าอยู่ ล้วนแต่เป็นสถานที่แลกเปลี่ยนค้าขายอย่างเป็นทางการของ ‘ตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า’ รวมการแลกเปลี่ยนต่างๆ กว่าเก้าสิบส่วนขึ้นไปบนทะเลความว่างเปล่าไว้ ยกตัวอย่างเช่นมรดกพลังฝึกตน โอสถวิเศษล้ำค่า ของล้ำค่าแห่งจิตวิญญาณ ฝูงสัตว์วิเศษ อาวุธเทพเซียน การสร้างเรือต่างๆ โรงเตี๊ยมร้านน้ำชา คนคุ้มภัยให้กับเรือ…” เสี่ยวหม่าเอ่ยขึ้นเรื่อยๆ ไม่หยุด
“ทางการ?” จ้าวเฟิงจึงเข้าใจในทันที หอที่มีทหารองครักษ์ของตำหนักวิญญาณคุ้มกันอยู่ เจ้าของกิจการดังกล่าวล้วนแต่เป็นตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า
หากจะพูดให้ชัดเจนอีกหน่อยก็คือ ที่นี่คือดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์!
“สถานที่แลกเปลี่ยนที่เป็นทางการพวกนี้ซื่อสัตย์ยุติธรรม ไม่มีการหลอกลวงต้มตุ๋น ทั้งยังมีการรับรอง แต่ข้อเสียคือ ราคาจะสูงกว่าราคาตลาดทั่วไปอยู่สักหน่อย” เสี่ยวหม่าเอ่ยความเห็น
จากนั้น ดวงตาของจ้าวเฟิงก็จับจ้องไปที่ร้านค้าส่วนตัวที่ไม่มีทหารองครักษ์ของตำหนักวิญญาณคอยเฝ้า
“ร้านค้าเหล่านี้มีสิ่งของมากมายหลายประเภท ค่อนข้างได้มาตรฐาน บางร้านค้าก็ไม่ได้เล็กไปกว่าร้านของทางการ เบื้องหลังของพวกเขาโดยมากมักเป็นตระกูลใหญ่ มีอิทธิพลมากถึงขนาดที่ว่ามีหัวหน้าใหญ่ของสำนักสองดาวเข้าร่วมด้วย” เสี่ยวหม่าเอ่ยอธิบายต่อ
ระหว่างที่บินไป วิวทิวทัศน์ที่งดงามจับใจล้วนแต่มีอยู่ทั่วบริเวณ
“ส่วนหาบเร่แผงลอยพวกนี้ โดนจำกัดให้อยู่แต่ภายใน ‘ตลาดอิสระ’ แผงพวกนี้เกิดจากการเจรจาส่วนตัวของผู้ซื้อและผู้ขาย ของทั้งดีไม่ดีปะปนกันจึงค่อนข้างวุ่นวาย ไม่มีใครรับรองได้ แต่เหนือกว่าที่ความมีอิสระและครึกครื้น…”
คนทั้งหลายมาถึงตลาดอิสระ ที่ตลาดมีเสียงร้องตะโกนขายของต่อราคาดังโหวกเหวกวุ่นวายไปหมด ราวเป็นตลาดขายผักก็ไม่ปาน
คนที่ทำการซื้อขายที่นี่ โดยมากแล้วฝึกตนอยู่ในขั้นนายเหนือแท้ มีขอบเขตแก่นก่อกำเนิดบางส่วน ซึ่งส่วนมากจะอยู่ในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำ ถึงขนาดมีผู้สูงศักดิ์ในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงมาเสี่ยงดวงที่ตลาดอิสระแห่งนี้
“เหอะเหอะ ถ้าโชคดีแล้วล่ะก็ อาจเจออาวุธวิเศษชั้นเซียนที่ประมาณค่าไม่ได้ในราคาเท่ากับหัวผักกาดได้เลยทีเดียว” เสี่ยวหม่าเอ่ยอย่างอารมณ์ดี
“สถานที่วุ่นวายแบบนี้ มีคนเยอะแยะหลากหลายประเภท จะหาของล้ำค่าอะไรเจอ” โหลวหลานจื๋อสุ่ยเอ่ยขัด
สายตาของนางจ้องที่แหล่งค้าขายของทางการหรือไม่ก็ร้านค้าขนาดใหญ่พวกนั้น
“แม่นางผู้นี้เข้าใจผิดแล้ว” เสี่ยวหม่าสั่นศีรษะรวดเร็ว แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “เมื่อสิบปีก่อน มีท่านผู้สูงศักดิ์ใช้ผนึกเริ่มต้นระดับสูงร้อยชิ้น ซื้อของวิเศษโบราณอย่าง ‘ตราประจำตัวเซียน’ ครึ่งชิ้นได้ที่ตลาดอิสระแห่งนี้ ของชิ้นดังกล่าวมูลค่ามากเกินกว่าอาวุธชั้นพิภพธรรมดาเสียอีก ต่อมาผู้สูงศักดิ์คนดังกล่าว อาศัย ‘ตราประจำตัวเซียน’ เพียงครึ่งชิ้นฝึกตนมาหลายปี จนสุดท้ายทะลวงไปถึงขั้นราชันในขอบเขตปราณเทวะ สร้างความตกอกตกใจให้กับกลุ่มดินแดนทั่วบริเวณ ขนาดดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ยังตื่นตระหนกไปด้วย…”
ของวิเศษโบราณ ตราประจำตัวเซียน!
ใจจ้าวเฟิงเต้นรัว ไม่คิดว่าในโลกนี้จะมีสิ่งของวิเศษในระดับนี้
ช่วงเวลาแรกสุดของโลกใบนี้ก็คือยุคบรรพกาล ต่อมาเมื่อผ่านช่วงยุคบรรพกาลและยุคโบราณแล้ว จึงเกิดเป็นยุคผืนพสุธาในตอนนี้
ยุคโบราณอยู่ใกล้ช่วงเวลาก่อนที่ยุคบรรพกาลจะแตกสลายที่สุด สิ่งของวิเศษบางส่วนที่หลงเหลือจากยุคสมัยนั้นก็จะมีกลิ่นอายของเทพเจ้าต่างๆ ด้วย
เมี้ยว เมี้ยว!
ไม่รู้เมื่อไหร่ที่เจ้าแมวขโมยตัวน้อยกระโดดขึ้นมาบนไหล่ของจ้าวเฟิง ดวงตาคู่ดังกล่าวของแมวกลอกไปมา
“เอ๊ะ! ตรงนั้นทำอะไรกัน?” แววตาของเหล่าลูกเรือทอดมองไปยังลานประลองที่ใหญ่กว่าของทวีปบุปผาครามกว่าสิบเท่า!
ลานประลองขนาดมโหฬารนั้นมีพื้นที่หลายร้อยลี้ ตรงกลางเป็นเวทีประลอง ทั้งสี่ทิศรอบๆ เป็นที่นั่งของบรรดาผู้ชม
“นั่นคือลานประลองแห่งทะเลความว่างเปล่า! ได้ทางการของตำหนักวิญญาณเป็นผู้จัดงาน ปกติแล้วก็เป็นการประลองกระชับมิตร ประลองวางเดิมพัน หรือมีกระทั่งประลองแบบชี้เป็นชี้ตาย ซึ่งมักจะใช้คลี่คลายปัญหาต่างๆ” เสี่ยวหม่าเอ่ยยิ้มๆ
ในเวลานี้เอง ภายในลานประลองแห่งทะเลความว่างเปล่า ไอสวรรค์ในฟ้าและดินสะเทือนเลื่อนลั่น มีเส้นแสงขยับไหวไปมา
“การประลองของขั้นผู้สูงศักดิ์” จ้าวเฟิงทำได้เพียงมองดูเงาแสงที่เกิดขึ้นภายในลานประลอง สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายต่างๆ แต่มองไม่เห็นเรื่องราวข้างในอย่างชัดเจน
“ในช่วงหลายวันมานี้ มีอัจฉริยะสองคนจาก ‘ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู’ เข้าร่วมประลองภายใน ‘ลานประลองแห่งทะเลความว่างเปล่า’ ทำให้คนที่นี่ฮึกเหิมกันใหญ่ ในช่วงนี้ทุกวันแค่เก็บค่าเข้าชมลานประลองก็น่าจะเก็บผลึกเริ่มต้นไปได้มหาศาลแล้ว…” เสี่ยวหม่าเอ่ยอย่างทอดถอนใจ
อัจฉริยะดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู?
โหลวหลานจื๋อสุ่ยและเหล่าลูกเรือรู้สึกเลื่อมใส จนทำให้เกิดความสนใจใคร่รู้อย่างมาก
ทั่วทั้งชางไห่มีดินแดนศักดิ์สิทธิ์หลักสามแห่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นสถานที่น่าเกรงขามในตำนานซึ่งแผ่อำนาจไปทั่วมหาสมุทร
“มีเพียงดินแดนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นจึงจะสามารถสร้างสำนักสามดาวได้…”
ใจของจ้าวเฟิงเกิดความสงสัยขึ้นอย่างอดไม่ได้ อยากจะรู้ว่าอัจฉริยะที่มาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะมีพลังอยู่ในระดับไหน
ในวันนี้ อย่างมากที่สุดเขาก็เคยประลองกับอัจฉริยะสำนักสองดาวหรือสำนักสองดาวครึ่ง
ความเป็นจริงแล้ว คนอย่างเช่น ‘ลู่เทียนอี้’ ไม่ได้เป็นศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่าง ถึงอย่างไรเสีย เงื่อนไขของมรดกซากปรักหักพังสือเฉิงก็จำกัดอายุขัยด้วย
แต่กับสำนักสองดาวระดับสุดยอดและสำนักสามดาว จ้าวเฟิงยังไม่เคยประลองด้วย
จากที่เขารู้มา การแบ่งระดับดาวของสำนักต่างๆ สำนักในระดับดาวเดียวกัน พลังสามารถต่างกันได้สิบเท่า อย่างเช่นความต่างของสำนักสองดาวธรรมดาและสองดาวระดับสุดยอด
ถึงจะเป็นสำนักหนึ่งดาวในระดับเดียวกัน ลัทธิมารจันทราชาดในยามก่อนก็รับมือกับสิบยอดสำนักของทวีปได้
“ท่านหัวหน้าเรือ ถ้าหากท่านสนใจก็เข้าไปชมด้านในได้” เสี่ยวหม่าเอ่ยแนะนำ
“ดี พวกเราเข้าไปชมอัจฉริยะสองคนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอูกัน” จ้าวเฟิงเอ่ยด้วยความสนใจยิ่ง
สวบ สวบ สวบ!
กลุ่มคนของเรือหลานเหลยเดินตามเสี่ยวหม่ามาเรื่อยๆ ล่องลอยมายังทิศทางของลานประลองแห่งทะเลความว่างเปล่า
ในทันใดนั้นเอง ยามเข้าใกล้ลานประลอง ดวงตาเทพเจ้าและเลือดภายในร่างของจ้าวเฟิงเกิดสั่นระรัว
จ้าวเฟิงและคนอื่นเพิ่งจะเข้าไปภายในลานประลอง ในบริเวณใกล้เคียงก็มีคนจำนวนไม่น้อย บินแหวกอากาศตรงมาที่ลานประลองแห่งทะเลความว่างเปล่าเช่นกัน
ในนั้นมีผู้เฒ่าในชุดคลุมสีดำขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง เบื้องหลังมีคู่หนึ่งชายหนึ่งหญิง ผู้ชายท่าทางองอาจโดดเด่น ฝ่ายหญิงดวงหน้าละมุนตรึงใจ
“อืม มาที่ ‘ตำหนักวิญาณทะเลความว่างเปล่า’ ครั้งนี้ ได้จัดการซากของวาฬแห่งความว่างเปล่าระหว่างทาง แล้วยังพาพวกเจ้ามาเปิดหูเปิดตาเสียหน่อย ถึงอย่างไรก็เป็นอัจฉริยะของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แม้กระทั่งข้ายังสนอกสนใจเลย”
ผู้เฒ่าชุดคลุมสีดำเอ่ยยิ้มๆ