บทที่ 677 สายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณ
ณ ยอดเขาจิตวิญญาณหลัก
ประตูของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน มีเวทีประลองที่กว้างใหญ่และทรงเกียรติ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ยอดเขาของยอดเขาจิตวิญญาณหลัก
เวทีแห่งนี้ชื่อว่า ‘เวทีประลองแห่งราชันที่แท้จริง’ เป็นที่เลื่องชื่อลือนามในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่อเนื่องมานับหมื่นปี
ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ยอดฝีมือทั่วไปหรือศิษย์ผู้สืบทอดล้วนไม่มีคุณสมบัติที่จะประลองทดสอบฝีมือใน ‘เวทีราชันที่แท้จริง’ ได้เลย
เพราะว่านี่ถือเป็นพื้นที่ในการต่อสู้ของราชันในขอบเขตปราณเทวะ
และในวันนี้ แสงสว่างสาดส่องเป็นประกาย
บน ‘เวทีราชันที่แท้จริง’ ที่เก่าแก่และทรงเกียรติ เงาทั้งสองร่างยืนประจันหน้ากัน
หนึ่งในนั้นเป็นบุรุษหนุ่มในชุดคลุมยาว ยืนเอามือไพล่หลัง ท่าทางหยิ่งทะนง ดวงตาทั้งสองข้างเป็นประกายแวววาว มีพลังมหาศาลแห่งราชันที่สูงส่งเหนือใครหมุนวนรอบกาย
เมื่อมองผ่านตาเปล่ามันคือกลุ่มลำแสงสีเงินสว่างกระจ่างใส เป็นดั่งแสงแห่งเทพเซียนก็มิปาน
เขาก็คือหนานกงเซิ่งผู้เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งที่ถูกยอมรับในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่
“หึหึ นอกจากเมิ่งซี ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ยังจะมีใครอีกที่เป็นคู่ต่อสู้กับหนานกงเซิ่งได้?”
“หนานกงเซิ่งเลื่อนขั้นเป็นราชัน ต่อให้เป็นเมิ่งซีหรือจ้าวเฟิง เกรงว่าก็จะยากที่จะยืนหยัดได้ถึงสิบกระบวนท่าขณะที่ประลองกับเขา”
ลูกศิษย์สืบทอดจำนวนมากมารวมตัวกันรอบเวทีประลอง
อีกฝั่งของเวทีราชันที่แท้จริง
สาวน้อยชุดม่วงที่สวยสง่าดั่งเทพเซียน งามหมดจดล่มเมือง ผิวพรรณขาวผุดผ่องดั่งหยกหิมะขาวปรากฏระลอกลำแสงสีอ่อน
ว่ากันด้วยเรื่องรูปโฉมที่งดงาม ทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ เห็นจะมีเพียงเมิ่งซีแห่งสำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดายที่สามารถเอามาถกเถียงเปรียบเทียบกันได้
แววตาของลูกศิษย์ผู้ชายบางส่วนจดจ้องไปยังร่างสาวน้อยชุดสีม่วง ใบหน้างดงามชวนตะลึงชวนให้ผู้อื่นต้องละอายที่งามไม่เท่านาง
“นางก็คือจ้าวหยูเฟยงั้นรึ?”
“ยากจะเชื่อได้ว่าทั้งศิษย์พี่เฉิน ศิษย์พี่หนาน และเจียงฟานล้วนแพ้นางมาแล้ว” กลุ่มคนถกเถียงกันด้วยเสียงต่ำ
ถึงแม้จะไม่มีใครคิดว่าจ้าวหยูเฟยมีโอกาสชนะสักเท่าไหร่นัก แต่สามารถก้าวมาถึงขั้นนี้ได้ พรสวรรค์และความสามารถที่แฝงอยู่ของนางก็นับว่าเหนือกว่าคนในรุ่นเดียวกัน
ว่าด้วยเรื่องของอายุ จ้าวหยูเฟ่ยก็อายุน้อยกว่าหนานกงเซิ่งไม่น้อย
การต่อสู้ครั้งนี้ได้รับความสนใจ ในละแวกใกล้เคียงของเวทีราชันที่แท้จริง มีทั้งราชันไปจนกระทั่งคนในขั้นจักรพรรดิ
ในนั้นรวมถึงจักรพรรดิตวนมู่และ ‘จักรพรรดิหมีคง’
ผู้เป็นอาจารย์ของหนานกงเซิ่งที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ด้วย
“คิดไม่ถึงเลยว่าการประลองแรกของข้าหลังจากทะลวงผ่านเป็นราชันจะไม่ใช่จ้าวเฟิง และก็ไม่ใช่เมิ่งซี แต่เป็นสตรีไร้ชื่อเสียงผู้นี้”
หนานกงเซิ่งกระซิบพึมพำกับตนเอง
ด้วยชื่อเสียงอันเลื่องลือของอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ การฝึกตนของราชันในขอบเขตปราณเทวะ ไม่ควรที่จะประลองแลกเปลี่ยนฝีมือกับอัจฉริยะในรุ่นเดียวกัน มิฉะนั้นจะโดนครหาว่า ‘ผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย’ ได้
เพราะเมื่อเลื่อนขั้นเป็นราชันแล้ว ตามหลักการหนานกงเซิ่งจะกลายเป็นคนระดับสูงในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พ้นสถานะจากการเป็นลูกศิษย์แล้ว
เดิมทีหนานกงเซิ่งไม่ได้คิดจะรับคำท้าประลอง
แต่ว่าการต่อสู้ในครั้งนี้เป็นเจตนาของจักรพรรดิตวนมู่ที่ได้ปรึกษาหารือกับ ‘จักรพรรดิหมีคง’ ผู้เป็นอาจารย์ของเขา
ว่ากันว่าหญิงปริศนานางนี้มากจากดินแดนทวีปอันไกลโพ้น มีความสัมพันธ์อันซับซ้อนแนบแน่นกับจักรพรรดิตวนมู่
“เริ่มได้”
เมื่อได้รับสัญญาณจากจักรพรรดิทั้งสอง การประลองบนเวทีราชันที่แท้จริงก็เริ่มต้นขึ้นในที่สุด
คนทั้งสองที่ฝูงชนพุ่งสายตาไปหากลับไม่มีใครลงมือในทันที
“ไม่ว่ามรดกและสายเลือดของเจ้าจะแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ หากไม่ได้เลื่อนขั้นถึงขอบเขตปราณเทวะ ในสายตาของราชันมันก็เป็นเพียงแค่มดเท่านั้น”
หนานกงเซิ่งยืนเอามือไพล่หลัง แล้วห้วงคิดก็ขยับเขยื้อน
โครม!
เพียงชั่วพริบตาเดียว พลังมหาศาลของราชันในอากาศก็สั่นสะเทือนระดับชั้นวิญญาณ ไอสวรรค์ในพื้นที่บริเวณนั้นเหมือนเกาะกลุ่มกันแน่น
ขอเพียงเต็มใจ ความคิดหนึ่งของหนานกงเซิ่งก็สามารถทำลายไปถึงสำนักจันทร์สลายหรือลัทธิโลหะเลือดได้
นี่ก็คือพลังของราชัน!
สิ่งที่ปรากฏขึ้นในครรลองสายตาคือ หนานกงเซิ่งเหมือนหลอมรวมไปกับอากาศที่ว่างเปล่าเวิ้งว้าง ในทุกท่วงท่าทรงพลังไร้ซึ่งขีดจำกัด ทะลวงผ่านถึงระดับชั้นวิญญาณของสรรพสิ่ง
เวทีราชันที่แท้จริงก็มีแสงสีเงินหมุนวนรอบๆ แสงสีเงินนั้นหลอมรวมเข้ากับเสวียนอ้าวในอากาศ เป็นดั่งม่านท้องฟ้าที่โปร่งใสสว่างจ้า
“พลังที่ยิ่งใหญ่ในขอบเขตปราณเทวะของเขากลายเป็นโครงสร้างพื้นที่มิติ ต่อให้เป็นคนในขั้นครึ่งก้าวสู่ราชัน พลังก็ยังโดนข่มไว้ ร่างกายจะถูกกักขังจากพลังของอาณาเขต ยากที่จะต่อต้านได้”
ในบรรดาผู้ชมการต่อสู้ มีราชันอยู่หลายคน
จักรพรรดิหมีคงเป็นผู้เฒ่าผมเงินคนหนึ่ง เขาอมยิ้มมุมปาก รู้สึกกระหยิ่มในใจขณะเหลือบตามองจักรพรรดิตวนมู่ชิง
“ไม่เสียทีที่เป็นหนานกงเซิ่ง เพิ่งจะเลื่อนขึ้นเป็นราชันได้ไม่นาน พลังกลับไม่ด้อยไปกว่าผู้เป็นราชันมานานเลย”
ตวนมู่ชิงกล่าวทอดถอนใจ
เพียงแค่หนึ่งห้วงความคิดเดียวก็มีอานุภาพแข็งแกร่งขนาดนี้แล้ว
หากเปลี่ยนเป็นจ้าวเฟิงคนเก่าหรือว่าเมิ่งซีต้องถูกกดไว้ ไม่มีแรงโต้กลับได้อย่างแน่นอน
“หยูเฟย สำนึกรู้ราชาของเขาแฝงไปด้วยพลังมิติ…” เสียงของเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงดังขึ้นในหัวของจ้าวหยูเฟย
วงหน้างามของจ้าวหยูเฟยแดงระเรื่อด้วยโดนบีบคั้นจากสำนึกรู้ด้านมิติและอานุภาพของราชัน แต่กลับไม่แสดงท่าทีว่ายอมแพ้และอ่อนแอแต่อย่างใด
กลับกันนางยังยิ้มออกมา “เจ้าแข็งแกร่งมาก แต่ข้าจะไม่มีทางแพ้ให้เจ้า!”
“หืม?”
หนานกงเซิ่งมีสีหน้าประหลาดใจ
พลังในขั้นราชันของตนเองที่กดไปยังร่างจ้าวหยูเฟยราวโยนก้อนหินลงในมหาสมุทร ไร้ร่องรอยเสียอย่างนั้น เหมือนว่าหลุดเข้าไปยังอีกโลกหนึ่งด้วยซ้ำ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง มิน่านางจึงอาจหาญต่อสู้กับราชัน”
นัยน์ตาสีเงินของจักรพรรดิหมีคงสว่างเป็นประกาย สีหน้าประหลาดใจ
ราชันบางส่วนที่อยู่ในเหตุการณ์เองต่างก็มองออกถึงเงื่อนงำ
ร่างของจ้าวหยูเฟยหายเข้าไปอยู่ในโลกมิติส่วนตัว จึงไม่ได้หวาดกลัวอะไรกับพลังที่ยิ่งใหญ่ในฟ้าดินจากขั้นราชัน
วิ้ง~
เรือนร่างสตรีชุดม่วงเปล่งแสงผลึกสีม่วง พลานุภาพมหาศาลทะลวงผ่านพื้นหลังสีเงินที่อยู่รอบร่างกายจนแตกละเอียด
“เป็นไปได้อย่างไรกัน!”
หนานกงเซิ่งผงะเล็กน้อย พื้นที่เขตแดนมิติซึ่งสร้างขึ้นจากพลังในขั้นราชันของตนเอง กลับถูกปราณที่แท้จริงของฝ่ายตรงข้ามโจมตีจนสูญสลายไป
ขอบเขตปราณเทวะแบ่งออกเป็นสองระดับขั้น คือ ราชันและจักรพรรดิ
ราชัน เมื่อบรรลุระดับขั้นที่เหมาะสมก็จะสร้างเขตแดนมิติได้ แต่ไม่ใช่มิติที่เป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง
ส่วนจักรพรรดิยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น จะสร้างพื้นที่มิติที่สมจริงและเป็นรูปธรรมได้อย่างแท้จริง กระทั่งจะสร้างโลกใบเล็กก็ย่อมได้!
หนานกงเซิ่งเพิ่งเลื่อนขั้นเป็นราชันได้ไม่นาน
แต่เพราะว่าเชี่ยวชาญในเสวียนอ้าวมิติ แล้วยังมีกายจิตว่าง จึงทำให้เขาสามารถสร้างพื้นที่เขตแดนมิติขึ้นมาได้
ครึ่งก้าวสู่ราชันทั่วไปเมื่ออยู่ในพื้นที่มิติแทบจะไม่มีแรงต่อต้านเสียด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม
ปราณที่แท้จริงซึ่งถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างของจ้าวหยูเฟยนั้นมีพลังที่น่าตื่นตกใจ มันสั่นสะเทือนพลังพื้นที่มิติรอบกายจนกระจายหายไป
“ช่างเป็นปราณที่แท้จริงที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง!” เหล่าราชันที่อยู่ในเหตุการณ์เผยสีหน้าประหลาดใจ
“ยังไม่มีพลังขั้นราชันที่เป็นรูปร่าง แต่กลับสามารถทำลายเส้นแบ่งขอบเขตพลัง จนมีปราณที่แท้จริงแข็งแกร่งเทียบเท่าได้กับคนในขั้นราชันเลยทีเดียว” จักรพรรดิหมีคงยังประหลาดใจไม่หาย
ในเวลานี้เอง
หนานกงเซิ่งและจ้าวหยูเฟยต่างลงมือในเวลาเดียวกัน
พลังที่ยิ่งใหญ่น่าสะพรึงกลัวกับระลอกสีเงินลึกลับลอยละลิ่วลงมาจากฟ้า กดดันไปที่จ้าวหยูเฟย
พลังกลุ่มก้อนนั้นรุนแรงมากพอที่จะทำลายเมืองธรรมดาทั่วไปได้
“วิชาสือเทียนเฉิง!”
จ้าวหยูเฟยเอ่ยด้วยเสียงอ่อนหวาน มือขาวเนียนราวหยกโบกน้อยๆ แสงผลึกสีม่วงนับหมื่นเส้นสายตรงดิ่งไปหาหนานกงเซิ่ง ในทุกระลอกคมกริบราวกับคมดาบ มีชีวิตชีวาราวกับปลา เต้นระบำกลายเป็นลมพายุสีม่วง
โครม โครม เปรี้ยง!
พลังสองกลุ่มของคนในขั้นราชันปะทะกันบนเวทีราชันที่แท้จริง พลังนั้นช่างยิ่งใหญ่และงดงาม
“พละกำลังของนาง…กลับสามารถต้านทานพลังราชันของข้าได้” หนานกงเซิ่งเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
ท้ายที่สุดแล้วเขาจึงเลิกประเมินคู่ต่อสู้ต่ำไป
ดินแดนทวีปในตำนานไม่ธรรมดาจริงๆ อยู่เหนือกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ด้วยซ้ำไป
ขวับ!
ร่างของหนานกงเซิงหายวับไปจากที่เดิม
แล้ววินาทีต่อมา
ฟุ่บ!
จุดไฟสีเงินลึกลับเกาะกลุ่มกันจนเป็นกลิ่นอายต้องห้ามกลุ่มก้อนหนึ่ง แล้วตรงดิ่งไปด้านข้างของจ้าวหยูเฟย
ท่าร่างและเคล็ดวิชามิติของหนานกงเซิ่งไปถึงระดับสูงในขั้นใหม่ทั้งหมดอย่างรวดเร็ว
เคล็ดวิชามิติ!
จ้าวหยูเฟยหัวใจเต้นแรง สายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณของนางรู้สึกไวต่อปฏิกิริยาของไอสวรรค์ในฟ้าและดิน กระทั่งเป็นหนึ่งเดียวกันด้วยซ้ำ
“จัดการ!”
มือขาวสะอาดของจ้าวหยูเฟ่ยแผ่ออก ระลอกพลังแวววาวสีม่วงที่หมุนวนอย่างเงียบงันขยายเป็นสิบจั้งในฉับพลัน แล้วกลืนกินเอาจุดสว่างสีเงินเข้าไป
มุมปากของหนานกงเซิ่งยิ้มหยัน
โครม โครม ตูม!
จุดแสงสีเงินลึกลับปะทุออกอย่างรุนแรงภายในระลอกประกายสีม่วง เหมือนกับมีพลังที่สามารถทำลายแกนกลางของมิติได้
พลังของเคล็ดวิชามิติระเบิดลงบนร่างของจ้าวหยูเฟยในทันใด
วูบ!
เงาสว่างสีม่วงเป็นประกายที่หลงเหลืออยู่บนพื้นสูญสิ้นไปพร้อมกับจุดสว่างสีเงินทั้งหมด
ถัดจากนั้น
แสงสีม่วงแวววาวเจิดจ้าเฉียดผ่านเป็นเศษเสี้ยวเงาสว่าง หอบเอาพลังที่น่ากลัวตรงดิ่งไปทางหนานกงเซิ่ง
มองจากไกลๆ จะเห็นเพียง ‘ดาวตกสีม่วง’ ที่สว่างแสบตาพุ่งตรงไปหาหนานกงเซิ่ง
แย่แล้ว!
หนานกงเซิ่งสัมผัสได้ถึงอันตราย ลายเส้นสีเงินปรากฏขึ้นบนร่างแล้วสว่างวาบออกไปหลายสิบจั้ง
ตูม โครม!
‘ดาวตกสีม่วง’ ระยิบระยับตรงดิ่งไปยังจุดที่หนานกงเซิ่งเคยยืนอยู่ ควันเพลิงสีม่วงกลืนกินเอาความว่างเปล่าที่บิดเบี้ยวทับซ้อนนั้นไป
หนานกงเซิ่งเกือบจะโดนดาวตกสีม่วงนั้นปะทะเข้าร่างอย่างจังแล้ว
วิ้ง!
กลุ่มควันเพลิงของดาวตกสีม่วงจางหายไป ในกลุ่มคลื่นแสงปรากฏเงาร่างแบบบางที่งดงามราวภาพฝันของจ้าวหยูเฟย
“วิชาสือเทียนเฉิง!”
“นางมีความสัมพันธ์อะไรกับ ‘เซียนจื่อเย่’ ?”
จักรพรรดิหมีคงจับจ้องจ้าวหยูเฟยเขม็งแล้วสูดหายใจลึกเข้าปอด
เขาเองก็เป็นจักรพรรดิที่เก่าแก่เช่นกัน ก่อนหน้านี้นานมาแล้วยังเคยเห็นความสง่างามของ ‘เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิง’ ด้วยตาตนเอง
ในช่วงเวลานั้น อำนาจของเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงสะเทือนหมื่นสำนักในดินแดน ยากจะมีผู้ใดสามารถรับมือได้
“ถูกต้อง นางคือศิษย์ผู้สืบทอดมรดกของเซียนจื่อเย่ แล้วยังมีสายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณด้วย”
มุมปากของจักรพรรดิตวนมู่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม สีหน้าตื่นตะลึงของจักรพรรดิหมีคงทำให้เขารู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง
ไม่ว่าผลแพ้ชนะจะเป็นอย่างไร
หนานกงเซิ่งก็เป็นราชัน มี ‘กายจิตว่างและกายจิตวิญญาณฟ้า’ ซึ่งเป็นพรสวรรค์ขั้นสูงสุด ทั้งยังเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์
แต่จ้าวหยูเฟยนั้นไม่ว่าจะอายุหรือการฝึกตนก็ล้วนแต่ด้อยกว่าหนานกงเซิ่ง
“รอยแยกเวหามายา!”
เมื่อเส้นแหลมคมสีเงินสว่างวาบ หนานกงเซิ่งก็ปรากฏกายด้านหลังของจ้าวหยูเฟย
แสงปลายแหลมสีเงินเป็นเสมือนรอยแยกที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศ สาดซัดพลังมิติต้องห้ามออกมา
ในวินาทีนี้ คนทั้งสองอยู่ในระยะที่ใกล้กันอย่างมาก จนหนานกงเซิ่งได้กลิ่นหอมลอยมาจากร่างของจ้าวหยูเฟยเลยทีเดียว
ฉัวะ!
‘รอยแยกเวหามายา’ ฟาดปะทะลงบนร่างของจ้าวหยูเฟย
หนานกงเซิ่งโคจรพลังของราชันไปจนถึงขั้นสุดยอด เคล็ดวิชามิติเล็งเป้าหมายไปที่จ้าวหยูเฟยจนนางไม่อาจหลบหลีกไปได้
แต่ว่านางเองก็ไม่ได้มีแผนจะหลบหนี ผิวพรรณทั่วร่างกายเปล่งประกายในฉับพลัน ประหนึ่งกลายเป็นเทพธิดาจากผลึกหยกเหมันต์ กระแสธารสีม่วงสว่างวูบวาบ
ตูม โครม!
รอยแยกเวหามายาฟาดฟันลงบนร่างของจ้าวหยูเฟยเหมือนหลอมรวมเข้าไปภายในชั้นผลึกเหลว แสงสว่างสาดออกไปทั่วทิศทาง
“เป็นไปได้อย่างไร!” หนานกงเซิ่งเพ่งสายตา ตะโกนเสียงดังในใจ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าทำให้เหล่าผู้ชมการประลองมองอย่างตกตะลึง
จ้าวหยูเฟยไม่ได้สำแดงเคล็ดวิชาที่ยิ่งใหญ่อะไรออกมา แต่ว่าร่างกายกลับอยู่เหนือขีดจำกัดของกายเนื้อ
พื้นฐานสภาวะเช่นนี้ของนางมีวิธีการที่แตกต่างจาก ‘จิตวิญญาณเทพวารี’ ของจ้าวเฟิง แต่ได้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน
แต่จ้าวเฟิงจะใช้เคล็ดวิชาก็ต้องสิ้นเปลืองพลังไปไม่น้อย ถึงจะทำให้เกิดสภาวะเช่นนี้ได้
ทว่ากับจ้าวหยูเฟย พื้นฐานสภาวะเช่นนี้แทบจะเป็นความสามารถพื้นฐานอย่างหนึ่ง
“มรดกสายเลือดประเภทนี้ หรือว่าจะเป็น ‘เผ่าพันธุ์วิญญาณ’ ในรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์”
เหล่าราชันส่วนหนึ่งที่นั่งชมการประลองอยู่พูดอะไรไม่ออกในฉับพลัน
ต้องรู้ว่า การโจมตีของหนานกงเซิ่งเป็นการโจมตีทางมิติที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง แต่กลับไม่อาจทำร้ายจ้าวหยูเฟยได้แม้เพียงปลายขน
“เผ่าพันธุ์วิญญาณ! คุณสมบัติสายเลือดเช่นนี้จะต้องเป็นเผ่าพันธุ์วิญญาณอย่างแน่นอน”
จักรพรรดิหมีคงสูดหายใจเข้าลึก ยากที่จะปกปิดความตื่นตกใจในแววตา
เผ่าพันธุ์วิญญาณเป็นอันดับที่สิบเก้าของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ นี่เป็นสายเลือดในตำนานที่อยู่เหนือกว่าเผ่าพันธุ์นับหมื่นในฟ้าดิน
วิ้ง!
ร่างแบบบางของจ้าวหยูเฟยสว่างเจิดจ้าราวผลึกสีม่วง ‘บาดแผล’ สมานอย่างรวดเร็ว จนไม่มีแม้แต่ร่องรอยใดๆ หลงเหลืออยู่บนเรือนร่างนาง