Skip to content

King of Gods 688

King Of Gods

บทที่ 688 ออกเดินทาง (1)

หลังจากที่สร้างพลังราชันจนสำเร็จ ในแต่ละด้านของจ้าวเฟิงก็ไปถึงขีดสุด ในเวลาสั้นๆ จึงยากที่จะทะลวงผ่านได้

ฝึกตนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงปลาย เมื่อมองในบรรดาอัจฉริยะแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เรียกได้ว่าโดดเด่นเป็นยอด

นอกจากฝึกฝนปราณที่แท้จริงแล้ว สภาวะวิญญาณและชั้นวิญญาณของจ้าวเฟิงล้วนอยู่เหนือขั้นราชัน

ในเวลาดังกล่าวมีห้วงคิดเซียนไม่ต่ำกว่าสิบกลุ่มกวาดผ่านจุดที่อยู่จ้าวเฟิงอยู่

พลังของราชันที่กำเนิดขึ้นมาใหม่ ไม่ว่าจ้าวเฟิงจะปกปิดอย่างไร ก็ไม่อาจจะกลบได้มิด

เจ้าของห้วงคิดเซียนเหล่านั้นล้วนอุทานอย่างประหลาดใจ

เด็กหนุ่มอายุยี่สิบสามปีผู้หนึ่ง ฝึกตนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง ลึกซึ้งในพลังของราชัน นี่เป็นเรื่องอัศจรรย์ขนาดไหนกัน

พลังที่ซุกซ่อนอยู่ของจ้าวเฟิงอาจจะเกินกว่าอัจฉริยะอันดับหนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างหนานกงเซิ่งไปแล้ว

มีเพียงจ้าวหยูเฟยผู้มีสายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณที่ความเร็วในการฝึกตนสามารถอยู่เหนือจ้าวเฟิงได้

“จ้าวเฟิง การพัฒนาของเจ้าเป็นไปอย่างรวดเร็วนัก แต่มีเวลาอีกสิบวัน พวกเราก็ต้องออกจากที่นี่…” เสียงของตวนมู่ชิงลอยมา

ความสามารถของจ้าวเฟิงมากเพียงพอจะต่อสู้กับราชัน

แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคำสั่งล่าสังหาร ราชันหรือกระทั่งจักรพรรดิในอดีตล้วนแต่ไม่มีผู้ใดหนีรอด

“สิบวันสุดท้าย” จ้าวเฟิงพยักหน้าจริงจัง

ชีวิตที่ได้รับการคุ้มครองในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ เหลืออีกเพียงแค่สิบวันสุดท้ายเท่านั้น

ทว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ก็ไม่ใช่จุดหมายสุดท้ายของจ้าวเฟิง

“ดินแดนจิตวิญญาณฝูเมิ่ง…วังเซียนพิณสวรรค์” จ้าวเฟิงพึมพำในใจ

ถ้าหากยืนยันได้ถึงข่าวคราวการมีชีวิตของหลิวฉินซิน หนทางในการฝึกตนของเขาก็ไม่มีอะไรต้องห่วงมากนัก

สิบวันสุดท้าย

จ้าวเฟิงออกจากการฝึกตนอย่างเป็นทางการ

แน่นอนว่าการทำลายพลังของดวงตามรณะยังดำเนินไปไม่เคยหยุดยั้ง

การออกจากด่านฝึกตนของจ้าวเฟิงดึงดูดความสนใจของคนในสำนักจำนวนไม่น้อย

ในวันนั้นที่ประลองกับเหลยเจิ้น จ้าวเฟิงโดดเด่นอย่างยิ่ง เขาเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของศาสตร์อัสนีในสายตาคนอื่นไปแล้ว

เมื่อออกจากที่พำนัก จ้าวเฟิงก็ออกจากยอดเขาจิตวิญญาณหลัก

หลังจากเรื่องอุทยานครึ่งเซียน นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวเฟิงก้าวเท้าออกจากประตูสำนัก

ไม่นานนัก จ้าวเฟิงบินไปยังสำนักบรรพตทอง ห้วงคิดเซียนของเขากวาดผ่านทั้งสำนักอย่างไม่ลังเล จ้าวเฟิงมองเห็นผู้เฒ่าหลี่เคราขาว ราชันชุดสีฟ้า หลี่อวิ๋นหยา รวมทั้งโหลวหลันจื๋อสุ่ยและลูกเรือคนอื่นๆ อย่างรวดเร็ว

“จ้าวเฟิง!”

ราชันชุดคลุมสีฟ้าตกใจจนร้องเสียงหลงเมื่อรู้สึกได้ถึงห้วงคิดเซียนในขั้นราชันของจ้าวเฟิง

เขาสะท้านในอกเล็กน้อย

นี่ผ่านไปเพิ่งจะเท่าไหร่เอง ถึงหนึ่งปีหรือยัง?

ตอนแรกในสายตาของเขา ผู้เยาว์คนนี้ก็เป็นเหมือนมดปลวก แต่ในตอนนี้มีพลังในขั้นราชันเสียแล้ว

ราชันในขอบเขตปราณเทวะเป็นการแปรเปลี่ยนของชั้นวิญญาณ

แต่การเปลี่ยนแปลงสภาพของสำนึกรู้และดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงได้เสร็จสมบูรณ์ไปก่อนหมดแล้ว

ประตูของขั้นราชันเปิดอ้าให้กับเขาแล้วเรียบร้อย

เกรงว่าไม่จำเป็นต้องรอถึงปีสองปี จ้าวเฟิงก็คงเลื่อนขึ้นเป็นราชันได้

จากนั้นเพียงครู่เดียว

ภายในตำหนักรอง ณ สำนักบรรพตทอง

จ้าวเฟิง ราชันชุดคลุมฟ้า และผู้เฒ่าหลี่หนวดขาวนั่งพูดคุยปรึกษาหารือกันสักครู่

วันนี้

จ้าวเฟิงเป็นอัจฉริยะในตำนานของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ไปแล้ว และเป็นดาวดวงใหม่ที่พัฒนาตนได้แข็งแกร่งเป็นที่สุด

ณ งานพิธีรับศิษย์ การแย่งชิงลำดับรายชื่อในตอนนั้น บัวเพิ่งโผล่พ้นน้ำเท่านั้น

ในอุทยานครึ่งเซียน เขาได้ลอกเลียนแนวคิดที่มีมาหลายพันปี โดยใช้วิธีการที่บ้าระห่ำ โจมตีอาณาจักรเผ่าเงือก ช่วงชิงผลึกน้ำตาเงือกและสุราเซียนมายามา

ตั้งแต่นั้นจ้าวเฟิงก็มีชื่อเสียงโดดเด่นในหมู่คนรุ่นเดียวกัน

ยามประลองกับเหลยเจิ้น เขามีวิชาอยู่เหนือกว่าจักรพรรดิวายุอัสนี ชื่อของเขาก็ยิ่งโด่งดังไปทั่วดินแดนศักดิ์สิทธิ์

ในวันนี้ที่ได้เจอกัน ราชันชุดคลุมสีฟ้าและผู้เฒ่าหลี่หนวดขาวทอดถอนใจ

จ้าวเฟิงน่ากลัวมากกว่าที่พูดๆ ต่อกันมาเสียอีก เขามีพลังในขั้นราชันแล้ว

ผ่านไปครู่หนึ่ง ผู้เฒ่าหลี่หนวดขาวก็พาจ้าวเฟิงมาเจอกับพวกลูกเรืออย่างโหลวหลันจื๋อสุ่ยและหลี่อวิ๋นหยา

“จ้าวเฟิง เรือหลานเหลยของเจ้า พวกข้าเชิญปรมาจารย์ศาสตร์ซ่อมแซมมาเพิ่มระดับให้มันแล้ว” ผู้เฒ่าหลี่หนวดขาวเอ่ยยิ้มๆ

ถึงแม้ว่าจ้าวเฟิงจะอยู่ที่ยอดเขาจิตวิญญาณหลักตลอด แต่เขาก็ยังติดต่อกับผู้เฒ่าหลี่หนวดขาวอยู่ตลอด

“ท่านหัวหน้าเรือ…” โหลวหลันจื๋อสุ่ยและหลี่อวิ๋นหยาคล้ายจะเอ่ยอะไร แต่ก็หยุดชะงักไปกลางคัน

จ้าวเฟิงยิ้มน้อยๆ กวาดสายตาไปที่คนทั้งสอง แล้วจึงเข้าใจในเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

เดิมทีโหลวหลันจื๋อสุ่ยและหลี่อวิ๋นหยามีความสามารถโดดเด่น หลังจากที่เข้ามาพำนักอยู่ในสำนักบรรพตทอง ย่อมต้องถูกรับเข้าสำนักอย่างรวดเร็ว

อีกทั้งโหลวหลันจื๋อสุ่ยยังกลายมาเป็นอัจฉริยะหน้าใหม่ของสำนักบรรพตทอง ส่วนหลี่อวิ๋นหยาก็เป็นผู้ดูแลในสำนัก คนทั้งสองเข้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้เป็นผลสำเร็จ และได้เป็นส่วนหนึ่งของสำนักนี้

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ สำนักระดับสองดาวสามสิบสามแห่ง เป็นสำนักระดับสุดยอดเป็นอย่างน้อย ซึ่งอยู่เหนือสำนักสองดาวทั่วไปของโลกภายนอก

สามารถเข้าในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ แล้วยังกลายมาเป็นหนึ่งในสมาชิกของสำนัก นี่เป็นเกียรติยิ่งใหญ่ขนาดไหนกันเชียว?

 

“จะอยู่หรือจะไป อยู่ที่พวกเจ้าตัดสินใจกันเอง ข้าไม่บังคับใคร” จ้าวเฟิงเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย

หลี่อวิ๋นหยาไม่ลังเลมากนัก ตัดสินใจอยู่ที่สำนักบรรพตทอง

สำนักในอดีตจะกลับไปก็ไม่ได้อยู่แล้ว อยู่ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นดั่งฝันที่เป็นจริงของเขา

โหลวหลันจื๋อสุ่ยมีสีหน้าละอาย จิตใจสับสน เหลือบมองจ้าวเฟิงอยู่หลายครั้ง

บุรุษหนุ่มผมม่วงในครรลองสายตาของนางเปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้นางเห็นการเติบโตอย่างมหัศจรรย์ของชายผู้นี้ด้วยตาตนเอง

ในครั้งแรกที่เจอกัน อีกฝ่ายยังเป็นแค่เด็กหนุ่มเรือนผมสีฟ้าที่มุทะลุบ้าดีเดือด

“ได้ ข้าเข้าใจแล้ว” จ้าวเฟิงไม่ประหลาดใจ และก็ไม่ได้มีท่าทีโกรธเกรี้ยวแต่อย่างใด

โหลวหลันจื๋อสุ่ยก้มหน้าลงต่ำ ละอายใจจนหน้าแดงก่ำ

ในตอนแรกที่เขาปาฮวง นางตกลงเป็นลูกเรือของจ้าวเฟิงโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ คำสัญญานั้นในวันนี้คงจะสิ้นสุดลงแล้ว

“เจ้าหอโครงกระดูกจากวันนี้ไป เจ้าเป็นรองหัวหน้าของเรือหลานเหลย”

จ้าวเฟิงโบกมือเบาๆ

วูบ! เจ้าหอโครงกระดูกปรากฏกายขึ้น ร่างโครงกระดูกมีลวดลายสลักสีทองเข้ม กลิ่นอายแข็งแกร่งกว่าที่ผ่านมาหลายเท่าตัว ทั้งยังอยู่เหนือหลี่อวิ๋นหยาไปแล้วด้วยซ้ำ

“ทำไมถึง…” หลี่อวิ๋นหยาใจเต้นตึกตัก ยากที่จะเชื่อได้

เจ้าหอโครงกระดูกไม่เพียงทะลวงผ่านมาถึงขั้นยอดผู้สูงศักดิ์ แต่คุณสมบัติของโครงกระดูกก็เป็นยอดผู้สูงศักดิ์ระดับสุดยอดด้วย คำนวณดูแล้วผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขั้นครึ่งก้าวสู่ราชันยากที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขา

“ได้ นายท่าน”

เจ้าหอโครงกระดูกหัวเราะเสียงแหลม ลงมือจัดแจงเรือหลานเหลยรวมไปถึงลูกเรือคนอื่นๆ

เรือหลานเหลยที่พัฒนาโดยปรมาจารย์ศาสตร์ซ่อมแซมของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ถึงพื้นที่จะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ว่าความสามารถรวมๆ ก็แข็งแกร่งกว่าที่ผ่านมาหลายเท่าตัว จ้าวเฟิงเองก็เสียทรัพยากรไปมากมายมหาศาลเพื่อสิ่งนี้ ขนาดผู้เฒ่าหลี่เคราขาวยังรู้สึกเจ็บปวดแทน

“ไปได้”

จ้าวเฟิงเอาเรือหลานเหลยกลับไปยังสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน ก่อนจะจากไป จ้าวเฟิงมอบแหวนมิติสองวงให้กับผู้เฒ่าหลี่เคราขาว

“แหวนพวกนี้ วงหนึ่งมอบให้เจ้าตำหนักหย่งเฟิง ส่วนอีกวงให้เพื่อขอบคุณน้ำใจของสำนักบรรพตทอง ท่านผู้เฒ่าหลี่จัดสรรตามสะดวก”

ผู้เฒ่าหลี่หนวดขาวรับแหวนสองวงนั้นมา ห้วงคิดเซียนของเขาเข้าไปภายใน อดจะสูดหายใจเย็นเยียบไม่ได้ แหวนวงที่มอบให้เจ้าตำหนักหย่งเฟิง สิ่งล้ำค่าต่างๆ ในนั้นมากพอที่จะทำให้ราชันต่างต้องอิจฉาตาร้อน ถึงจะเป็นแหวนวงที่มอบให้แก่เขา มูลค่าก็เกินของสะสมทั้งชีวิตของเขาแล้ว

อนึ่ง จากวิธีการพูดของจ้าวเฟิง นี่เป็นเพียงแค่การตอบแทนส่วนหนึ่ง เขายังติด ‘หนี้น้ำใจ’ ของเจ้าตำหนักหย่งเฟิงอยู่

“ต้องยอมรับเลยว่าพวกเจ้าเลือกทางผิดเสียแล้ว” ผู้เฒ่าหลี่เคราขาวกวาดสายตาไปที่หลี่อวิ๋นหยาและโหลวหลันจื๋อสุ่ย แล้วจึงถอนหายใจเบาๆ

หลี่อวิ๋นหยากับโหลวหลันจื๋อสุ่ยย่อมสัมผัสจากในแววตาของผู้เฒ่าหลี่ได้ ภายในแหวนสองวงนั่นจะต้องมีอะไรที่เย้ายวนใจคนเป็นแน่

จะต้องรู้ว่า ผู้เฒ่าหลี่เคราขาวในสายตาของทั้งสองคนเป็นครึ่งก้าวสู่ราชันที่สูงส่งยิ่ง แต่ว่าหลี่อวิ๋นหยาและโหลวหลันจื๋อสุ่ยไม่ได้รับค่าตอบแทนอะไรนอกเหนือจากนี้

ภายใต้การผลักดันของจ้าวเฟิง ทำให้พวกเขามีโอกาสเข้ามาในดินแดนศักสิทธิ์เจินอู่ บางทีนี่อาจจะเป็นผลตอบแทนที่ดีที่สุดแล้ว

ครั้นกลับมายังยอดเขาจิตวิญญาณหลัก จ้าวเฟิงก็ต้องจัดแจงทุกอย่างอีกครั้ง เจ้าหอโครงกระดูกรับผิดชอบเรือหลานเหลยอย่างเป็นทางการ จ้าวเฟิงยังจัดแจงปลดลูกเรือทีละคนออก ในขณะที่จ่ายผลตอบแทน ยังเสนอหนทางให้อีกด้วย

“นายท่าน รอให้ข้าจัดการอีกสักระยะหนึ่ง เรือลำนี้ก็จะกลายเป็น ‘เรือหุ่นเชิดศพ’ ”

เจ้าหอโครงกระดูกหัวเราะร่วน

ตั้งแต่นั้นเขากลายมาเป็นรองหัวหน้าเรือ และให้หุ่นเชิดที่พอจะมีสติปัญญาอยู่บ้างมาเป็นลูกเรือ

หลังจากสู้รบตบมือมาหลายปี ภายในประคำหมื่นวิญญาณมีทั้งหุ่นเชิดศพ ผีดิบ โครงกระดูก วิญญาณอาฆาต ภูติผีแปลกประหลาดต่างๆ มากมาย

ถ้าหากว่ายินยอมล่ะก็ จ้าวเฟิงสามารถเลือกเดินไปทาง ‘จักรพรรดิหมื่นพราย’ สร้างกองกำลังหุ่นเชิดศพ ในภายภาคหน้าจะกวาดล้างสำนักระดับสองดาวก็ไม่ใช่ความหวังที่มากเกินไป

แต่ทว่าจ้าวเฟิงสนใจศาสตร์หุ่นเชิดศพไม่มากนัก แก่นสำคัญของเขายังเป็นวิชาดวงตาดวงวิญญาณและมรดกวายุอัสนี

‘ความฝัน’ ที่ยาวไกลนี้ ไม่สู้มอบให้เจ้าหอโครงกระดูกเลยเสียจะดีกว่า

เวลาสิบวันค่อยๆ ใกล้เข้ามาทุกที จ้าวเฟิงจัดการเรื่องเบ็ดเตล็ดจนลุล่วง

 

 

ในห้าวันสุดท้าย จ้าวเฟิงได้เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว จึงมีเวลาว่างไปหา ‘หนานกงเซิ่ง’ เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ แน่นอนว่าเขาไม่ได้ไปหาเพื่อประลอง แต่ไปเพื่อแลกเปลี่ยนหลักการในการข้ามมิติต่างๆ

ปีกวายุอัสนีของจ้าวเฟิงลึกซึ้งใน ‘ปีกอัสนีโบยบิน’ ด้วยเพราะลอกเลียนเสวียนอ้าวมิติบางส่วนของหนานกงเซิ่ง แต่ว่าจ้าวเฟิงยังต้องการปรับแก้วิชานี้ให้สมบูรณ์ จากการแลกเปลี่ยนข้อมูลและเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ จากหนานกงเซิ่ง

หนานกงเซิ่งไม่ปฏิเสธ เขาสนใจความเร็วที่น่าตื่นตกใจในเสวียนอ้าววายุอัสนีของจ้าวเฟิงอย่างมาก

หากจะนับเรื่องความเร็ว หนานกงเซิ่งเทียบจ้าวเฟิงไม่ได้

การพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ของทั้งสองคนใช้เวลาสองสามวันก็ปรุโปร่งจนสิ้น ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงมองผ่านเคล็ดวิชามิติของหนานกงเซิ่ง จึงได้อะไรไปไม่น้อย

“ปีกวายุอัสนี ยังมีวิชาปีกอัสนีข้ามมิติที่แข็งแกร่งส่วนหนึ่ง สามารถบินไกลได้ถึงพันลี้หมื่นลี้เพียงพริบตาเดียว….”

จ้าวเฟิงครุ่นคิดในใจ ปีกอัสนีข้ามมิตินั่นเหมาะกับการสังหารหรือหนีเอาชีวิตได้ในระยะไกลๆ

‘จักรพรรดิวายุอัสนี’ ในยามก่อนใช้ปีกอัสนีข้ามมิตินี้จึงสามารถหลบหนีจากการตามล่าของคนในขั้นเซียน

เมื่อกลับมายังที่พัก จ้าวเฟิงก็หิ้วเจ้าแมวขโมยตัวน้อยออกมา เจ้าแมวนี้มีเคล็ดวิชามิติที่ลี้ลับ แถมยังถนัดในเรื่องการพรางตัว จ้าวเฟิงต้องศึกษาด้านนี้จากมันเช่นกัน

เมี้ยว เมี้ยว!

ร่างของเจ้าแมวขโมยตัวน้อยสั่นสะท้านน้อยๆ แล้วหายวับไปกับตา ในวินาทีต่อมามันไปปรากฏตัวอยู่ด้านบนของเรือน

เคล็ดวิชาข้ามมิติของมันเกี่ยวข้องกับศาสตร์เงาสังหาร ไร้ซุ่มเสียงและร่องรอยใดๆ

จ้าวเฟิงค้นพบว่าเคล็ดวิชาข้ามมิติของเจ้าแมวขโมยตัวน้อยมาจากสายเลือดที่พิเศษของมันมากกว่า อีกทั้งเกี่ยวโยงกับพวกรัตติกาล เงาสังหาร ซึ่งเกินเลยจากประเภทวิชามิติต่างๆ

ถึงจะเป็นเช่นนี้ จ้าวเฟิงก็ใช้ดวงตาเทพเจ้าศึกษาจนปรุโปร่ง เรียนรู้จากเจ้าแมวขโมยไปได้ไม่น้อย

เมื่อผสมผสานความรู้จากหนานกงเซิ่งและเจ้าแมวขโมยตัวน้อย จ้าวเฟิงจึงพัฒนาปีกอัสนีข้ามมิติของมรดกวายุอัสนีจนสมบูรณ์แบบไปอีกขั้น

“หากว่าทำสำเร็จ ความเร็วของข้าก็จะไปถึงขั้นใหม่” จ้าวเฟิงค่อยๆ ปิดตาลง

สองวันสุดท้าย

เขาหลับตาลงเพื่อศึกษาเสวียนอ้าวมิติพวกนี้และวิชาข้ามมิติ

ในหัวของจ้าวเฟิงค่อยๆ ปรากฏเป็นรูปเป็นร่าง เมื่อโบกสะบัดปีกวายุอัสนีด้วยความรวดเร็ว ยามที่โบยบินจนถึงขีดสุดจะผสานเข้ากับวิชาข้ามมิติ

หากเป็นเช่นนั้นแล้ว

ในขณะที่เขาโบยบินจะเกิดแรงผลักดันเสริมที่จะไปทำลายแกนกลางของมิติ

หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็คือ

นกอัสนีหนึ่งตัวบินด้วยความเร็วขั้นสูงสุด ถ้าหากใช้วิชาลับมิติ ก็จะย่นระยะทางลงไปหนึ่งในสิบหรือหนึ่งในร้อย ความเร็วจะเพิ่มเป็นสิบเท่าร้อยเท่าได้

นี่คือขอบเขตการโบยบินในอุดมคติของปีกวายุอัสนี ‘ปีกอัสนีผ่านฟ้า’

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version