Skip to content

King of Gods 731

King Of Gods

บทที่ 731 ตำหนักเซียนพิณสวรรค์ (1)

“ยังเหลือเวลาอีกสองสามเดือนก็จะไปถึง ‘ตำหนักเซียนพิณสวรรค์’…” จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ

ยามนี้ยิ่งเข้าใกล้จุดหมายปลายทางมากขึ้นทุกที ในใจของเขารู้สึกวิตกกังวล แล้วยังมีวี่แววคาดหวังรอคอยอยู่หลายส่วนเช่นกัน

ภายในหัว เรือนร่างแบบบางสง่างามราวเซียนในภาพวาด ผ้าโปร่งสีขาวราวหิมะ วงหน้างามละมุนสงบนิ่งกำลังมองมาที่ตนด้วยแววตาคล้ายทั้งยินดีและโกรธเคือง

“เจ็ดปีแล้วสินะ…” เขาสูดหายใจลึก มีความไม่สงบที่หาดูได้ยากยิ่งปรากฏขึ้นในแววตา

คิดย้อนไปเมื่อเจ็ดปีก่อน เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดผู้บ้าคลั่งมีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วงานชุมนุมเซียนมังกร

ระยะเวลาผ่านไปยาวนานเพียงนี้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

เจ็ดปีเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมากพอจะเกิดเรื่องมากมาย

อย่าเพิ่งไปพูดถึงโอกาสอันน้อยนิดที่หลิวฉินซินจะยังมีชีวิตอยู่ ต่อให้นางยังมีชีวิตอยู่ เวลายาวนานถึงเจ็ดปีย่อมต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ มากมาย

ถ้าหากว่ายังมีชีวิตอยู่ หลิวฉินซินจะยังจำสัญญาในอดีตได้หรือไม่?

นางอยู่ในที่แปลกประหลาด ระหกระเหินไร้ที่พึ่งพิง จะแต่งงานออกเรือนไปแล้วหรือไม่…?

ระยะเวลาเจ็ดปี ถ้าหากว่าหลิวฉินซินยังไม่ตายและไม่หวนคืนมา โชคชะตาคงเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยากเกินจะคาดเดา

พู่ว~

จ้าวเฟิงถอนหายใจยาว ปรับอารมณ์ให้กลับมาสู่สภาวะปกติ ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย เขาล้วนต้องการคำตอบที่แน่นอน

นี่ไม่ใช่เพียงแค่ความหวังของเขาเพียงคนเดียว แต่ยังเป็นความหวังของเจ้าเมืองหงหูผู้เป็นบิดาของนางด้วย

ทะเลหมอกความว่างเปล่า เรือหุ่นเชิดศพทะยานไปในอากาศโดยรักษาความเร็วเท่าเดิม

ในทะเลความว่างเปล่านอกดินแดนมีไอสวรรค์เบาบางอย่างยิ่ง แรงกดดันในฟ้าดินมีน้อย ทั้งแรงต้านของอากาศก็ด้วยเช่นกัน ความเร็วในการโบยบินจึงเพิ่มขึ้นมากกว่ายามอยู่ดินแดนภายในสิบเท่า

ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นก็ตาม

กว่าเรือหุ่นเชิดศพจะไปถึงกลุ่มดินแดนอันเป็นที่ตั้งของตำหนักเซียนพิณสวรรค์ ก็ยังต้องใช้เวลาสองสามเดือนเป็นอย่างน้อย

ภายในเรือ

พวกของจ้าวเฟิงกำลังนับของที่ได้มาจากการต่อสู้เมื่อไม่นานมานี้

ของที่ยึดมาได้จากสนามรบ จ้าวเฟิงเพียงคนเดียวรับไปสี่ส่วน

ภายในนี้ มีทรัพย์สมบัติของเจ้าลัทธิมารเทียนซิงอยู่มากมายอย่างยิ่ง เพียงแค่อาวุธวิเศษชั้นพิภพก็มีจำนวนเจ็ดแปดชิ้น แล้วยังมีมรดกล้ำค่าหายากอีกจำนวนหนึ่งด้วย

“หญ้าเจ็ดดารารวมวิญญาณ…โสมราชันปฐพีหมื่นปี…ผลไม้ม่านเมฆา…”

จ้าวเฟิงค้นพบว่าของล้ำค่าหลายอย่างในนี้มีประโยชน์และสร้างความมั่นคงให้กับพลังฝึกตนของตนเอง

 

หญ้าเจ็ดดารารวมวิญญาณสามารถสร้างความแข็งแกร่งแล้วยังช่วยเร่งให้ดวงวิญญาณเกิดการเปลี่ยนแปลง หญ้าวิญญาณประเภทนี้ยังเป็นของล้ำค่าที่ฟื้นฟูดวงวิญญาณด้วย

“ไม่น่าล่ะ ‘เจ้าลัทธิมารเทียนซิง’ จึงมีท่าทีไม่ยินยอมเอามากๆ…” มุมปากของจ้าวเฟิงยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม

เจ้าลัทธิมารเทียนซิงผู้นั้นเป็นราชันที่อาวุโสที่สุดของกลุ่มดินแดนมังกรสีชาด และเป็นผู้อาวุโสอันดับหนึ่งของศาสตร์มาร

จ้าวเฟิงวิเคราะห์ได้ไม่ยาก ทรัพย์สมบบัติและของล้ำค่าทั้งสามที่เอ่ยขึ้นข้างต้น เจ้าลัทธิมารเทียนซิงต้องเตรียมไว้เพื่อจะทะลวงผ่านราชันระดับสุดยอดแน่ และอาจถึงขั้นเตรียมไว้สร้างรากฐานสำหรับการข้ามผ่านไปยังขั้นจักรพรรดิปราณเทวะด้วย

ส่วนของล้ำค่าอีกสองประเภทอย่าง ‘โสมราชันปฐพีหมื่นปี’ และ ‘ผลไม้ม่านเมฆา’ ก็สามารถเพิ่มพลังฝึกตนและปราณที่แท้จริงซึ่งแฝงอยู่ในร่างได้อย่างมากมาย

ขอบเขตปราณเทวะ คือการเปลี่ยนแปลงของระดับขั้นดวงวิญญาณเป็นหลัก แต่ว่าแก่นผลึกในร่างกายจะกลายเป็นมิติปราณที่แท้จริงภายใต้พลังมหาศาล

อีกทั้งเขตแดนมิติทั่วๆ ไปก็จะใช้มิติปราณที่แท้จริงนี้เป็นแหล่งกำเนิดของพลัง

ในตอนแรกที่จ้าวเฟิงเข้าสู่ขอบเขตปราณเทวะ ปราณที่แท้จริงภายในแก่นผลึกเป็นประดุจแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวรุนแรง

แต่ว่านี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น

เมื่อถึงขั้นราชันในระดับสุดยอดแล้ว มิติปราณที่แท้จริงของแก่นผลึกภายในร่างกาย ก็จะขยายออกเป็นทะเลของปราณที่แท้จริงขนาดใหญ่อย่างแท้จริง

 

 

ในความเป็นจริงแล้ว บนร่างของเจ้าลัทธิมารเทียนซิงยังมี ‘ไข่มุกราชันโลหิตมาร’ เม็ดหนึ่ง สามารถสร้างความแข็งแกร่งให้กับเลือดเนื้อร่างกายและกำลัง มีประโยชน์อย่างยิ่ง สำหรับการฝึกฝนร่างกายในศาสตร์มาร

แต่ว่ามุกเม็ดนี้เด็กน้อยครึ่งเซียนอ้อนวอนขอไปแล้ว

สิ่งที่จ้าวเฟิงฝึกฝนไม่ใช่ศาสตร์มาร จึงไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจ

สามเดือนจากนั้น

กลุ่มของจ้าวเฟิงก็เริ่มใช้ทรัพยากรและสมบัติที่ยึดมาได้อย่างสบายใจเพื่อจะเพิ่มพลังฝึกตน

แต่ทว่า สมบัติล้ำค่าที่มีประโยชน์ต่อจ้าวเฟิงอย่างแท้จริงมีเพียงน้อยนิดนัก

จ้าวเฟิงใช้ ‘โสมราชันปฐพีหมื่นปี’ ‘หญ้าเจ็ดดารารวมวิญญาณ’ และ ‘ผลไม้ม่านเมฆา’ ตามลำดับ

นี่ล้วนแต่เป็นของที่เจ้าลัทธิมารเทียนซิงเตรียมไว้เป็นพื้นฐานเพื่อใช้ทะลวงผ่านขั้นราชันระดับสุดยอด และเพื่อจะ-ข้ามผ่านขั้นจักรพรรดิในวันหน้า

แต่เพียงแค่เดือนครึ่ง จ้าวเฟิงก็ใช้ของล้ำค่าทั้งสามอย่างนี้ไปจนหมด เฉลี่ยอยู่ที่ครึ่งเดือนใช้ไปหนึ่งอย่าง

‘หญ้าเจ็ดดารารวมวิญญาณ’  ที่เป็นหนึ่งในนั้นทำให้ดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงเกาะกลุ่มแข็งแกร่งมากขึ้น ต่อให้เป็นเพียงแค่เสี้ยวเดียวก็ตาม แต่สำหรับจ้าวเฟิงแล้วนี่ถือเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง

ด้วยเพราะสิ่งที่แฝงในดวงวิญญาณของเขาผ่านการฝึกฝนพลังอัสนีเทวะและ ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ มาเป็นเวลานาน นอกจากนี้ยังมีแรงเสริมจากห้วงฝันบรรพกาลด้วย

ระดับขั้นดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงไม่ได้ต่างจากจักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะมากนัก

ตอนนี้ใช้ ‘หญ้าเจ็ดดารารวมวิญญาณ’ แล้วดวงวิญญาณก็แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ไม่ได้ต่างจากจักรพรรดิมากเท่าไหร่แล้ว

‘โสมราชันปฐพีหมื่นปี’ และ ‘ผลไม้ม่านเมฆา’ ก็ช่วยขยายมิติปราณที่แท้จริงของจ้าวเฟิงออกไป

ถ้าหากไม่ใช่เพราะจ้าวเฟิงเพิ่งเข้าสู่ปราณเทวะได้ไม่นาน เกรงว่าสมบัติล้ำค่าชั้นยอดทั้งสองสิ่งนี้ก็สามารถทำให้เขาทะลวงผ่านขอบเขตปราณเทวะช่วงกลางได้ภายในไม่กี่เดือน

แต่เนื่องจากส่วนแฝงของจ้าวเฟิงไม่มากพอ จึงยังไม่อาจยืมพลังจากของสิ่งนี้ทะลวงผ่านถึงขอบเขตปราณเทวะช่วงกลาง

ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น จ้าวเฟิงใช้ ‘โสมราชันปฐพีหมื่นปี’ และ ‘ผลไม้ม่านเมฆา’ แล้ว ส่วนแฝงของพลังฝึกตนจึงไม่ด้อยไปกว่าขอบเขตปราณเทวะช่วงต้นที่เก่าแก่ส่วนหนึ่ง จึงอยู่ไม่ไกลจากขอบเขตปราณเทวะช่วงกลางแล้ว

“ข้ายังมีผลไม้ของห้วงฝันบรรพกาลส่วนหนึ่งอีก ภายในเวลาครึ่งปีมีความหวังว่าจะผ่านขอบเขตปราณเทวะช่วงกลางได้” จ้าวเฟิงไม่ได้กังวลอะไร

จุดสนใจหลักของเขายังเป็นการดูดซึมพลังอัสนีเทวะ ลึกซึ้งในพลังเสวียนอ้าว และเพิ่มระดับขั้นของวิชามรดก

กลยุทธ์วิชาต่างๆ เหล่านี้สามารถเพิ่มกำลังรบของจ้าวเฟิงได้ในระยะเวลาสั้นๆ

ภายในทะเลวิญญาณสีม่วง การดูดซึมพลังอัสนีเทวะยังเป็นภารกิจที่ต้องทำเป็นประจำทุกวัน

และตอนนี้ พลังอัสนีเทวะที่ดูดซึมไปในทะเลดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงเพิ่มไปถึงหนึ่งร้อยเส้นสายแล้ว

ถึงจะเป็นเพียงแค่อัสนีเทวะเส้นเล็กๆ เท่านั้น แต่เมื่อรวมกันถึงหนึ่งร้อยเส้นสายแล้วก็ไม่อาจจะดูแคลนได้

วิชาดวงตาประเภทวิญญาณของจ้าวเฟิงจะเพิ่มคุณสมบัติของอัสนีเทวะเข้าไป

ถึงขนาดที่ว่ากึ่งกลางของวายุอัสนีพิฆาตสีชาดยังมีพลังอัสนีเทวะแฝงอยู่ด้วย

พลังอัสนีเทวะตีตราเข้าไปในดวงวิญญาณ เมื่อฝึกฝนลึกซึ้งแล้วย่อมต้องง่ายขึ้นเป็นร้อยเท่า

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่วายุอัสนีพิฆาตสีชาดของจ้าวเฟิงค่อยๆ ปรากฏแสง ‘สีทอง’ มรดกวายุอัสนีของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปจนไม่ใช่วายุอัสนีสีทองบริสุทธิ์ดั้งเดิมอีก

วายุอัสนีสีทอง…น่าจะเป็นระดับมรดกวายุอัสนีขั้นต่อไปของจ้าวเฟิง หรือกระทั่งเป็นขั้นที่สูงที่สุด

มรดกวายุอัสนีของจักรพรรดิวายุอัสนีในยามก่อนสามารถไปถึงขั้นวายุอัสนีสีทอง และวายุอัสนีสีทองเข้ม

วายุอัสนีสีทองเข้มเป็นขั้นสูงสุดของวายุอัสนีสีทอง จ้าวเฟิงเริ่มต้นตั้งแต่วายุอัสนีพิฆาตสีชาด แล้วจึงค่อยๆ เหนือกว่าลำดับขั้นของมรดกวายุอัสนีไป

เพราะว่าหลังจากที่หลอมรวมกลิ่นอายของห้วงฝันบรรพกาลแล้ว จ้าวเฟิงสามารถข้ามผ่านไปถึงวายุอัสนีพิฆาตสีชาดได้อย่างมั่นคง หรือกระทั่งควบคุมเสวียนอ้าวดั้งเดิมบางส่วน

ด้วยเพราะเหตุนี้ จ้าวเฟิงจึงค่อยๆ เพิ่มระดับขั้นของวายุอัสนีพิฆาตสีชาดให้สูงยิ่งขึ้นไป และมุ่งแสวงหาพลังที่ทรงอานุภาพที่สุด

 

“ในทันทีที่ข้าพัฒนาเป็น ‘วายุอัสนีสีทอง’ ได้สำเร็จ พลังของมันจะสูงส่งเกินกว่าวายุอัสนีสีทองของจักรพรรดิวายุอัสนี”

จ้าวเฟิงยืนยันเป้าหมายของตนเอง

เขาต่างกับจักรพรรดิวายุอัสนีเป็นเพราะพลังฝึกตนเป็นหลัก รวมไปถึงส่วนแฝงในพลังด้วย

ถ้าหากจ้าวเฟิงมีส่วนแฝงพลังฝึกตนของจักรพรรดิวายุอัสนีในยามก่อน เช่นนั้นแล้วก็ไม่ต้องหวาดกลัวจักรพรรดิแห่งความตายอีกต่อไป

ภายในเรือหุ่นเชิดศพ

หลังจากที่ได้ทรัพยากรจำนวนมหาศาลมาแล้ว เด็กน้อยครึ่งเซียน เจ้าแมวขโมยตัวน้อย และเจ้าหอโครงกระดูกต่างอยู่ในช่วงเพิ่มระดับขึ้น

ทรัพยากรจำนวนมากที่ฉกชิงมาจากสนามรบสำนักสองดาว มีของชั้นยอดแค่น้อยนิดที่เป็นประโยชน์ต่อจ้าวเฟิงและเด็กน้อยครึ่งเซียน

ส่วนทรัพยากรที่อยู่ในระดับขั้นกลางและสูงจำนวนมหาศาลมอบให้กับเจ้าหอโครงกระดูกใช้เพื่อเพิ่มพลังของค่ายกลร้อยศพต้องสาป

ส่วนแฝงในพลังของร้อยศพต้องสาปล้วนแต่มุ่งไปทางขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง

จ้าวเฟิงเข้าไปภายในห้วงฝันบรรพกาลอยู่บ้างเป็นครั้งคราว สังหารสัตว์อสูรขนาดใหญ่จำนวนหนึ่ง แล้วจึงเอาเลือดและเนื้อป้อนให้ร้อยศพต้องสาปกลืนกิน

ร้อยศพต้องสาปล้วนมีสายเลือด ‘กระดูกหมื่นภูติ’ ทั้งยังดูดซึมเลือดเนื้อในห้วงฝันบรรพกาล พลังยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง

จ้าวเฟิงวิเคราะห์คาดการณ์ล่วงหน้าเอาไว้ว่า ขีดจำกัดของหุ่นเชิดศพเหล่านี้น่าจะอยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ราชันเป็นอย่างน้อย ถ้าหากสามารถสังหารกลืนกินวิญญาณดั้งเดิมของราชันได้มากพอ ย่อมต้องส่งผลต่อการทะลวงผ่านไปถึงขั้นราชัน

ขณะที่อยู่ในเมืองเก่าแก่ของเผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์ จ้าวเฟิงและร้อยศพต้องสาปได้รับการตรวจสอบว่ามี ‘คุณสมบัติของสายเลือดโบราณ’ ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงลดค่าใช้จ่ายในการเพิ่มความแข็งแกร่งของสายเลือดลงไปมาก

เขาสงสัยว่านี่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับห้วงฝันบรรพกาลด้วยเช่นกัน

เวลาดำเนินผ่านไป เรือหุ่นเชิดศพทะยานผ่านทะเลหมอกความว่างเปล่า ผ่านเกาะของดินแดนภายในหลายต่อหลายแห่ง ยิ่งเข้าใกล้ ‘ตำหนักเซียนพิณสวรรค์’ ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางมากขึ้นทุกที

“ยังมีเวลาอีกหนึ่งเดือน…”

ในวันใดวันหนึ่งนั้นเอง จ้าวเฟิงเปิดตาขึ้นในฉับพลัน

การฝึกตนของเจ้าหอโครงกระดูกทะลวงผ่านไปถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงสุดยอด อยู่ไม่ห่างจากขั้นครึ่งก้าวสู่ราชันแล้ว

การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นอายนี้ทำให้จ้าวเฟิงและเด็กน้อยครึ่งเซียนมีปฏิกิริยาตอบสนอง

คนทั้งสองไม่ได้ใส่ใจ แล้วจึงฝึกฝนบำเพ็ญต่อไม่หยุด

จ้าวเฟิงเพิ่มพลังของตนเองในทุกด้านด้วยวิธีต่างๆ มากมาย

เด็กน้อยครึ่งเซียนเองก็ต่างกันไม่มาก ทุ่มเทฟื้นฟูพลังทั้งหมดเท่าที่พอจะทำได้ แล้วเพียรพยายามบำเพ็ญเคล็ดวิชาต่างๆ ของตนเมื่อขณะยังมีชีวิต

เวลาหนึ่งเดือนสุดท้าย

จุดสำคัญของจ้าวเฟิงก็คือสร้างเขตแดนมิติวายุอัสนี รวมไปถึงฝึกฝน ‘ปีกอัสนีผ่านฟ้า’

จ้าวเฟิงเองค่อยๆ คลำหาวิธีการฝึกปีกอัสนีผ่านฟ้า ความเร็วในการโบยบินเพิ่มขึ้นอย่างมาก

สำหรับ ‘เขตแดนมิติวายุอัสนี’ จ้าวเฟิงมีโครงร่างมิติตั้งแต่อยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์โจรสลัดสิบแปดยอดแล้ว

แต่ว่าในความเป็นจริง เขตแดนฉวนปิงของจ้าวเฟิงสำเร็จไปก่อนแล้วหนึ่งก้าว

เขตแดนฉวนปิง เป็นเขตแดนจากพรสวรรค์ที่มีมาพร้อมกันกับสายเลือด ‘เผ่าพันธุ์เกล็ดมังกรเหมันต์’ เพียงแค่ต้องเพิ่มเติมเนื้อหาการฝึกบำเพ็ญมรดกสายเลือดเข้าไปก็จะสร้างได้สำเร็จ

จ้าวเฟิงรู้สึกว่าผลลัพธ์ในการแช่แข็งของเขตแดนฉวนปิงดีมากกว่า จึงจะสร้างเขตแดนนี้ก่อน

ในยามก่อน ขณะที่เขตแดนวายุอัสนีอยู่ระหว่างการสรรสร้างก็มีแรงต้านทานอยู่เล็กน้อย

แต่ในตอนนี้จ้าวเฟิงทะลวงผ่านถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดแล้ว กลางแก่นผลึกภายในร่างกายก็เพิ่มมิติปราณที่แท้จริงขึ้นมา การสร้าง ‘เขตแดนวายุอัสนี’ โดยมีแก่นผลึกดังกล่าวเป็นใจกลางจึงไม่มีแรงต้านทานอีกต่อไป

“เมื่อก่อนข้าสร้างเขตแดนวายุอัสนีไม่ค่อยราบรื่นนัก นั่นเป็นเพราะว่ายังฝึกไม่ถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ยังไม่มีมิติปราณที่แท้จริงเกิดขึ้น”

จ้าวเฟิงเข้าใจแจ่มแจ้ง ถัดจากนั้นเขาจึงเอาโครงร่างของเขตแดนวายุอัสนีในยามก่อนมาสรรสร้างขึ้นทีละขั้นๆ อย่างง่ายดาย

ครึ่งเดือนต่อมา เขตแดนวายุอัสนีของจ้าวเฟิง ในที่สุดแล้วก็ลงมือสร้างจนสำเร็จ

เขตแดนวายุอัสนีใช้มรดกวายุอัสนีเป็นใจกลาง และยึดเอามิติปราณที่แท้จริงเป็นแหล่งกำเนิดพลัง

ถ้าหากว่าในภายหลังจ้าวเฟิงเปลี่ยนไปฝึกวิชาอื่น เช่นนั้นแล้วมรดกวายุอัสนีนี้ก็จะหายไป

วิ้ง! แซ่ด แซ่ด!

รอบด้านของเรือหุ่นเชิดศพปรากฏเป็นเงาสมจริงของคลื่นวายุอัสนีนับพันเส้นสาย ประกอบขึ้นเป็นเขตแดนมิติที่มีขนาดรัศมีร้อยลี้ ภายในยังโอบอุ้มวายุอัสนีที่น่ากลัวเอาไว้

เขตแดนมิติแห่งนี้ จ้าวเฟิงจะใช้เป็นเขตแดนที่อยู่ในประเภทโจมตี

เพียงแค่เขาส่งหมัดออกไป เขตแดนวายุอัสนีก็จะรวมตัวกันอยู่ในจุดๆ เดียว พลังจะเพิ่มขึ้นมากกว่าเป็นเท่าตัว

“เขตแดนวายุอัสนี! จ้าวเฟิงผู้นี้…สร้างเขตแดนมิติแห่งที่สามออกมาแล้ว” เด็กน้อยครึ่งเซียนตื่นตกใจอย่างยิ่ง

ถูกต้องแล้ว ในตอนนี้จ้าวเฟิงสรรสร้างเขตแดนมิติได้สามแห่งแล้ว

ศาสตร์วิญญาณ…เขตแดนเมืองมายา!

สายเลือด…เขตแดนฉวนปิง!

วิชายุทธ์…เขตแดนวายุอัสนี!

ราชันปราณเทวะในช่วงต้นผู้หนึ่งมีเขตแดนมิติถึงสามแห่ง นี่แทบจะเป็นเรื่องที่เหนือจินตนาการ

และแน่นอนว่าเขตแดนมิติทั้งสามแห่งนี้ สองแห่งก่อนหน้าเรียกได้ว่าเป็นความสามารถที่เป็นพรสวรรค์ มีเพียง ‘เขตแดนวายุอัสนี’ ที่จ้าวเฟิงเปลืองแรงไปมากถึงจะสร้างให้สำเร็จได้

“เขตแดนมิติทั้งสามนี้บิดงอทับซ้อนกัน ไม่รู้ว่าจะมีความสามารถอย่างไรบ้างกันแน่” ใจของจ้าวเฟิงเต้นถี่ระรัว อดรู้สึกคาดหวังรอคอยไม่ได้

 

ครึ่งเดือนต่อมา

ในที่สุดเรือหุ่นเชิดศพก็เดินทางมาถึง ‘ดินแดนหมู่เกาะเฉียนเซิ่ง’ ตามข้อมูลบนแผนที่ ตำหนักเซียนพิณสวรรค์ก็อยู่ในกลุ่มดินแดนนี้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version