บทที่ 854 วิญญาณไม่ดับสลาย
หนานกงเซิ่งวางเท้าข้างหนึ่งบนไหล่จ้าวเฟิง ทั้งตัวแขวนอยู่กลางอากาศแล้วโน้มไปด้านหน้า
ภายใต้สภาวะเช่นนี้ ความร้อนพลังไฟที่เขาแบกรับมีแค่ห้าส่วนของจ้าวเฟิงเท่านั้น
ฟุ่บ! แส้เงินชั้นพิภพในมือเขาซึ่งโอบล้อมด้วยแสงสว่างสีม่วงเงิน เข้าพันรัดโล่สัมฤทธิ์ลายสัตว์ที่ลอยอยู่
พู่~ แส้เงินเพิ่งเข้าสู่ส่วนลึกไปอีก พื้นผิวก็มีทีท่าจะหลอมละลาย
“ชิ!” ไอร้อนพลังไฟน่าสะพรึงมาจากอีกฝั่งของแส้เงิน กลางฝ่ามือหนานกงเซิ่งพลันมีรอยไหม้ ควันเขียวลอยขึ้น ดีที่เขาอยู่ท่ามกลาง ‘ชั้นแสงจักรพรรดิเหมันต์’ ของจ้าวเฟิง รูปร่างแสงหอกจักรพรรดิเหมันต์ซึ่งกระตุ้นด้วยสายเลือดเหมันต์วารี ทำให้พลังไฟลดลงไปมาก
“เก็บ!”
หนานกงเซิ่งเรียกใช้ ‘เคล็ดหลางหยา’ และวิชามิติ ผิวนอกของแส้เงินชั้นพิภพผุดระลอกสีเงินบิดโค้งหมุนวน แผ่แรงดึงดูดมหาศาล
วูบ!
โล่สัมฤทธิ์ถูกดึงเข้ามา แรงกดดันอาวุธเทพชั้นรองที่ป่าเถื่อนดึกดำบรรพ์หลั่งทะลักในพริบตา แทบเกินกว่าขีดจำกัดที่หนานกงเซิ่งจะรับได้
หนานกงเซิ่งอดกลั้นจนหน้าแดง
ในช่วงเวลาสำคัญ เขตแดนมิติของเขาขยายออก เงาทับซ้อนเปล่งแสงโลหิตม่วงกระเพื่อมอยู่ที่เดิม
วินาทีนั้น ตราโลหิตม่วงตรงหว่างคิ้วเขากะพริบวูบวาบ เส้นผมกลายเป็นสีเดียวกัน พลังชั่วร้ายในร่างเพิ่มอานุภาพไปถึงขั้นใหม่
ครืน~
เขตแดนมิติที่ถูกผลึกปีศาจกลืนเป็นหนึ่ง คล้ายมีแรงปะทะของโลกมิติส่วนตัว แสงเงินโลหิตม่วงสว่างจ้ากลายเป็นเกลียวแสงขนาดใหญ่ กลืนกินโล่สัมฤทธิ์เข้าไป
“สำเร็จแล้ว!” นัยน์ตาหนานกงเซิ่งเผยความตื่นเต้นยินดี
จ้าวเฟิงชื่นชมอยู่ส่วนหนึ่ง ในช่วงสำคัญ หนานกงเซิ่งผสานและใช้ผลึกปีศาจกับพลังกายได้สมบูรณ์แบบขึ้น โดยเฉพาะหลังฝึกฝน ‘เคล็ดหลางหยา’ พลังผลึกปีศาจที่หนานกงเซิ่งได้มาไปถึงขั้นน่าหวาดกลัว นอกจากนี้ เขตแดนมิติของเขามีผลึกปีศาจเป็นใจกลาง ได้ผลึกเซียนชั้นล่างมากมายมาเสริม จึงปรับแก้มันจนถึงขั้นสูงสุด
กล่าวได้ว่า ต่ำกว่าโลกมิติส่วนตัวลงไป เขตแดนมิติของหนานกงเซิ่งมีระดับความแข็งแกร่งและความสามารถที่ไม่มีอะไรเทียบได้
“อึก!” มือของเขาไหม้ดำ รีบปล่อยอาวุธชั้นพิภพที่หลอมรวมไปครึ่งหนึ่ง
“ถอยก่อน!” ฝ่าเท้าจ้าวเฟิงถูกแผดเผาเจ็บแสบ อดร้องขึ้นจมูกไม่ได้
ภายในอาณาเขตต้องห้ามเหมือนกัน เวลาที่เขาทนอยู่ได้นานยิ่งกว่าราชามังกรฟ้าวารี
ควรรู้ว่า ร่างกายสายเลือดของเว่ยจิ้งใกล้เคียงเผ่าพันธุ์มังกรแท้ และยังเป็นเผ่าพันธุ์มังกรน้ำแข็ง มีเขตแดนสายเลือดฝนของตนเอง
ฟู่~ รองเท้าโบราณใต้เท้าจ้าวเฟิงมีควันดำลอยตลบ เกือบจะลุกไหม้อยู่รอมร่อ
พรึ่บ! จ้าวเฟิงโคจรพลังกาย เรือนร่างคล้ายกระสุนถอยออกจากบริเวณชั้นวางอาวุธ ทะยานตรงไปทาง ‘ศรสังหารเทพ’ ดอกหนึ่ง
แกรก! ชั่ววินาทีที่ลอยขึ้นจากพื้น เมื่อรองเท้าโบราณของจ้าวเฟิงทะลักแสงไฟเขียวครั้งสุดท้าย มันก็กลายเป็นกองเศษชิ้นส่วนไหม้ดำ
วูบ——
จ้าวเฟิงกับหนานกงเซิ่งออกห่างจากรอบหลุมเตาหลอมด้วยความเร็วน่าตื่นตะลึง
เป้าหมายคือศรสังหารเทพดอกที่สอง!
ศรสังหารเทพมีทั้งหมดสามดอก จ้าวเฟิงได้มาแล้วหนึ่งดอก และดอกที่อยู่ใกล้ๆ นี้มีราชันปราณเทวะหลายต่อหลายคนแย่งชิง ไม่ว่าอย่างไรมันก็เป็นอาวุธเทพชั้นรองเช่นกัน
ผู้ที่มีพละกำลังรุนแรงมากที่สุดในกลุ่มนั้น คือสตรีชุดแดงจาก ‘วังลอยฟ้า’
“เก็บ!”
สตรีชุดแดงกดนิ้วงามเล็กน้อย ลำแสงสามสีหลายเส้นล้อมรอบกลางอากาศ และพัดรัดศรสังหารเทพ
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ระดับความยากในการได้ลูกศรนี้มาน้อยกว่ามาก
ราชันสองสามคนแถวนั้นยังไม่ทันเข้าใกล้ ก็ถูกแสงสว่างสามสีที่ทรงพลังบนตัวนางกระแทกออกไป ในกระบวนพลของวังลอยฟ้า สามราชันหัวหอกแบ่งเป็นเซวียนหยวนเหวิน ศิษย์พี่จูเก๋อ และสตรีชุดแดง
“ศรสังหารเทพเป็นของข้า” สีหน้าจ้าวเฟิงเรียบเฉย
สตรีชุดแดงยิ้มเอ่ย “หากเก่งนักก็มาเอาไป!”
มูลค่าของอาวุธเทพชั้นรอง ต่อให้เป็นครึ่งเซียนหรือเซียนขอบเขตเทวาเร้นลับก็ยากจะต้านทานความเย้ายวนใจ อีกทั้งสตรีชุดแดงผู้นี้สนใจเบื้องลึกเบื้องหลังที่แท้จริงของจ้าวเฟิงมาก จึงมีใจอยากลองหยั่งเชิงดู
“ข้าเอง!” หนานกงเซิ่งแค่นเสียงเย็น กลายเป็นขบวนเงาสีเงินม่วง ลี้ลับเกินหยั่งถึง พุ่งเข้าใกล้อีกฝ่ายดุจฟ้าแล่บ
สตรีชุดแดงรู้สึกเพียงพลังชั่วร้ายน่าสะพรึงกลัวจำนวนมหาศาลปะทะเข้ามา
พลังดังกล่าวผสานความสามารถด้านมิติที่ลึกล้ำ เคลื่อนไหวดุจสายฟ้าฟาด รูปร่างดั่งปีศาจร้าย
“สามปทุมเพลิง!”
สตรีชุดแดงร้องลั่น ขณะที่แสงเรืองรองสามสีบนร่างพลันสั่นไหวแผดเสียงร้อง ก็สร้างกลีบดอกบัวเพลิงสามชั้นขึ้นต่อเนื่อง
วินาทีนั้น ราวกับมีดอกบัวพร่างพราวสามดอกผลิบาน หนำซ้ำกลีบดอกบัวเพลิงทั้งสามชั้น คุณลักษณะและสีของทุกชั้นไม่เหมือนกัน มันมีสีเขียว แดง ม่วง แยกเป็นลม ไฟ และสายฟ้า
โครม! ดอกบัวเพลิงสามชั้นที่เบ่งบาน ปะทะเข้ากับระลอกแสงเงินม่วงมหาศาลที่น่าพรั่นพรึง
“นึกไม่ถึงว่าพลังของหญิงผู้นี้จะแกร่งกว่าราชันระดับสุดยอดทั่วไปอยู่บ้าง…”
หนานกงเซิงมีสีหน้าตึงเครียดเล็กน้อย รอบด้านผุดเงาทับซ้อนโลหิตม่วงขึ้นทันใด ภายในนั้นระยิบระยับ แผ่พลังชั่วร้ายที่ทำให้จักรพรรดิต้องเปลี่ยนทีท่า
เปรี้ยง แกรก! หนานกงเซิ่งผลักสองมือออกไป เงาทับซ้อนของเขตแดนมิติด้านหลังตรงเข้าถล่มเขตแดนมิติที่คุ้มกันรอบกายนางเสียก่อน
“ร่างคนผู้นี้ประหลาดนัก…”
ใบหน้าสตรีชุดแดงขึ้นสีแดงจัด ร่างอรชรกระเด็นถอยไป
ภาพนี้ทำให้เซวียนหยวนเหวินและศิษย์พี่จูเก๋อที่อยู่ไกลๆ เปลี่ยนสีหน้า
“หนานกงเซิ่งในกลุ่มมารคู่ผมม่วง พลังของชั้นกายเนื้อน่ากลัวยิ่งกว่า! ข่าวไม่ใช่เรื่องเท็จ เขตแดนมิติของเขาหลอมรวมกับผลึกปีศาจไปแล้วจริงๆ”
ศิษย์พี่จูเก๋อเอ่ยพึมพำ
กลุ่มมารคู่ผมม่วง ผู้ที่ลึกลับน่าหวาดกลัวที่สุดย่อมเป็นจ้าวเฟิง แต่ระดับพลังของจ้าวเฟิงต่ำ นอกจากมีแก่นแท้ร่างกายที่นับว่าแข็งแกร่ง ชั้นกายเนื้อก็ไม่เท่าไหร่นัก
สิ่งที่น่าสะพรึงที่สุดของเขาคือชั้นวิญญาณ
คนหนึ่งชั้นกายเนื้อพิสดาร อีกคนชั้นวิญญาณฝืนชะตาฟ้า มารคู่ผมม่วงจับคู่กันเช่นนี้เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
“เก็บ!”
จ้าวเฟิงหัวเราะร่า หมอกขาวหนาแน่นขยับหมุนตลบ กลืน ‘ศรสังหารเทพ’ ดอกที่สองไป
สตรีชุดแดงยืนให้มั่นคง ในใจมีคลื่นความกลัวถาโถม
สองโจรผมม่วงไม่ได้ผนึกกำลังจัดการนาง จ้าวเฟิงผู้ลึกล้ำเกินคาดคนนั้นก็ไม่เคยลงมือด้วย อาศัยเพียงหนานกงเซิ่งผู้เดียวก็กดข่มนางได้แล้ว
แค่ชั่วเวลาหนึ่ง สตรีชุดแดงถูกซัดกระเด็น จ้าวเฟิงได้ ‘ศรเทพสังหาร’ ดอกที่สองไป ทว่ายามนี้ ศรสังหารเทพดอกที่สามกลับถูกชายชราหน้าเหี่ยวกับพวกเชื้อพระวงศ์ร่วมมือกันชิงไปได้
จ้าวเฟิงโคลงศีรษะน้อยๆ ไม่ได้ดึงดันต่อ
ขณะเดียวกัน การแย่งชิงดาบเนื้อหยกเรียวยาวซึ่งเป็นอาวุธเทพชั้นรองชิ้นสุดท้ายบนชั้นวาง ก็เข้าสู่ช่วงสำคัญสุดท้าย
“สิบแปดกระบี่ฟ้า!”
หญิงชุดดำจากหอกระบี่ฟ้า ดวงตาสีนิลสาดซัดแสงจิตกระบี่เขย่าขวัญ สองมือโบกลง เงากระบี่ผลึกกึ่งโปร่งใสลากยาว เกิดเป็นพายุหมุนพลังกระบี่หลากสีที่ดูราวระลอกน้ำกระเพื่อม
ขวับ ขวับ ฟุ่บ! ทุกครั้งที่เงากระบี่ผลึกกวัดแกว่ง พายุหมุนพลังกระบี่จะสั่นไหวร้องคำราม หากอยู่ที่โลกภายนอกก็มากพอจะกวาดล้างทำลายภูเขาแม่น้ำได้
ราชันปราณเทวะทั่วไปไม่อาจต้านทานกระบี่นาง
ถ้ากล่าวถึงเรื่องพลัง หญิงชุดดำนางนี้เทียบเท่าจิวอู๋จี้ก่อนที่จะเข้ามายังคฤหาสน์เสียหยาง
เพียงแต่คู่ต่อสู้ของนางแกร่งกล้ากว่า
“ตึก ตึก ตึก…”
ร่างแบบบางสีม่วงอ่อนลอยพลิ้วกลางอากาศ ผิวทั่วร่างดุจหยกแวววาว สกัดกั้นแรงโจมตีทรงพลังจากเงากระบี่ผลึกแต่ละครั้งอย่างสบายมือ
“เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า!”
จ้าวหยูเฟยยื่นหนึ่งมืองามที่เหมือนไม่ใช่ของมนุษย์ ผิวนอกอาบด้วยคลื่นแสง แฉลบผ่านไปอย่างง่ายดาย แสงม่วงพร่างพรายทำลายการโจมตีของอีกฝ่ายแหลกเป็นชิ้น
หญิงชุดดำสำแดงวิชาก้นหีบไปแล้ว กลับทำร้ายฝ่ายตรงข้ามไม่ได้แม้แต่น้อย มุมปากจึงเผยความขมขื่น
สวบ! ยามนี้เอง ลำแสงสีเงินม่วงลอยผ่านระหว่างการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย
“มารคู่ผมม่วง!”
หญิงชุดดำฝั่งหอกระบี่ฟ้าเปลี่ยนสีหน้า เผยความระแวดระวัง
ในตอนนี้ ‘เซียนกระบี่’ ที่เปลี่ยนกายเป็นกระบี่กลางอากาศอยู่ในสภาพที่คาดเดาไม่ได้ เป็นตายไม่แน่ชัด
ส่วนสองโจรผมม่วงกลับเป็นกลุ่มที่ยากจะยุแยงที่สุด
“หยูเฟย ข้ามาช่วยเจ้าแล้ว”
จ้าวเฟิงโบกมือ เงามิติส่วนตัวทับซ้อนซึ่งมีหมอกหนาสีขาวโอบล้อมรอบ ‘กระบี่หยกเขียวเข้ม’
“พี่เฟิงมาพอดี”
จ้าวหยูเฟยแสดงสีหน้ายินดี นางโคจรมิติส่วนตัวของตน เงาพร่ามัวสีม่วงปรากฏขึ้นขนาบหน้าหลังกับโลกมิติของจ้าวเฟิง พร้อมกันนั้น ผิวของนางเปล่งแสงม่วงแวววาว อำนาจไอสวรรค์มหาศาลจากสายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณปกคลุมเหนือ ‘กระบี่หยกเขียวเข้ม’ เล่มนั้น
หนานกงเซิ่งประกบสองมือ ส่งแสงเงินม่วงออกมาหลายสาย พันธนาการอาวุธเทพชั้นรองชิ้นนั้นไว้แน่นหนา
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น
พลังของทั้งสามรวมกัน จ้าวหยูเฟยจึงควบคุมกระบี่เรียวยาวเนื้อหยกได้สำเร็จ
“ขอบคุณพี่เฟิงกับศิษย์พี่หนานกง อาวุธเทพชั้นรองชิ้นนี้เหมือนจะเป็นแขนงพฤกษา หากมอบมันให้ศิษย์พี่ตวนมู่อาจสำแดงพลังได้แก่กล้ากว่านี้”
จ้าวหยูเฟยกล่าวอย่างเบิกบานใจ
อาวุธเทพชั้นรองอยู่ในมือราชันปราณเทวะจะสำแดงอานุภาพได้ยากเย็น
บางทีคนแข็งแกร่งระดับเซวียนหยวนเหวินอาจฝืนใช้ได้บ้าง แต่ไม่คล่องมือนัก
อย่าว่าแต่อาวุธเทพชั้นรอง ต่อให้เป็นอาวุธชั้นพิภพหรือมรดกอาวุธศักดิ์สิทธิ์ จักรพรรดิราชันทั่วไปก็ไม่แน่ว่าจะสำแดงอานุภาพได้ทั้งหมด
อาวุธเทพชั้นรองที่ได้มาจากที่นี่ ส่วนมากจะมอบให้กับขั้วอำนาจเบื้องหลัง ให้มันกลายเป็นไพ่ตายที่ส่งผลต่อชะตากรรมของทวีปได้
แน่นอนว่า ‘มนตราอากาศ’ ของจ้าวเฟิงเป็นข้อยกเว้น มันเป็นของประเภทช่วยเหลือ การใช้ความสามารถพื้นฐานมีเงื่อนไขด้านพลังฝึกตนไม่สูงนัก
ตระกูลตวนมู่ได้อาวุธเทพชั้นรองมาหนึ่งชิ้น ทุกคนย่อมดีอกดีใจ
ทว่า อาวุธเทพเก่าแก่หนึ่งเดียวในหอหลอมศาสตรากลับยังไม่รู้ผล
กลางอากาศ ผู้เฒ่าเคราขาวกลายเป็นแสงกระบี่แวววาว ผสานเป็นหนึ่งกับวงแสงเขียวหม่นจากอาวุธเทพเก่าแก่ ‘กระบี่สนิมทองแดง’ ทุกคนเห็นได้ว่ามือของเซียนกระบี่เคราขาวจับกระบี่เทพที่ชำรุดได้แล้ว
“น่าแปลกจริงๆ พลังปราณที่แท้จริงกับกลิ่นอายชีวิตของเซียนกระบี่ผู้นี้ล้วนถึงใกล้ขีดกำจัด แต่พลังศาสตร์กระบี่และวิญญาณเขากลับไปถึงระดับสูงขึ้น”
ตาซ้ายของจ้าวเฟิงมองแล้วก็แปลกใจยิ่งนัก
เซียนกระบี่เผาผลาญปราณที่แท้จริงและชีวิต เปลี่ยนกายเป็นกระบี่ แต่กลับช่วยให้ระดับพลังวิญญาณก้าวกระโดดขึ้น ว่ากันตามหลักการ เมื่อพลังวิญญาณเพิ่มแบบก้าวกระโดด ขีดจำกัดอายุขัยจะมากขึ้นด้วย เสียดายก็แต่สภาพร่างกายของเซียนกระบี่ถึงขีดจำกัดสูงสุด โดยเฉพาะการเผาผลาญพลังชีวิต ความแก่เฒ่าโรยราที่เพิ่มมากขึ้น
“ผู้อาวุโสเซียนกระบี่ได้รับการยอมรับจากอาวุธเทพเก่าแก่แล้ว แต่น่าเสียดาย ชีวิตของเขาถึงขีดสูงสุดแล้วเช่นกัน…”
พวกหญิงชุดดำจากหอกระบี่ฟ้าเผยสีหน้าเสียดายและทนไม่ไหว
ทุกคนในที่นั้นแสดงความเคารพนับถือ
ราชันจากขั้วอำนาจส่วนหนึ่งถอนหายใจพลางเริ่มถอยออกไป นอกจากเซียนกระบี่ ไม่มีคนอื่นใดมีเสวียนอ้าวศาสตร์กระบี่สูงเพียงนั้น และไม่มีใครมีใจแน่วแน่จะละทิ้งชีวิต หรือเปลี่ยนตนเป็นกระบี่
ผู้ที่จะได้รับการยินยอมจากอาวุธเทพเก่าแก่ มีเพียงเซียนกระบี่เท่านั้น
จ้าวเฟิงกล่าวอย่างจริงจัง “ชีวิตมีขีดจำกัดสูงสุด แต่วิญญาณอาจไม่ดับสลายได้”
วิญญาณไม่ดับสลาย!?
พวกหญิงชุดดำของหอกระบี่ฟ้าตัวสั่นสะท้าน อดครุ่นคิดไม่ได้
เคร้ง! ราวกับมีปฏิกิริยาตอบสนอง แสงกระบี่ระยิบระยับกลางอากาศของผู้เฒ่าเคราขาวพลันเก็บงำไป ก่อนเปล่งระลอกแสงวาววับสมบูรณ์พร้อมออกมา