Skip to content

King of Gods 914

King Of Gods

บทที่ 914 ต่อสู้จริง

“เจ้าคือจ้าวเฟิง?”

ในดวงตาของหญิงสาวผมม่วงฉายแววหวาดกลัว เปล่งเสียงออกมาอย่างตกใจ

ทันใดนั้น สายตาทุกคู่ในตำหนักล้วนจ้องมาที่จ้าวเฟิงพร้อมฉายแววสงสัย

จ้าวเฟิงคือผู้ได้ชัยชนะสูงสุดในมิติเทพลวงตา เป็นตัวหลักของมารคู่ผมม่วง และยังมีเรื่องลึกลับอีกมากมายที่พูดถึงเด็กหนุ่มคนนี้ ทำให้ผู้ใหญ่กลุ่มนี้ล้วนรู้สึกว่าเกินจริงมากไปหน่อย

ทุกคนล้วนรู้ดีว่าจ้าวเฟิงเป็นตัวหลักของมารคู่ผมม่วง แต่นี่คือเด็กหนุ่มผมทองดวงตาทองชัดๆ

“จีหลาน เขาคือจ้าวเฟิงจริงๆ รึ?”

ชายผมสั้นที่อยู่ข้างจีหลานคิ้วขมวด ถามอย่างสงสัย

หลังจากที่จีหลานกลับถึงตระกูลจีแล้ว นางเคยกล่าวถึงสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงให้เหล่าผู้อาวุโสในตระกูลฟัง ดังนั้นในตระกูลจีไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ จึงอยากเห็นความสามารถของสายเลือดดวงตาจ้าวเฟิง

ดินแดนทวีปในตอนนี้ นอกจากทายาทของแปดเนตรเทพเจ้าในตำนานแล้ว สายเลือดดวงตาของตระกูลจีก็นับว่าอยู่ในลำดับต้นๆ

“เขาคือจ้าวเฟิง!”

จีหลานมั่นใจอย่างที่สุด ในมิติเทพลวงตา นางเคยโดนพลังสะท้อนกลับจากดวงตาเทพของจ้าวเฟิง เคยเห็นพลังแข็งแกร่งสารพัดรูปแบบของสายเลือดดวงตาเขา

รูปลักษณ์ของจ้าวเฟิงฝังลึกในความทรงจำของนาง จะจำผิดไปได้อย่างไร

แต่ก็ต้องขอบคุณจ้าวเฟิงที่ทำให้จีหลานแพ้ยับเยินแม้จะใช้ขอบเขตความสามารถที่ตนเองเชี่ยวชาญที่สุด เพราะหลังจากที่กลับมาถึงตระกูลแล้ว นิสัยของนางก็เปลี่ยนไปมาก นางอดทนตรากตรำศึกษาเคล็ดวิชาดวงตาของตระกูลจี จึงยิ่งชำนาญสายเลือดเนตรดาราม่วงมากขึ้นไปอีก

“อย่าคิดว่าแค่ย้อมผมก็จะหลุดพ้นจากชื่อเสียงแย่ๆ ได้!” จีหลานพึมพำเสียงเบา

บรรยากาศโดยรอบค่อนข้างกระอักกระอ่วน

ภายในตำหนัก กำลังคนอีกกลุ่มหนึ่งเป็นเพียงแค่เจ้าเมืองของเมืองนี้เท่านั้น เทียบกับแปดตระกูลใหญ่แล้วเป็นคนละชั้น

พวกเขาในยามนี้ล้วนไม่กล้าส่งเสียง

“ตวนมู่ชิง คารวะเซียนซิงหมัว (ดารามาร) แห่งตระกูลจี!”

ตวนมู่ชิงยิ้มบางทำความเคารพ เขาเคยได้ยินวีรกรรมของจ้าวเฟิงในมิติเทพลวงตามาก่อน ดูๆ แล้วจ้าวเฟิงน่าจะเคยแย่งสมบัติของตระกูลจี

เซียนซิงหมัว ผู้อาวุโสสูงสุดที่แก่ชรายิ่งของตระกูลจี สายเลือดดวงตาทั้งสองข้างถึงขั้นสมบูรณ์แบบ

“ได้ยินมาว่าตระกูลตวนมู่มีผู้สำเร็จเซียนคนใหม่ คือเจ้าสินะ! ”

ผู้อาวุโสสูงวัยผมสีม่วงซีดกล่าวด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน เสียงสะท้อนไปมาในอากาศ

กำลังคนของเจ้าเมืองและผู้อาวุโสที่ประจำค่ายกลข้ามเมืองใจสั่นวูบ ราวกับผืนฟ้าและปฐพีพลิกกลับ จิตใจเหมือนไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

นี่คือการเอ่ยครั้งแรกของผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลจี แม้ไม่ได้เปิดปากแต่เสียงกลับดังไปทั่ว ทะลวงไปจนถึงวิญญาณ ทำให้เกิดภาพลวงตา

แม้กระทั่งจ้าวเฟิงก็ยังต้องรอบคอบให้มากขึ้น มองดูเซียนซิงหมัวผู้นี้ วิญญาณและความลึกซึ้งในวิชาดวงตาของอีกฝ่ายต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

วิ้ง!

เมื่อสบดวงตาสีม่วงขุ่นมัวคู่นั้นของเซียนซิงหมัว จ้าวเฟิงรู้สึกว่าตัวเองเหมือนอยู่กลางโลกฟ้ากระจ่างดาวอันเวิ้งว้าง ดวงดาวนับไม่ถ้วนเผาไหม้เป็นเพลิงสีดำ ระเบิดปะทุ ปกคลุมไปทั่วผืนฟ้า

ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงพลันปรากฏประกายสีทองสว่างวาบ ทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาวะปกติ

“แข็งแกร่งนัก ทั้งที่ไม่ได้ใช้พลังดวงตา แต่เพียงแค่มองก็ทำให้ข้าตกเข้าสู่โลกมายาได้!” จ้าวเฟิงตื่นตระหนกในใจ นี่คือผู้มีพลังดวงตาแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา ท่าทางระดับพลังของเซียนผู้นี้คงเหนือขั้นเซียนทั่วไปมากทีเดียว

เซียนซิงหมัวมองมายังจ้าวเฟิง สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ตวนมู่ชิงอธิบายอย่างถ่อมตนขึ้นว่า “ทั้งหมดนี้เป็นเพราะลูกหลานตระกูลตวนมู่ได้ของในมิติเทพลวงตาติดไม้ติดมือกลับมาบ้าง ข้าเลยโชคดีบรรลุได้!”

ถึงแม้จะเป็นเซียนในชั้นแรกเริ่มเช่นเดียวกัน แต่เซียนซิงหมัวอย่างน้อยๆ ก็อยู่มาสี่หมื่นปีแล้ว ดังนั้นจึงใช้ระดับพลังฝึกตนมาเทียบกับพลังที่แท้จริงไม่ได้

“นี่คือลูกศิษย์ของข้า!”

ตวนมู่ชิงแนะนำจ้าวเฟิงในฐานะแปดตระกูลใหญ่ แต่กลับไม่พูดให้ชัดว่าเขาคือจ้าวเฟิง

ตระกูลจีทั้งหมดตกตะลึง ยิ่งสงสัยที่มาที่ไปของเด็กหนุ่มผมทองคนนี้เข้าไปอีก

ดูเหมือนมารคู่ผมม่วงจะมาจากนอกชางไห่ ไม่น่ามีความสัมพันธ์อะไรกันกับตระกูลตวนมู่ได้ แต่จีหลานกลับมีทีท่าเหมือนกับว่าตระหนักรู้อะไร จำได้ว่าตอนมารคู่ผมม่วงอยู่ในมิติเทพลวงตา มีเพียงตระกูลตวนมู่เท่านั้นที่ไม่ถูกปล้นชิง กลุ่มอื่นในตอนนั้นต่างคาดเดากันไปต่างๆ นานา

อีกทั้งจ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟยเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจน

“นี่คือศิษย์ทั้งสามของข้า!”

ผู้นำซิงหมัวเผยรอยยิ้มบาง ความหมายแฝงชัดเจนนัก

“เซียนตวนมู่ ศิษย์ของท่านมีวิชาสายเลือดดวงตา จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ผู้น้อยสนใจเป็นอย่างยิ่ง จึงอยากแลกเปลี่ยนฝีมือด้วยสักหน่อย!”

ชายผมสั้นตระกูลจีก้าวเดินออกมา ดวงตาคู่นั้นฉายประกายดวงดาวสีฟ้าม่วง

“ท่านอาจารย์ ศิษย์อยากลองดู!”

ไม่รอให้ตวนมู่ชิงเอ่ยปาก จ้าวเฟิงก็เดินออกมาแล้ว

ในช่วงระยะนี้ จ้าวเฟิงอยู่ในมนตราอากาศตลอด คอยศึกษาพลัง ‘แยกส่วน’ ของดวงตาสีทอง แยกส่วนประกอบของต้นไม้ใบหญ้ามานับไม่ถ้วน เขากำลังอยากจะลองใช้สู้จริงอยู่พอดี

ผู้อาวุโสอีกสองคนของตระกูลจียิ้มเยาะในใจเมื่อเห็นจ้าวเฟิงรับคำท้า

เนตรดาราม่วงของจีอู๋เหยี่ย ภายในหมู่คนหนุ่มสาวไม่มีใครสามารถสู้ได้ ยกเว้นอัจฉริยะรุ่นก่อนหน้านี้ของตระกูลจี

ในเรื่องของวิชาดวงตา ไม่มีใครเอาชนะจีอู๋เหยี่ยได้

“ฮิฮิ ดวงตาของพี่อู๋เหยี่ยคือเนตรดาราม่วงสับเปลี่ยนเชียวนะ!”

ข้างกายของจีหลาน เด็กที่ดูที่อายุน้อยที่สุดยิ้มกล่าวขึ้น ในใจของเขา จีอู๋เหยี่ยคือแบบอย่างที่เขาอยากจะเป็น

เนตรดาราม่วงถนัดในการสร้างภาพมายาโจมตีวิญญาณ แต่เนตรดาราม่วงสับเปลี่ยนของจีอู๋เหยี่ยเหนือกว่านั้น เพราะยังสามารถโจมตีชั้นกายเนื้อภายนอกได้ด้วย ทำให้ศัตรูไม่อาจเตรียมป้องกันได้

สายตาของจีหลานจ้องจ้าวเฟิงตั้งแต่ต้นจนจบ

เด็กหนุ่มลึกลับผู้นี้มีท่าทีนิ่งสงบมาโดยตลอด คาดเดาความคิดไม่ได้ ราวกับมีหมอกล้อมรอบเอาไว้ ระดับพลังของจ้าวเฟิงในตอนนี้ แม้แต่นางก็ไม่อาจมองได้ทะลุ

จีหลานไม่คิดว่าจีอู๋เหยี่ยจะได้เปรียบเหนือจ้าวเฟิง

“ข้าน้อยจีอู๋เหยี่ย”

ชายหนุ่มผมสั้นประกาศชื่อ สีหน้าส่อแววหยิ่งทะนงอย่างปิดไม่มิด

“โปรดชี้แนะด้วย!” จ้าวเฟิงเอ่ยเสียงราบเรียบ ผมสีทองอ่อนปลิวสยายแม้ไร้แรงลม ตาซ้ายดุจอำพันมีแสงศักดิ์สิทธิ์สีทองหมุนวน

ใบหน้าของจีอู๋เหยี่ยเคร่งขรึม เหตุที่เขาบอกชื่อตัวเองออกไปก่อน ก็เพราะหวังว่าอีกฝ่ายจะประกาศชื่อออกมาเช่นกัน

การที่จ้าวเฟิงไม่ยอมขานชื่อ สำหรับจีอู๋เหยี่ยมันคือการดูหมิ่นและไม่เห็นอยู่ในสายตา

“ดี!”

สีหน้าของจีอู๋เหยี่ยชะงักกึก ดวงตาพลันปรากฏดาวสีฟ้าม่วงเลือนราง กลิ่นอายพลังวิญญาณที่หนักหน่วงแผ่กระจาย

ดาวตก!

พลังดวงตาที่เพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นพลันปะทุออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของจีอู๋เหยี่ย ราวกับเปลวเพลิงร้อนแรงสีม่วงฟ้า

พรึ่บ พรึ่บ!

ในชั้นวิญญาณ ดวงดาวที่มีไฟสีฟ้าม่วงลุกโหมนับไม่ถ้วนกระจายอยู่ทั่ว เสียงโครมดังเลื่อนลั่น พลานุภาพมากมายมหาศาล ชวนให้สติพังทลาย ไร้หนทางจะขัดขืน

ขณะเดียวกัน วิญญาณของจ้าวเฟิงก็โดนโซ่ดาราเพลิงสีฟ้าม่วงที่กำลังลุกไหม้รัดไว้แน่น

ในชั่วขณะที่ดาราเพลิงสีฟ้าม่วงพุ่งตรงเข้ามา วิญญาณของเขาก็ราวกับว่าจะดับสูญ

“แยกส่วน!”

สีหน้าของจ้าวเฟิงเรียบนิ่งไม่เปลี่ยน ผมสีทองอ่อนปลิวสยาย พลังเนตรที่แข็งแกร่งสุดยอดแผ่กระจายมาจากตาข้างซ้าย

“เป็นพลังดวงตาที่แข็งแกร่งเสียจริง!”

จีอู๋เหยี่ยหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เก็บความคิดดูแคลนลง พลังดวงตานี่ไม่ด้อยไปกว่าเขาเลย นอกจากเซียนซิงหมัว พลังดวงตานี้ทำให้ตระกูลจีทุกคนรู้สึกหวั่นเกรงขึ้นอย่างประหลาด

“เขาพัฒนาขึ้นถึงเพียงนี้เชียวรึ?”

จีหลานมีสีหน้าเหม่อลอย ไม่อยากจะเชื่อ

วู้ม! ลำแสงสีทองสาดส่องออกมาจากตาซ้าย พุ่งทะลุดาราเพลิงสีฟ้าม่วงที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้ายามค่ำคืน

“หืม? โจมตีวัตถุ?”

จีอู๋เหยี่ยงงงัน

การโจมตีวัตถุและการโจมตีวิญญาณไม่มีทางเกิดผลกระทบซึ่งกันและกัน นี่เป็นความรู้ทั่วไป แต่กลับมีคนนำการโจมตีวัตถุมาต้านการโจมตีวิญญาณ เจ้าหนุ่มผมทองผู้นี้โง่รึเปล่า

จีอู๋เหยี่ยอดหลุดหัวเราะไม่ได้ ดูแล้วคนๆ นี้ไม่น่าใช่จ้าวเฟิง

คนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างรู้สึกถึงความผิดปกติ

ในเมื่อจ้าวเฟิงสำแดงคลื่นพลังตาซ้ายน่าประหลาด วิชาดวงตาที่ใช้กลับทะลุผ่านการโจมตีจากวิชาดวงตาของจีอู๋เหยี่ยไปเสียอย่างนั้น

“ไม่ใช่สิ นั่นคืออะไร!” เด็กน้อยตระกูลจีเบิกตาโต ร้องตะโกนขึ้นโดยพลัน

เห็นเพียงแค่ดาวเพลิงที่ถูกลำแสงสีทองทะลุผ่านบางส่วนค่อยๆ เลือนหายไปในท้องฟ้า! ไม่มีการกระทบกันของพลังวิญญาณใดๆ ทั้งสิ้น

การโจมตีวิญญาณของจีอู๋เหยี่ยหายไปจากการรับรู้อย่างนั้น แม้กระทั่งการบาดเจ็บของชั้นกายเนื้อก็หายไปอย่างน่าประหลาดเช่นเดียวกัน

ผู้คน ณ ที่นั้นล้วนแต่กลั้นหายใจ รับรู้ได้ถึงความผิดปกติของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด

“เป็นไปได้อย่างไรกัน? พลังวิญญาณของข้า พลังดวงตา ล้วนหายไปสิ้น!”

ดวงตาทั้งสองข้างของจีอู๋เหยี่ยฉายแววหวาดหวั่น เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีพลังดวงตาที่แปลกประหลาดเช่นนี้

ถึงแม้ตวนมู่ชิงจะไม่ถนัดในด้านขอบเขตวิญญาณ แต่สำหรับเรื่องนี้ เขาเองก็รู้สึกคาดไม่ถึงเช่นเดียวกัน

ดวงตาขุ่นมัวม่วงซีดของเซียนซิงหมัว ปรากฏประกายดาวสีม่วงเป็นชั้นควันจางๆ มองดูการโจมตีวิญญาณของคนทั้งสองที่อยู่ไกลๆ

“ซี้ด!” ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงมีอาการเจ็บปวด

การโจมตีวิญญาณของจีอู๋เหยี่ยแฝงไว้ด้วยการทำลายชั้นกายเนื้อ การแยกชั้นทำได้ค่อนข้างลำบาก เผาผลาญพลังดวงตาเป็นอย่างมาก อีกทั้งนี่เป็นการใช้พลังในการต่อสู้ครั้งแรกของจ้าวเฟิง

การแยกชั้นต้นไม้ แยกก้อนหิน กับการแยกชั้นพลังการโจมตี ไม่ใช่ระดับเดียวกันจริงๆ ด้วย

จุดโครงสร้างที่อยู่ในการโจมตีวิญญาณ มากกว่าจุดโครงสร้างของต้นไม้ใบหญ้าในโลกมิติส่วนตัวไม่รู้กี่พันเท่า!

ข้อมูลล้ำค่าที่สลับซับซ้อนถูกเก็บเข้าไปในลูกทรงกลมสีทองในมิติดวงตาซ้ายทันที

ความเจ็บร้าวยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จ้าวเฟิงจึงจำเป็นต้องหลับตาซ้ายเพื่อหยุด ‘การแยก’

“เด็กหนุ่มผมทอง หยุดใช้พลังดวงตาแล้ว!”

การโจมตีพลังวิญญาณของจีอู๋เหยี่ยหายไปในอากาศส่วนหนึ่ง ส่วนดวงดาวไฟสีฟ้าม่วงยังคงพุ่งเข้าหาจ้าวเฟิง

จ้าวเฟิงหลับตายืนอยู่ที่เดิม หยุดนิ่งไม่ขยับเขยื้อน

“เขาคิดจะทำอะไร?”

ในใจจีหลานสับสนวุ่นวายเป็นอย่างมาก เด็กหนุ่มคนนี้ทำให้ผู้คนไร้ซึ่งหนทางที่จะหยั่งถึง

บึ้ม บึ้ม บึ้ม! ทันใดนั้น ดวงดาวไฟสีฟ้าม่วงทั้งหมดก็พุ่งตรงเข้าชนกับพลังวิญญาณของจ้าวเฟิง

ฉึก ฉึก ฉึก! วิญญาณสีม่วงของจ้าวเฟิงแผ่กระจายพลังอัสนีเทวะโดยทันที

การโจมตีพลังวิญญาณรวมถึงโซ่วิญญาณที่พันธนาการเขาเอาไว้ ทั้งหมดถูกพลังอัสนีเทวะซัดจนเลือนหายไป

ฟู่! ภายในตำหนัก ทุกอย่างกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติ จ้าวเฟิงและจีอู๋เหยี่ยก็กลับมายืนอยู่ที่เดิม

ทันใดนั้น จ้าวเฟิงก็ลืมตาซ้ายสีทองขึ้น จ้องไปยังจีอู๋เหยี่ย

เฮือก! ร่างทั้งร่างของจีอู๋เหยี่ยสั่นสะท้าน รู้สึกราวกับว่าทั่วทั้งร่างรวมถึงวิญญาณล้วนโดนอีกฝ่ายเข้าควบคุม

เหมือนกับว่าในกายของเขามีดวงตาคู่หนึ่งมองสำรวจไปทั่วทุกอณู

“จีอู๋เหยี่ย น้อมรับความพ่ายแพ้!”

จีอู๋เหยี่ยโค้งคำนับ แล้วถอยกลับไป

ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าการโจมตีวิญญาณของเขา เหตุใดจึงหายไปกลางอากาศ

แต่ท้ายที่สุดแล้ว สายฟ้าเล็กบางที่ลอยออกมาจากวิญญาณของจ้าวเฟิงก็ทำให้เขาเข้าใจ ตัวเองไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของเด็กหนุ่มคนนี้ พลังวิญญาณและพลังดวงตาของเด็กหนุ่มคนนี้ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ ทำให้เขายอมแพ้โดยดุษฎี

จีหลานยิ้มอย่างอ่อนแรง จนถึงตอนนี้ นางก็ยังไม่อาจเข้าใจพลังตาที่จ้าวเฟิงใช้ได้

“เซียนตวนมู่ เจ้ารับศิษย์ไว้ได้ดีจริงๆ!”

ประกายดาวในดวงตาทั้งสองข้างของเซียนซิงหมัวค่อยๆ เลือนหายไป เขายิ้มพลางเอ่ยปากพูด

“ไม่ทราบว่าสหายน้อยผู้นี้ยินดีมาเป็นแขกของตระกูลจีหรือไม่ เรื่องการเก็บบันทึกพลังดวงตาและวิชาลับนั้น ในราชวงศ์ต้าเฉียนแห่งนี้ ตระกูลจีไม่เป็นสองรองใคร! ” เซียนซิงหมัวเชิญชวนอย่างไม่คิดที่จะปิดบัง

ในแปดตระกูลใหญ่ อำนาจของตระกูลจีเหนือกว่าตระกูลตวนมู่ไม่รู้เท่าไหร่

ผู้อาวุโสที่รักษาค่ายกลข้ามเมืองและเจ้าเมืองมองมายังจ้าวเฟิงด้วยความอิจฉาเป็นที่สุด

“ขอบคุณเซียนซิงหมัว หากมีโอกาส ข้าน้อยจะต้องไปขอคำแนะนำอย่างแน่นอน!”

สีหน้าของจ้าวเฟิงกลับเป็นปกติ ยิ้มอย่างอบอุ่น

“เซียนซิงหมัวกำลังจะไปราชสำนักรึ?” ตวนมู่ชิงถามหยั่งเชิง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version