Skip to content

King of Gods 929

King Of Gods

บทที่ 929 ออกจากปิดด่าน

“หืม? ไม่ใช่ว่าเขาตั้งใจหลบหน้าข้าแซ่เถี่ยอยู่รึ!”

สีหน้าของเถี่ยหงหนานเกี้ยวกราด กลิ่นอายพลังร้อนแรงทรงอำนาจแผ่กระจายเข้ามา ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากในตำหนักกายใจกดดัน วิญญาณสั่นสะท้าน ปราณที่แท้จริงและเลือดลมในกายเผาผลาญอย่างบ้าคลั่ง

เฒ่าประหลาดสวีและเซียนราตรีทมิฬหวั่นใจเล็กน้อย กลิ่นอายพลังที่เถี่ยหงหนานแผ่ออกมาไม่ด้อยไปกว่าเซียนโม๋ยวนเลย

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการกดดันซักไซ้ไล่เรียงของเซียนตระกูลเถี่ย สมาชิกที่อยู่ตรงนั้นนิ่งเงียบไม่ส่งเสียง

“ผู้อาวุโสสูงสุด จ้าวเฟิงไม่อยู่ที่นี่จริงๆ!”

ข้างกายเถี่ยหงหนาน เถี่ยหลีเทียนกวาดสายตามองแล้วรีบพูดขึ้น

ตระกูลเถี่ยก็รู้ข่าวมาว่าจ้าวเฟิงกำลังปิดด่านฝึกตน ด้วยเหตุนี้จึงรอจนถึงวันนี้

หากแต่พรุ่งนี้ก็จะเป็นศึกชิงตำแหน่งผู้ติดตามแล้ว จ้าวเฟิงกลับยังปิดด่านฝึกตนอยู่อีก!

นี่ทำให้เขาสงสัยว่าจ้าวเฟิงตั้งใจหลบหน้าตระกูลเถี่ยอยู่หรือไม่

“ให้จ้าวเฟิงออกมา ข้ามีเรื่องที่ต้องคุยกับเขา!”

สายตาของเถี่ยหงหนานเคร่งขรึม คำพูดแฝงไว้ซึ่งพลังอำนาจที่ไม่อาจขัดขืนได้

กลิ่นอายน่าสะพรึงที่ไร้รูปร่างแผ่ซ่านออกอีกครั้ง ทั้งตำหนักราวกับนรกอันร้อนรุ่ม

“ผู้อาวุโสหงหนาน เช่นนี้คงไม่ดีกระมัง ท่านที่เป็นกลุ่มอำนาจเบื้องหลังองค์ชายสี่มารบกวนการฝึกบำเพ็ญตนของสมาชิกข้า…”

องค์ชายเก้าทำใจดีสู้เสือ พูดเพียงแค่ครึ่งเดียว เชื่อว่าเถี่ยหงหนานต้องเข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อ

กฎของศึกชิงตำแหน่งรัชทายาท

กลุ่มอำนาจเบื้องหลังองค์ชายจะรบกวนกลุ่มอำนาจและสมาชิกขององค์ชายคนอื่นไม่ได้

องค์ชายเก้าไม่ยอมก้มหัวให้กับอิทธิพลอำนาจของตระกูลเถี่ย ทำให้เหล่าผู้แข็งแกร่งในตำหนักปลอดโปร่งโล่งใจยิ่งนัก แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็สัมผัสได้ลึกๆ อีกครั้งถึงความแตกต่างของทั้งสองฝ่าย เบื้องหลังองค์ชายสี่ไม่ใช่เพียงแค่ตระกูลเถี่ยระดับสามดาวขั้นสุดยอดเท่านั้น ยังมีตระกูลต่ง สองจวนกง แม้กระทั่งสำนักสี่ดาววังลอยฟ้า ล้วนยืนอยู่ข้างหลังองค์ชายสี่กันทั้งนั้น ยิ่งเมื่อรวมกับอำนาจอิทธิพลสองสามดาวอีกส่วนหนึ่งแล้วก็ช่างมากมายเหลือเกิน!

ในยามนี้เพียงแค่ตระกูลเถี่ยตระกูลเดียว ก็สยบกลุ่มอำนาจที่อยู่ตรงนั้นขององค์ชายเก้าได้แล้ว!

“ผู้อาวุโสสูงสุด ไม่สู้พวกเรารอต่อไป พรุ่งนี้ก็เป็นศึกชิงตำแหน่งผู้ติดตามแล้ว จ้าวเฟิงจะต้องออกจากปิดด่านแน่นอน!”

เถี่ยหลีเทียนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พูดขึ้นอยู่ข้างๆ

ต่อให้เป็นตระกูลเถี่ยก็ไม่กล้าฝ่าฝืนกฎที่ราชวงศ์ตั้งขึ้น

“ได้ หากพรุ่งนี้จ้าวเฟิงยังไม่ออกจากปิดด่านละก็ ข้าจะถือว่าเขาไม่เข้าร่วมศึกชิงตำแหน่งผู้ติดตาม เช่นนั้นก็ถือว่าเขาไม่ใช่สมาชิกขององค์ชายเก้าแล้วกัน!”

เถี่ยหงหนานมองมายังองค์ชายเก้า แฝงไว้ด้วยความชื่นชมเล็กน้อย จากนั้นกวาดสายตามองผู้แข็งแกร่งที่อยู่ที่นั่นทุกคน ในคำพูดเผยนัยข่มขวัญ

หลังจากที่เถี่ยหงหนานและคนตระกูลเถี่ยจากไป

อุณหภูมิในตำหนักก็กลับมาเป็นปกติ แต่กลับดิ่งลงสู่ความเงียบงันอีกครั้ง

องค์ชายเก้ารู้สึกไร้ซึ่งเรี่ยวแรงเช่นกัน หากตระกูลจีอยู่ที่นี่ อิทธิพลอำนาจของพวกเขาอาจยังจะพอสู้ได้บ้าง คงไม่อ่อนด้อย ส่งผลต่อขวัญกำลังใจเช่นนี้

ยามนี้ ชายท่าทางเมตตาในชุดคลุมลายมังกรสีทองเดินมา “จื่อหัง อย่าได้ท้อใจไป ถึงแม้อำนาจเบื้องหลังเจ้าจะไม่มาก แต่สมาชิกของเจ้าล้วนแข็งแกร่งหลักแหลม ความสามารถล้นพ้น!”

“ท่านอาสิบเอ็ด!” องค์ชายเก้าเผยสีหน้าตกตะลึง ในใจเกิดความรู้สึกไม่ยินยอมเป็นที่สุด

ในฐานะที่เป็นผู้นำของกลุ่ม สมาชิกทุกคนเดินทางมาที่นี่เพราะเขา ตนเองจะแสดงอาการหวั่นไหวออกมาไม่ได้เด็ดขาด

สายตาขององค์ชายเก้าวาววาบ เขาจะไม่ทำให้ความพยายามของตัวเองสูญเปล่า

ในขณะเดียวกัน ผู้ที่ได้ตำแหน่งรายชื่อผู้ติดตามทุกคนตรงนั้น ความเชื่อมั่นในใจลุกโหม รู้สึกแค้นเคืองกับความไม่เป็นธรรมเช่นเดียวกัน

“ข้าเชื่อว่าทุกท่านเป็นผู้ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ศึกชิงตำแหน่งผู้ติดตามในวันพรุ่งนี้ จะต้องไม่ถูกผู้ใดแทนที่แน่นอน!”

องค์ชายเก้ามองไปยังคนทั้งเจ็ดด้วยสีหน้าจริงจัง ศึกชิงตำแหน่งผู้ติดตาม หากไม่ได้อยู่ในกลุ่มอำนาจฝ่ายใดก็สามารถเข้าชิงได้ และคนพวกนี้ ส่วนมากจะไม่กล้าท้าชิงตำแหน่งผู้ติดตามของกลุ่มอำนาจใหญ่ๆ แต่จะลงมือกับกลุ่มอำนาจเล็กๆ หรือแม้กระทั่งตำแหน่งรายนามที่ไร้ซึ่งพลัง

…….

วันต่อมา!

ทั่วทั้งราชวงศ์ต้าเฉียน พลังแห่งชะตามังกรแผ่ซ่าน ราวกับมังกรทองที่จำศีลอยู่กำลังจะตื่นขึ้น ชะตามังกรยิ่งใหญ่เกียงไกร น่าครั่นคร้ามไปทั่วทุกหนแห่ง!

ในวังหลวงต้าเฉียน ลานฝึกวิชาที่ใหญ่ที่สุด

เวทีประลองสิบแห่งตั้งอยู่ในนั้น โถงตำหนักรอบลานแบ่งเป็นที่นั่งขององค์ชายแต่ละคนและเหล่าขั้วอำนาจ เหนือวังหลวง ท่ามกลางชั้นเมฆกว้างไกลนับพันลี้ ผู้ชมจากกลุ่มอำนาจยอดฝีมือนับไม่ถ้วนต่างมาชุมนุมมุงดู

“เจ้าหอปี้ เรียกให้จ้าวเฟิงออกจากปิดด่านเถอะ!” องค์ชายเก้าส่ายหัวน้อยๆ จ้าวเฟิงคงไม่ได้ลืมเรื่องศึกชิงตำแหน่งรัชทายาทหรอกกระมัง

ปี้ชิงเยวี่ยในฐานะเจ้าหอควันสมุทร ถึงแม้จะไม่อยากรบกวนจ้าวเฟิง แต่เรื่องนี้จำต้องเป็นนางที่ทำ

ปี้ชิงเยวี่ยพยักหน้าเล็กน้อยแล้วรีบจากไป มุ่งหน้าไปยังที่จ้าวเฟิงปิดด่านฝึกตนอยู่ทันที

ในยามนี้ เถี่ยหลีเทียนแห่งตระกูลเถี่ยเดินมาอย่างช้าๆ เอ่ยปากถามขึ้นว่า “องค์ชายเก้า จ้าวเฟิงยังไม่ออกจากปิดด่านอีกรึ?”

กลุ่มอิทธิพล ณ ที่นั้นใจหนักอึ้ง

ตระกูลเถี่ยส่งคนมาเร็วขนาดนี้เชียว!

หากเถี่ยหงหนานบีบบังคับถามพวกเขาต่อหน้ากลุ่มอำนาจของราชวงศ์ทั้งหลายอย่างเมื่อวานอีก จะทำเช่นไร?

ในชั่วขณะที่พวกเขากังวลใจอยู่นั้น ก็มีเสียงดังมาจากที่ไกลๆ

“องค์ชายเก้า ข้ามาช้าไป!”

จ้าวเฟิงเดินมาอย่างเนิบช้า คำพูดแฝงนัยขอโทษ

ทันใดนั้น ตัวแทนกลุ่มอำนาจรอบกายองค์ชายเก้าต่างจ้องไปทางเดียวกัน

ชื่อเสียของจ้าวเฟิงสะพัดเลื่องลือไปทั่วทั้งราชวงศ์ตั้งแต่เมื่อสี่ปีก่อนแล้ว

และตั้งแต่ที่พวกเขาเข้าร่วมกับองค์ชายเก้า จนมาถึงวังหลวง จ้าวเฟิงล้วนปิดด่านฝึกตนอยู่ตลอด พวกเขาไม่เคยได้เห็นหน้า อีกทั้งไม่เคยมีผู้ใดเห็นฝีมือฝึกสัตว์ของจ้าวเฟิง แต่จู่ๆ เขาก็ได้ตำแหน่งสำคัญนี้ไป

เมื่อวานนี้ เซียนตระกูลเถี่ยมากดดันถึงที่ สาเหตุก็เพราะจ้าวเฟิงเช่นกัน

เรื่องทั้งหมดทั้งมวลนี้ รวมกับชื่อเสียงของจ้าวเฟิงที่แต่เดิมก็เลวร้ายอยู่แล้ว ทำให้พวกเขาไม่พอใจจ้าวเฟิงยิ่งนัก หากไม่ใช่เพราะจ้าวเฟิงเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของหอควันสมุทร และมีสัมพันธ์อันดีกับหนานเฟิงอ๋องแล้วละก็ พวกเขาคงจะโน้มน้าวให้องค์ชายเก้าถอนตำแหน่งผู้ติดตามของจ้าวเฟิงไปนานแล้ว

“จ้าวเฟิง เจ้ามาก็ดีแล้ว!”

ใบหน้าองค์ชายเก้าประดับรอยยิ้มบาง สังเกตจ้าวเฟิงอย่างละเอียดเช่นเดียวกับทุกคน

ดวงตาเดียวขุ่นมัวของตาเฒ่าอิงส่องประกายวูบวาบ ‘ช่างเป็นกลิ่นอายที่หนักแน่นแข็งแกร่งยิ่งนัก!’

ผู้อาวุโสตระกูลสือตกตะลึงเล็กน้อย “สภาวะวิญญาณของเจ้าเด็กนี่ไม่ด้อยไปกว่าสืออวี่เหลยเลย!”

ต้องรู้ก่อนว่า ตระกูลสือของพวกเขา ในระดับหนึ่งแล้วคือตระกูลที่ฝึกฝนร่างกาย

สืออวี่เหลยคืออัจฉริยะชั้นยอดที่ปลุกพรสวรรค์สายเลือดรุ่นก่อนหน้า

“จ้าวเฟิง ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลเถี่ยเชิญให้เจ้าไปพูดคุยด้วย!”

เถี่ยหลีเทียนสังเกตจ้าวเฟิงอีกครั้ง สีหน้าสับสน แต่กลับปิดบังสายตาชื่นชมไม่มิด

จ้าวเฟิงในตอนนี้ ถึงแม้จะเป็นขอบเขตปราณเทวะช่วงปลาย แต่กลับทำให้เขารู้สึกหยั่งไม่ถึง กลิ่นอายพลังหนักแน่นมั่นคงเกินกว่าจักรพรรดิอาวุโสมากนัก ดวงตาสีทองลึกล้ำไร้รอยด่างพร้อย ชวนให้รู้สึกใจสั่นไม่มั่นคง

แต่สิ่งที่ทำให้เขาฮึกเหิมที่สุดก็คือ เขาสามารถสัมผัสได้ว่าสายเลือดเพลิงมารโลหิตที่สมบูรณ์แบบในกายจ้าวเฟิง คล้ายจะยิ่งบริสุทธิ์มากขึ้นไปอีก

“ระหว่างข้ากับตระกูลเถี่ยไม่มีอะไรต้องคุยกัน!”

เมื่อได้เห็นเถี่ยหลีเทียน จ้าวเฟิงก็รู้ทันทีว่าเขาจะพูดอะไร จึงปฏิเสธไปทันที

ในตอนนั้นเขาก็เคยพูดไปแล้ว บุญคุณความแค้นของตนเองกับเจ้าของเดิมร่างนี้สิ้นสุดลงแล้ว

“จ้าวเฟิง ร่างกายของเจ้า อย่างไรเสียก็เป็นตระกูลเถี่ย เลือดในกายที่ไหลเวียนอยูในตัวเจ้าก็คือสายเลือดของตระกูลเถี่ย นี่คือความจริง เจ้าจะหลีกหนีมันไปไม่ได้!”

เถี่ยหลีเทียนเอ่ยแนะอย่างจริงใจ หากจ้าวเฟิงกลับไปยังตระกูลเถี่ยได้ ในภายภาคหน้าจะต้องกลายเป็นบุคคลสำคัญที่สุดแห่งราชวงศ์บนแผ่นดินใหญ่นี้อย่างแน่นอน

สายเลือดในกายของเขา จะทำให้ตระกูลเถี่ยกลายเป็นสำนักสามดาวขั้นสุดยอดได้ แม้กระทั่งถึงระดับสี่ดาวก็ยังมีหวัง

“หลีกหนี?” จ้าวเฟิงไม่คิดอย่างนั้น ตนเองไม่เคยหลีกหนี

เพียงแต่บุญคุณหนี้แค้นในอดีต หากจะคิดให้ละเอียดแล้วคงไม่มีวันจบสิ้น

‘หลีกหนี’ เป็นเพียงแค่ความคิดของตระกูลเถี่ย พวกเขาคิดว่าจ้าวเฟิงกำลังหลบเลี่ยง

“ได้ ข้าจะตามเจ้าไป!”

จ้าวเฟิงถอนหายใจ แววตาเด็ดเดี่ยว เรื่องนี้จะต้องตัดสินให้รู้กันไป

ตระกูลเถี่ยคือตระกูลแถวหน้าในแปดตระกูลใหญ่ อิทธิพลอำนาจมหาศาล มีความสัมพันธ์ซับซ้อนกับราชวงศ์ หากไม่พูดกันให้ชัดเจน ในภายภาคหน้าคงไม่จบไม่สิ้นเป็นแน่

ฟู่! เมื่อเห็นจ้าวเฟิงตามเถี่ยหลีเทียนจากไป ขั้วอำนาจตรงนั้นขององค์ชายเก้าค่อยหายใจโล่งขึ้นบ้าง พวกเขาไม่คิดจะเผชิญหน้ากับพลังอำนาจของเถี่ยหงหนานอีกแล้ว

สำหรับเรื่องของจ้าวเฟิง พวกเขารับรู้มาบ้างเล็กน้อย

ในชั่วขณะเดียวกับที่รู้สึกอิจฉา พวกเขาต่างสงสัย เหตุใดจ้าวเฟิงจึงไม่เข้าร่วมกับตระกูลเถี่ย?

การปรากฏตัวของจ้าวเฟิง ในเวลาเดียวกันก็ดึงดูดความสนใจจากผู้แข็งแกร่งในตำหนักฝั่งองค์ชายสิบสาม ผู้อาวุโสสูงสุดหน้าเหลี่ยมแห่งตระกูลตวนมู่และตวนมู่ชิงมองมายังจ้าวเฟิงด้วยสีหน้าซับซ้อน ส่วนองค์ชายสิบสามอีกทั้งคนของวังเก้านิรยต่างมองมาด้วยสายตาเย็นชา แฝงไว้ด้วยจิตสังหาร ส่วนโถงตำหนักขององค์ชายสี่เงียบสงบ ความน่าสะพรึงมากมายที่แฝงอยู่ในนั้น ทำเอาตัวแทนกลุ่มอิทธิพลสองดาวสามดาวบางส่วนถึงกับไม่กล้าหายใจดังๆ

ในยามนี้ เถี่ยหลีเทียนตามจ้าวเฟิงมาปรากฏอยู่ด้านนอกตำหนัก

“จ้าวเฟิง!” องค์ชายสี่จับจ้องสายตามายังจ้าวเฟิง

รู้สึกเพียงว่าจ้าวเฟิงในยามนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับในวันวานแล้วยิ่งลึกล้ำมั่นคงขึ้น

เวลาเดียวกัน ยอดฝีมือทั้งหลายในตำหนักขององค์ชายสี่ต่างมองสังเกตเด็กหนุ่มผมทองที่อยู่ตรงหน้า

“จ้าวเฟิง พวกเราเจอหน้ากันอีกแล้ว!”

ซินอู๋เหินในชุดดำ ใบหน้าเปื้อนยิ้มสนิทสนม

เขาและจ้าวเฟิงมาจากบ้านเดียวกัน ได้มาเจอกันที่แผ่นดินใหญ่แห่งนี้ แน่นอนว่าเป็นเรื่องน่ายินดี

“เป็นจ้าวเฟิง!” เซวียนหยวนเหวินนัยน์ตาวาวโรจน์ จิตต่อสู้อันแข็งแกร่งพลันแผ่กระจายตามมา

ในยามนี้ เขาสามารถควบคุมอาวุธเทพชั้นรองในขั้นต้นได้เเล้ว ไม่เหมือนกับตอนอยู่ในมิติเทพลวงตาที่รับมือไม่ทันจนเสียเปรียบจ้าวเฟิง

“จ้าวเฟิง?” ในที่นั่งของตระกูลเถี่ย ชายผมแดงสายตาเฉียบขาดผู้หนึ่งมองสังเกตอย่างละเอียด เขาได้ยินมานานแล้ว ผู้อาวุโสของตระกูลได้พบเจอกับสายเลือดเพลิงมารโลหิตที่สมบูรณ์ของตระกูลเถี่ย อีกทั้งวีรกรรมของจ้าวเฟิงในมิติเทพลวงตาก็ทำให้พวกเขาต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะขนาดเซวียนหยวนเหวินยังเสียท่าให้กับจ้าวเฟิง

“เจ้าก็คือจ้าวเฟิงงั้นรึ?”

แววตาของเถี่ยหงหนานราวคบเพลิง ส่องประกายแดงวาบอย่างน่าประหลาดยามจับจ้องจ้าวเฟิง

“เฟิงเอ๋อร์…” ด้านหลังเถี่ยหงหนาน สตรีงดงามผู้นั้นคิ้วขมวดมุ่น ใบหน้าซีดขาว ส่งเสียงสะอื้นเรียก

ในชั่วเวลาเดียว ประหนึ่งทุกคนต่างเรียกชื่อจ้าวเฟิงออกมา

ภาพฉากนี้ทำเอาตัวแทนขั้วอำนาจสองสามดาว ณ ตรงนั้นตะลึงอ้าปากค้าง

จ้าวเฟิงคนนี้เป็นใครกันแน่?

แม้กระทั่งผู้อาวุโสแห่งวังลอยฟ้าที่ปิดเปลือกตาเล็กน้อยมาตลอด ยังค่อยๆ ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมองจ้าวเฟิงแวบหนึ่งอย่างสนใจ

จ้าวเฟิงยืนนิ่งอยู่กับที่ สีหน้าเรียบนิ่งไร้อารมณ์ ดวงตาสีทองมองกวาดไปยังทุกคนอย่างเฉยชา ราวกับว่าเมินเฉยกับทุกสิ่ง แต่ก็จดจำทุกคำพูด

สุดท้าย สายตาของจ้าวเฟิงก็หยุดอยู่ที่ร่างของเถี่ยหงหนาน

“แข็งแกร่งเสียจริง!” จ้าวเฟิงประเมินได้เพียงเท่านี้ เมื่อเทียบกับเซียนเก้านิรยในตอนนั้นแล้วยังแข็งแกร่งมากกว่านับสิบเท่า กลิ่นอายพลังกดดันที่เถี่ยหงหนานแผ่กระจายออกไปตามแต่อารมณ์ ทำให้ทั้งร่างของเขาหนักอึ้ง เหมือนถูกมัดเอาไว้จนหายใจไม่ออก

“นี่คือเซียนตระกูลเถี่ยที่มาครั้งนี้?”

กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเฟิงโคจรอย่างลับๆ

แววตาของเถี่ยหงหนานวาวโรจน์ จ้องมายังจ้าวเฟิง ลอบกระตุ้นเคล็ดวิชาลับเช่นกัน

จ้าวเฟิงพลันรู้สึกทั่วทั้งร่างกายร้อนจัดราวเปลวไฟกำลังเผาไหม้ขึ้นทันใด สายเลือดเพลิงมารโลหิตในกายเดือดพล่าน ประหนึ่งมันกำลังจะระเบิดออก

ครืน… ร่างกายของจ้าวเฟิงเปล่งแสงโลหิตวาววับขึ้นหุ้มล้อมรอบกาย

“ยอดเยี่ยม เพลิงมารโลหิตที่สมบูรณ์แบบ!”

เถี่ยหงหนานเผยสีหน้าตื่นเต้นยินดี แววตาวาววับ รีบลุกขึ้นยืนทันใด พลังกดดันที่ร้อนแรงและน่าสะพรึงกลัวพลันสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version