บทที่ 942 รางวัล
“ผลึกเซียนระดับล่าง!” จีเติงเทียนตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น
ผลึกเซียนระดับล่าง เป็นหินผลึกในตำนานที่มีระดับสูงสุดแล้วในดินแดนทวีป และเป็นผลึกที่ดีเยี่ยมในการฝึกบำเพ็ญตนของเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับ
เซียนไป่เลี่ยนเองก็ตาร้อนอย่างมากเช่นกัน
ถึงจะเป็นเขาก็มีเพียงผลึกเซียนระดับล่างไม่กี่ชิ้น อีกทั้งยังได้มาจากพื้นที่ต้องห้ามที่น่ากลัวโดยเสี่ยงอันตรายอย่างใหญ่หลวง
ตอนนี้จ้าวเฟิงได้ผลึกเซียนระดับล่างสามชิ้นมาอย่างง่ายดายเช่นนี้ เซียนไป่เลี่ยนเกือบจะทนไม่ไหว ลงมือแย่งอีกฝ่ายมา
“จ้าวเฟิง ทรัพยากรมรดกเซียนแบ่งเจ้าเจ็ดข้าสาม ในตอนนี้เจ้าเอาผลึกเซียนระดับล่างไปทั้งหมด หมายความว่าอะไร?”
เซียนไป่เลี่ยนเอ่ยถามทันที
“แน่นอนว่าแบ่งมรดกเจ้าสามข้าเจ็ด แต่นี่คือของที่ข้าได้จากสัตว์อสูรที่ข้าสังหารเอง!”
จ้าวเฟิงแค่นเสียงเย็น พูดอย่างราบเรียบ
จ้าวเฟิงเองก็ไม่คิดว่าในร่างของสัตว์ประหลาดหินกรวดขั้นเซียนจะมีผลึกเซียนระดับล่างถึงสามชิ้น อาจจะเป็นของรางวัลที่ซุกซ่อนเอาไว้กระมัง จะต้องรู้ว่า มรดกของเทวาเร้นลับชั้นต้นที่เขาทำลายไปสามแห่งก่อนนี้ เพิ่งจะได้ผลึกเซียนระดับล่างชิ้นเดียวเท่านั้น ถึงอย่างไรการฝึกตนของเซียนก็ต้องการผลึกเซียนระดับล่าง ไม่มีเซียนคนใดไม่ต้องการผลึกเซียนไว้มากมาย
จากจุดนี้จะเห็นได้ว่ามรดกแห่งนี้ไม่ธรรมดาเลย
“เจ้า…”
เซียนไป่เลี่ยนพูดอะไรไม่ออก
อันที่จริง ผลึกเซียนระดับล่างสามชิ้นนี้เป็นแกนกลางสำคัญของสัตว์ประหลาดหินกรวด ไม่ถือว่าเป็นมรดก และจุดแข็งของจ้าวเฟิง กลับทำให้เซียนไป่เลี่ยนรู้สึกว่าเขาไม่หวาดกลัวอะไรทั้งสิ้น
“ภายในมรดกของเซียนชั้นสูงน่าจะมีผลึกเซียนระดับล่างจำนวนไม่น้อยทีเดียว!”
เซียนไป่เลี่ยนคิดได้เพียงเช่นนี้
วูบ~ ในวินาทีที่สัตว์ประหลาดหินกรวดขั้นเซียนระเบิดออก คนทั้งสามรีบก้าวเข้าไปภายใน
ห้องโถงกว้างใหญ่แห่งหนึ่งในครรลองสายตา ไม่ได้ตกแต่งประดับประดา บนกำแพงสี่ด้านแกะสลักภาพสีเหลืองทองสมจริงราวมีชีวิต
วินาทีที่ทั้งสามคนเดินเข้าไป พลังชะตามังกรที่ไร้รูปร่างก็หลั่งไหลเข้าไปในหยกมังกรคุ้มกันบนร่างพวกเขา
แต่ไม่นานก็หยุดไป
“พลังชะตามังกรนี้…” เซียนไป่เลี่ยนสงสัย
พลังชะตามังกรมีน้อยกว่าที่คิดไว้มาก ยังไม่เทียบเท่าพลังชะตามังกรของเซียนชั้นต้น
หรือว่าข่าวคราวจะผิดพลาด นี่ไม่ใช่มรดกของเซียนชั้นสูงหรอกหรือ?
แต่จากสิ่งที่พวกเผชิญมาตลอดทาง ระดับความยากย่อมเกินเทวาเร้นลับชั้นต้นอยู่แล้ว ถ้าหากไม่มีวิชาดวงตาลึกลับของจ้าวเฟิง กลุ่มของเซียนไป่เลี่ยนทั้งสามคงยากจะทะลวงมาถึงที่นี่
“นั่นคือ?” จีเติงเทียนมองขึ้นด้านบน
สายตาของทั้งสามถูกกลุ่มแสงลายคลื่นน้ำสามลูกที่ลอยล่องกลางอากาศดึงดูดเอาไว้ แสงทองเรืองรองสะท้อนไปทั่วบริเวณ
“ขอแสดงความยินดีกับพวกท่านที่ผ่านด่านสำเร็จ แต่ไม่ผ่านเงื่อนไขของผู้รับสืบทอด ด้วยเหตุนี้จึงมอบของล้ำค่าให้ท่านผู้พิชิตได้เพียงสามสิ่งเท่านั้น!”
ในห้องโถง เสียงลึกลับสะท้อนไปมา เหมือนเป็นเจตนาของฟ้าดิน
“นี่คือพลังเจตจำนง!” สีหน้าจีเติงเทียนตื่นตะลึง!
“ไม่ นี่คือเจตจำนงที่หลงเหลือของโลกมิติ” หลังจากที่เซียนไป่เลี่ยนตกอกตกใจ ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เจตจำนงของโลกมิติ?”
จ้าวเฟิงรู้สึกตื่นตะลึงเล็กน้อย คำพูดแบบนี้เขาเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก
“หลังจากที่โลกมิติส่วนตัวค่อนข้างเสถียรและมั่นคงแล้ว เซียนก็จะประทับเจตจำนงของตนเองลงไปในนั้น เท่ากับเป็นผู้ดูแล!”
เซียนไป่เลี่ยนอธิบาย อาจเป็นเพราะเขาเองก็ไม่ได้รู้อะไรมากนัก
“ผู้ดูแล?” พูดถึงผู้ดูแล จ้าวเฟิงก็นึกถึงเจ้าแมวขโมยน้อยที่อยู่ในมนตราอากาศ
ในเวลานี้มันเป็นผู้ดูแลคนหนึ่ง ช่วยจ้าวเฟิงดูแลบัวฟ้าวารีคราม รากบัวหิมะหลอมกายา และผึ้งเบญจพิษเป็นต้น
“ดูจากท่าทางแล้ว เศษเสี้ยวเจตจำนงที่หลงเหลืออยู่ในโลกมิติแห่งนี้ ยังคงยึดตามความปรารถนาของเซียนยามที่มีชีวิตอยู่ คือคัดเลือกผู้พิชิตมรดกอย่างเข้มงวด!”
จ้าวเฟิงลูบขากรรไกร
เมื่อเป็นเช่นนี้ สาเหตุที่พลังชะตามังกรมีน้อยนิดก็พอจะอธิบายได้
“ใช่แล้ว!”
สีหน้าเซียนไป่เลี่ยนชะงักไป คิดไม่ถึงว่าจ้าวเฟิงจะเข้าใจได้รวดเร็วเช่นนี้ ว่ากันตามเหตุผลแล้ว จ้าวเฟิงยังเป็นเพียงแค่ขอบเขตปราณเทวะช่วงปลาย แม้กระทั่งโลกมิติส่วนตัวก็ยังไม่มี
คนทั้งหมดยืนอึ้งงันอยู่ที่เดิมไปครู่หนึ่ง หากเป็นมรดกทั่วไป ขอแค่พิชิตด่านทดสอบก็จะได้ทรัพยากรมรดกทั้งหมดแล้ว แต่มรดกเซียนแห่งนี้ต่างออกไป เศษเสี้ยวเจตจำนงที่หลงเหลือในโลกมิติส่วนตัวยึดตามคำสั่งก่อนตายของผู้เป็นนาย จัดการดูแลมิติแห่งนี้อย่างเคร่งครัด
พูดได้ว่า พวกเขาสามคนจะได้รับก็เพียงสิ่งของในกลุ่มแสงทั้งสามกลางอากาศเท่านั้น
นอกเสียจากว่าคนทั้งหมดจะทำลายเจตจำนงของขอบเขตเทวาเร้นลับชั้นสูงที่ตีตราประทับอยู่ในโลกมิติส่วนตัว!
เช่นนั้นแล้วก็จะสามารถได้รับทรัพยากรในมรดกทั้งหมด แต่เป็นไปไม่ได้อย่างเห็นได้ชัด
ในทันทีที่ทุกคนลงมือบุกโจมตี เจตจำนงที่หลงเหลืออยู่จะผนึกกำลังกับพลังทั้งหมดในโลกมิติ ฆ่าล้างทำลายทุกคนได้อย่างง่ายดาย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ทำอะไรไม่ได้อีก
จ้าวเฟิงมองกลุ่มแสงทั้งสามกลางอากาศอย่างละเอียด
ในกลุ่มแสงแรกมีตำราโบราณเล่มหนึ่งชื่อ ‘เคล็ดวิชาสวรรค์เก็บปราณ’
และที่อยู่ถัดมาด้านหลังคือหญ้าโอสถสีแดงหน้าตาน่าเกลียดหนึ่งต้น และผลึกเซียนระดับล่างสิบชิ้น
สีหน้าของเซียนไป่เลี่ยนเคร่งขรึมลงไป
มีของล้ำค่าเพียงสามชิ้น และตามที่เขาตกลงกับจ้าวเฟิง เซียนไป่เลี่ยนจะได้รับของในกลุ่มแสงอย่างหนึ่ง
หญ้าแดงอัปลักษณ์และ ‘เคล็ดวิชาสวรรค์เก็บปราณ’ พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำ และไม่อาจจะคาดคะเนมูลค่าได้
แต่จากผลึกเซียนระดับล่างสิบชิ้นที่อยู่ข้างๆ ก็พอจะประเมินได้ มูลค่าสิ่งของทั้งสองชิ้นคงจะไม่ด้อยไปกว่าผลึกเซียนระดับล่างสิบชิ้น เพียงแต่ปัญหาเรื่องประโยชน์มากหรือน้อย
ก็เหมือนมรดกอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นหนึ่ง เมื่อไม่ใช่สิ่งที่ตนเองต้องการ สำหรับคนผู้นั้นแล้วมูลค่าของมรดกอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้ก็จะลดลงไป
“จ้าวเฟิงมอบ ‘เคล็ดวิชาสวรรค์เก็บปราณ’ ให้ข้า ส่วนของอีกสองชิ้นเจ้าเอาไป เป็นอย่างไร?”
เซียนไป่เลี่ยนเอ่ยถามกลับ
ในของสามชิ้นนี้ สิ่งที่เซียนไป่เลี่ยนมองข้ามเป็นอย่างแรกก็คือหญ้าแดงอัปลักษณ์
ในฐานะที่เป็นตระกูลชั้นสูงที่ชำนาญการสู้ เขาย่อมต้องสนใจใน ‘เคล็ดวิชาสวรรค์เก็บปราณ’ มากกว่า
ในมือของเขายังมีผลึกเซียนระดับล่างหลายชิ้น
สุสานราชวงศ์ยังมีเวลาอีกยาวนานนัก จะเอาผลึกเซียนระดับล่างยังมีโอกาสอีกมาก
จ้าวเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
สำหรับเขาแล้ว ของทั้งสามชิ้นนี้ มีผลึกเซียนระดับล่างสิบชิ้นที่มีมูลค่าอยู่บ้าง
‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ของจ้าวเฟิงนับว่าเป็นวิชาในระดับสูงแล้ว ‘เคล็ดวิชาสวรรค์เก็บปราณ’ จึงไม่มีประโยชน์มากนักสำหรับเขา ส่วนสมบัติล้ำค่าอย่างหญ้าแดงต้นนี้ ชัดเจนว่าอยู่ในสายอธรรมและวิญญาณ
กล่าวโดยรวมคือ จ้าวเฟิงไม่ได้พออกพอใจอะไรนักกับผลประโยชน์จากการพิชิตมรดกครั้งนี้
เห็นคิ้วสองข้างของจ้าวเฟิงขมวดมุ่น เซียนไป่เลี่ยนอุทานในใจ ‘หรือว่าจ้าวเฟิงจะสนใจ ‘เคล็ดวิชาสวรรค์เก็บปราณ’ เข้าแล้ว?’
บรรดาของทั้งสามชิ้นนี้ สิ่งที่ไม่มีค่าที่สุดต่อเขาก็คงจะเป็นหญ้าแดงหน้าปีศาจ
ในขณะที่เซียนไป่เลี่ยนเพิ่งเตรียมจะเจรจากับจ้าวเฟิง
แต่ทันใดนั้น จ้าวเฟิงก็ตอบตกลงทันที “ได้ เก็บของ!”
จ้าวเฟิงโผทะยานขึ้นไปทันที ตรงไปหาผลึกเซียนระดับล่างสิบชิ้นดังกล่าวแล้วคว้าหมับเอามา
“หืม? กลุ่มแสงลายคลื่นน้ำนี่?”
สีหน้าของจ้าวเฟิงชะงักค้าง
ในขณะที่พลังของเขาสัมผัสกับกลุ่มแสง มันเหมือนกับยามที่อยู่ในมิติเทพลวงตา ตอนที่ซินอู๋เหินใช้ไม้อ่อนสลายพลังของเขา
เมื่อพลังกายของจ้าวเฟิงสัมผัสกับกลุ่มแสงคลื่นน้ำ ก็ถูกเสวียนอ้าวแห่งสายน้ำลึกลับกลุ่มหนึ่งสลายไปจนสิ้น ดูไปแล้ว สมบัตินี้ไม่ใช่สามารถหยิบได้ตามอำเภอใจ
อีกฟากหนึ่ง เซียนไป่เลี่ยนก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ
“ไม่มีเวลาแล้ว!”
จ้าวเฟิงโคจรสายเลือดเพลิงมารโลหิต ทั่วร่างทะลักเพลิงสว่างเจิดจ้า กลิ่นอายที่น่ากลัวเป็นประหนึ่งดวงอาทิตย์สีแดงฉานร้อนแรง ระเบิดแสงสีเพลิงสว่างจ้าออกมา
“หมัดอัสนีศักดิ์สิทธิ์!”
จ้าวเฟิงแกว่งหมัดสองข้าง แล้วจึงปรากฏอัสนีเพลิงสีแดงโลหิตหลายสายพร้อมไฟร้อนแรง พุ่งทะลวงกลุ่มแสงประหนึ่งลูกเพลิงลูกเล็ก
วิ้ง! ความแข็งแกร่งของวิชาหมัดจ้าวเฟิงถูกกลุ่มแสงหมุนวนจนกระจายออกไป
แต่ผลลัพธ์เผาไหม้ของเพลิงมารโลหิตที่สมบูรณ์ไม่สามารถเคลื่อนย้ายทำลายได้
ฟุ่บ! พู่ว~ กลุ่มแสงคลื่นน้ำทั้งลูกโดนเพลิงไอเพลิงสว่างไสวเผาไหม้ ไม่นานนักก็สูญสลายไป!
“ไฟและน้ำข่มกัน!”
จ้าวเฟิงยิ้มแย้มออกมาเล็กน้อย เอาผลึกเซียนระดับล่างสิบชิ้นเก็บเข้าไปในมนตราอากาศ
แววตาของเซียนไป่เลี่ยนสว่างวาบ รีบสำแดงกลยุทธ์วิชาธาตุไฟแขนงหนึ่งออกมา
ไม่นานนัก กลุ่มแสงคลื่นน้ำระเบิดออก ‘เคล็ดวิชาสวรรค์เก็บปราณ’ ก็อยู่ในกำมือ
“ทิ้งสมบัติทั้งหมดไว้ซะ!”
ทันใดนั้นเอง เสียงเย็นเยือกอหังการก็ดังมาจากส่วนลึกของทางเดินเก่าแก่โบราณ
“กองกำลังอื่นมาถึงแล้ว!” สีหน้าของจีเติงเทียนตึงเครียดขึ้น แต่จีเติงเทียนมองไปที่เซียนไป่เลี่ยนและจ้าวเฟิง แล้วจึงสงบจิตใจลง ด้วยสภาพขบวนของพวกเขาสามคน ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวกองทัพเล็กๆ แม้แต่น้อย
โครม ตู้ม! เพลิงมารทมิฬบ้าคลั่งระเบิดออกมา กลายเป็นเงาร่างสีดำสนิท สีหน้าอำมหิต บนศีรษะสวมหมวกครอบสีดำ
“เซียนมารทมิฬแห่งวังเก้านิรย!” สีหน้าของเซียนไป่เลี่ยนพรั่นพรึง
“จ้าวเฟิง!”
เซียนมารทมิฬตะเบ็งเสียงออกมาอย่างเกรี้ยวกราด เพลิงสีดำปะทุขึ้นทั่วร่าง มีท่าทีพร้อมจะลงมือ
ในเวลาเดียวกันก็มีคนอีกสามคนโบยบินเข้ามา
“ปฐมเซียนสามคน!” จีเติงเทียนพลันกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ
คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นกองกำลังขององค์ชายสิบสาม
เซียนมารทมิฬบวกกับปฐมเซียนสามคน กองทัพที่น่ากลัวเช่นนี้ ในใจของจีเติงเทียนหวาดกลัวอย่างมาก
“นั่นเป็นบุปผาปีศาจสามภพ!”
ในกลุ่มคนทั้งสาม ผู้เฒ่าชุดดำคนหนึ่งร้องออกมาทันใด แววตาสว่างเป็นประกาย จ้องสมบัติล้ำค่าในกลุ่มแสงคลื่นน้ำที่อยู่กลางอากาศ
“บุปผาปีศาจสามภพ!”
แววตาเซียนมารทมิฬละไปจากร่างของจ้าวเฟิง จ้องไปด้านบนด้วยใจสั่นระรัว
“จ้าวเฟิง บุปผาปีศาจสามภพไม่มีประโยชน์กับเจ้ามากนัก จงยกมันให้กับข้า บุญคุณความแค้นระหว่างเจ้าและวังเก้านิรย ในวันนี้ข้าจะไม่คิดเล็กคิดน้อย!”
สีหน้าของเซียนมารทมิฬเคร่งขรึมลงเล็กน้อย มองไปที่คนทั้งสามด้านหน้า
เห็นได้ชัดเลยว่าบุปผาปีศาจสามภพเป็นของที่ยึดได้มาจากคู่ต่อสู้ของเซียนไป่เลี่ยนและจ้าวเฟิง ถ้าหากเซียนมารทมิฬไปขโมย เซียนไป่เลี่ยนจะต้องอยู่ข้างเดียวกันกับจ้าวเฟิง
ด้วยเหตุนี้ เซียนมารทมิฬจึงประจบประแจงก่อน ขอแค่ระหว่างจ้าวเฟิงและเซียนไป่เลี่ยนมีใครคนใดคนหนึ่งเห็นด้วยก็พอแล้ว!
“ก็ดี บุญคุณความแค้นระหว่างข้าและวังเก้านิรย กลับไปถึงดินแดนทวีปแล้วค่อยพูด!”
จ้าวเฟิงยิ้มแย้มเล็กน้อย เดินตรงไปที่ชายขอบ เป็นการแสดงเจตนาว่าจะมอบสมบัติให้กับเซียนมารทมิฬ
เซียนมารทมิฬชะงักไปเล็กน้อย จ้าวเฟิงกลับตกปากรับคำอย่างง่ายดายเช่นนี้!
แต่ทว่า เซียนมารทมิฬเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ตอนนี้บุปผาปีศาจสามภพสำคัญที่สุด!
พู่! เซียนมารทมิฬกลายเป็นไฟสีดำลอยขึ้น แขนเสื้อโบกพลิ้ว พลังมารแสงเทวาเร้นลับเพลิงสีดำที่น่าสะพรึงกลัวกำลังจะทำลายล้างกลุ่มแสงคลื่นน้ำ
แต่ในทันใดนั้น! ในกลุ่มแสงปรากฏแมวขโมยสีดำตัวหนึ่ง มันแสยะยิ้มมองเขา และเก็บเอาบุปผาปีศาจสามภพไป
“หืม? แมว?” ใบหน้าของเซียนมารทมิฬฉายแววตะลึงสงสัย
เหตุใดในกลุ่มแสงจึงมีแมวตัวหนึ่งปรากฏขึ้นมาได้?
“แย่แล้ว!” เซียนมารทมิฬนึกบางอย่างได้ในฉับพลัน
ในวินาทีต่อมา เงาของแมวขโมยก็หายไปจากในกลุ่มแสงคลื่นน้ำ เวลาเดียวกัน ด้านหลังของจ้าวเฟิงปรากฏปีกวายุอัสนีสีแดง ก่อนเปลี่ยนเป็นแสงสายฟ้าขาวสลับแดงสายหนึ่ง โบยบินไปตามเส้นทางเก่าแก่
ปฐมเซียนทั้งสามยังไม่ทันมีปฏิกิริยาโต้ตอบอะไร
เห็นได้ชัดว่าจ้าวเฟิงและเจ้าแมวขโมยน้อยวางแผนเอาไว้ก่อนแล้ว ไม่ได้เตรียมจะมอบสิ่งของให้กับเซียนมารทมิฬตั้งแต่แรก
“จ้าวเฟิง!” เซียนมารทมิฬพลันร้องคำราม กลายเป็นเพลิงดำระเบิดปะทุ พุ่งตรงไปยังเส้นทางเก่าแก่