บทที่ 964 คนชุดดำลอบโจมตี
“ข้าไม่ได้มองผิดใช่ไหม?”
“ฝูงสัตว์อสูรของจ้าวเฟิงเอาชนะฝูงสัตว์อสูรของปรมาจารย์จ้างอี้ได้ในตอนแรกที่ปะทะกันเลย!”
“เป็นไปได้อย่างไร? สัตว์อสูรที่จ้าวเฟิงควบคุมแข็งแกร่งขนาดนี้เชียวหรือ?”
กองกำลังที่ร่วมมือกันของสามองค์ชาย ทุกคนต่างก็ใช้ประสาทสัมผัสตวิญญาณสอดส่องศึกที่เมืองความลับสวรรค์ทางทิศตะวันตก แล้วส่งเสียงตื่นตะลึงไม่หยุด
“นี่เป็นไปไม่ได้!”
องค์ชายห้าใช้ประสาทสัมผัสจิตวิญญาณดูสถานการณ์ แทบจะไม่เชื่อสิ่งที่ตนเองมองเห็น
สีหน้าองค์ชายสองและองค์ชายสิบสองเคร่งขรึมลงไป มีความเสียใจอยู่ภายหลังเล็กน้อย หากว่าตอนแรกกระตือรือร้นเชิญชวนองค์ชายเก้ามาร่วมทัพแล้วละก็
ตอนนี้คงจะยึดครองเมืองความลับสวรรค์ขององค์ชายแปดได้แล้ว นอกจากองค์ชายทั้งสามที่อยู่นอกเมืองความลับสวรรค์ทางทิศตะวันตก
ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากในเมืองความลับสวรรค์ก็สอดส่องสถานการณ์ฟากองค์ชายเจ็ดด้วยเช่นกัน
“ที่แท้แล้วเป็นเช่นนั้น!”
องค์ชายแปดยิ้มอย่างเหนื่อยหน่าย จ้าวเฟิงเผยด้านที่ทำให้คนต้องตื่นตะลึงอีกครั้งแล้ว
“เป็นไปไม่ได้!”
สีหน้าจีไป๋ดำคล้ำลงไป
เขาถูกจ้าวเฟิงบีบบังคับให้ถอยกลับมา เหตุเพราะเขาเป็นนักฝึกสัตว์ กำลังรบของตนเองค่อนข้างต่ำ ทันทีที่โดนต่อสู้ประชิดตัวจะไม่มีแรงโต้กลับแม้แต่น้อย แต่คิดไม่ถึงว่าความสามารถในการฝึกและควบคุมสัตว์ของจ้าวเฟิงจะอยู่เหนือกว่าเขามาก
องค์ชายเจ็ดและสมาชิกคนอื่นในเมืองความลับสวรรค์ทิศตะวันตกนิ่งอึ้งไป แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ทุกคนมีสีหน้าตึงเครียด เฝ้าดูสนามรบอย่างละเอียด
ยามนี้ ปรมาจารย์นักฝึกสัตว์จางอี้สงบนิ่งไปเช่นกัน
“ต้องเป็นเจ้าเด็กนี่แน่!”
จางอี้พบต้นตอของปัญหา ตั้งแต่เริ่มต้นต่อสู้มาจนถึงตอนนี้ จ้าวเฟิงยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ที่เดิม ไม่พูดไม่จา คงกำลังใช้เคล็ดวิชาต่างๆควบคุมวานรทองสะท้านฟ้าสองตัวนี้อยู่ ด้วยเหตุนี้ สัตว์อสูรสองตัวนี้ถึงมีพฤติกรรมแปลกประหลาด คล้ายคลึงมนุษย์อย่างยิ่ง
“เหอะ ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะสามารถควบคุมสัตว์อสูรทั้งหมดนี้ได้อย่างละเอียดยิบขนาดนี้!”
จางอี้แค่นเสียงหยัน
เขาเคยได้ยินวิชาประเภทนี้มาก่อน แต่เหมาะกับการใช้ควบคุมสัตว์อสูรจำนวนค่อนข้างน้อยเท่านั้น จางอี้กางแขนออก ปลดปล่อยจิตทั้งหมดกระจายออกไปบนสนามรบ
“กองที่หนึ่ง กองที่สอง ล้อมสองข้างของวานรทองสะท้านฟ้าเอาไว้ กองที่แปด กองที่เก้า และกองที่สิบตั้งเป็นกระบวนทัพป้องกัน เตรียมป้องกันการโจมตีจากงูพิษริ้วดำและหมาป่าสายลม!”
ปรมาจารย์นักฝึกสัตว์ยอดฝีมือจัดแบ่งสัตว์อสูรในประเภทเดียวกันออกเป็นกลุ่ม เพื่อให้ควบคุมได้สะดวกขึ้น
จ้าวเฟิงระบายยิ้มเล็กน้อย เขาจัดแจงทุกอย่างได้รวดเร็วราววางหมากบนกระดาน หมาป่าสายลมส่วนหนึ่งเข้าขัดขวางกำลังเสริมของพวกสัตว์อสูรอย่างยักษ์แห่งขุนเขา ในเวลาเดียวกัน งูพิษริ้วดำตรงดิ่งไปที่กำแพงเมืองเหล็กกล้า เข้าเข่นฆ่ากับสัตว์อสูรของจางอี้
“ปฏิกิริยารวดเร็วอย่างยิ่ง!”
หน้าผากของจางอี้ผุดเหงื่อเย็นออกมา
ในขณะที่เขาจัดแจงสัตว์อสูรอยู่นั้นเอง จ้าวเฟิงก็ให้สัตว์อสูรของเขาดำเนินแผนรับมือเช่นกัน
กองกำลังขององค์ชายเก้าที่คอยดูสถานการณ์ต่างๆ ด้านหลังจ้าวเฟิง ต่างระบายยิ้มตื่นเต้นยินดี
“ความสามารถของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งยิ่งกว่าจางอี้ด้วยซ้ำ!”
สืออวี่เหลยรู้จักชื่อเสียงที่โด่งดังในราชวงศ์ต้าเฉียนของปรมาจารย์นักฝึกสัตว์จางอี้เป็นอย่างดี เดิมทีเขาคิดเอาไว้ว่า แค่จ้าวเฟิงพอจะรับมือกับจางอี้ได้สูสีก็นับว่าเก่งกาจอย่างยิ่งแล้ว
“จ้าวเฟิง เหตุใดจึงไม่ปล่อยสัตว์อสูรทั้งหมดออกมา?”
สีหน้าของซูชิงหลิงปรากฏแววสงสัย
พวกเขาต่างรู้จำนวนสัตว์อสูรในครอบครองของจ้าวเฟิงอย่างชัดเจน
ถึงขั้นที่ไม่จำเป็นต้องควบคุมอะไร เพียงแค่ใช้จำนวนที่แน่นอนก็สามารถโจมตีสัตว์อสูรหน้าเมืองขององค์ชายเจ็ดได้
“อาจจะเก็บงำพลังเอาไว้ พอถึงช่วงเวลาสำคัญค่อยปลดปล่อยพลังที่คาดไม่ถึงเพื่อเอาชนะกระมัง!”
ตาเฒ่าอิงครุ่นคิดอยู่ขณะหนึ่ง แล้วจึงแสดงความเห็นของตนเอง
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะได้เปรียบในเรื่องของสัตว์อสูรพอสมควร แต่ในด้านกำลังรบ สองฝ่ายต่างกันอย่างยิ่ง จึงได้แต่อาศัยสัตว์อสูรมาทดแทน ดังนั้นหากจ้าวเฟิงสามารถใช้สัตว์อสูรในสนามรบตอนนี้เอาชนะจางอี้ ก็จะใช้สัตว์อสูรที่เหลือเป็นกำลังรบรับมือกับสมาชิกคนอื่นขององค์ชายเจ็ดได้
เมื่อได้ยินการวิเคราะห์ของตาเฒ่าอิง ทุกคนก็ผงกศีรษะอย่างเห็นด้วย
ไม่ควรมองข้ามกำลังรบของฝ่ายองค์ชายเจ็ดจริงๆ คนที่ต้องระวังเป็นพิเศษคือยอดกระบี่สองคนจากหอกระบี่ฟ้า รวมไปเซียนศาสตร์วิญญาณผู้หนึ่ง นอกเหนือจากนี้ สมาชิกผู้ติดตามขององค์ชายเจ็ดยังมีเจียงฮ่าวผู้เป็นอัจฉริยะชั้นเลิศของตระกูลเจียง ส่วนกำลังรบปฐมเซียนที่เหลือก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่มีชื่อเสียงบนดินแดนทวีปมาอย่างยาวนาน แต่คนทั้งหมดไม่รู้เลย ตอนนี้จ้าวเฟิงเพลิดเพลินใจเป็นที่สุด
เขาเพิ่งได้รู้ว่า ความรู้สึกที่ได้ควบคุมทั้งสนามรบอยู่เบื้องหลังเช่นนี้ไม่เลวเลยจริงๆ
อีกทั้งวิธีควบคุมสัตว์อสูรพวกนี้ส่งผลดีต่อการฝึกฝน ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ มาก
สนามรบในยามนี้ จำนวนสัตว์อสูรที่จ้าวเฟิงควบคุมอยู่มีถึงห้าร้อย
ส่วนสัตว์อสูรทางฝั่งจางอี้มีจำนวนถึงเจ็ดร้อย ทว่าจ้าวเฟิงยังคงเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่
“น่ารังเกียจนัก นี่มันเรื่องอะไรกัน? สัตว์อสูรของจ้าวเฟิงมุดเข้ามาในรอยโหว่ของค่ายกลข้าได้ตลอด!”
จางอี้เริ่มรู้สึกอ่อนล้า ปฏิกิริยาของฝูงสัตว์อสูรฝั่งจ้าวเฟิงรวดเร็วยิ่งนัก
ในตอนนี้เขาตกเป็นฝ่ายโดนบุก ได้แต่ตั้งรับและป้องกันสัตว์อสูรของจ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงโบกมือซ้าย แล้วจึงปรากฏหมาป่าราตรีห้าสิบตัว
เวลาเดียวกัน จ้าวเฟิงแบ่งห้วงความคิดออกเป็นห้าสิบเส้นสาย หลอมรวมเข้าไปในร่างกายพวกมัน ต่อจากนั้นหมาป่าราตรีห้าสิบตัวก็เข้าร่วมการต่อสู้
จ้าวเฟิงและจางอี้ควบคุมสัตว์อสูร มีความต่างกันโดยเนื้อแท้
จางอี้สั่งการควบคุมสัตว์อสูร แต่จ้าวเฟิงกลับเข้าร่วมการรบด้วยตนเอง ในสัตว์อสูรทุกตัวมีสตินึกคิดของจ้าวเฟิงอยู่ ดุจร่างแยกของเขาเอง
“อะไรกัน? ยังมีสัตว์อสูรอยู่อีกหรือ?”
จางอี้เผยสีหน้าตื่นตกใจ สั่งสัตว์อสูรให้ลดขนาดกระบวนทัพ ทุ่มเทพลังทั้งหมดเข้าป้องกัน
ในสิ่งปลูกสร้างโลหะด้านหลังจางอี้
“ข้าเคยบอกเอาไว้ จ้าวเฟิงผู้นี้ไม่ธรรมดาแน่!”
ในที่สุดเจียงฮ่าวก็ยืดอกขึ้นพลางเปิดปากเอ่ยได้ ก่อนหน้านี้เขาเคยเตือนแล้ว
เสียดายที่นักฝึกสัตว์จางอี้ไม่เคยเห็นจ้าวเฟิงอยู่ในสายตามาก่อน ตอนนี้จึงน่าอนาถเช่นนี้
“จะแลกเปลี่ยนเอาสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งจากอุทยานสัตว์วิเศษมาหรือไม่?”
ใบหน้าองค์ชายเจ็ดดูกระวนกระวาย เขาก็พอจะมองออก ความสามารถด้านควบคุมสัตว์อสูรให้ต่อสู้ของจ้าวเฟิงเก่งกาจเกินคนทั่วไป
“องค์ชายเจ็ด ไม่ต้องแล้ว ให้สัตว์อสูรกับจางอี้ไปมากกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์ หัวใจสำคัญในการสู้รบระหว่างฝูงสัตว์อสูรก็คือการควบคุมและออกคำสั่ง นอกเสียจากว่าจะแลกเอาสัตว์อสูรในขั้นเซียนมาหลายตัว มิฉะนั้นจางอี้ก็ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของจ้าวเฟิงได้!”
ดวงตาสองข้างของบัณฑิตหน้าหยกเป็นประกาย รับรู้ได้ถึงการต่อสู้นอกกำแพงเมือง
เขาพอจะคาดเดาได้จากรายละเอียดปลีกย่อยทุกอย่างในสนามรบ ความสามารถในการควบคุมสัตว์อสูรของจางอี้ต่างจากจ้าวเฟิงมากนัก
ถึงจะมอบสัตว์อสูรให้จางอี้มากกว่านี้ แต่หากควบคุมไม่ดี ก็รังแต่จะลำบากตนเองเสียเปล่าๆ
“เช่นนั้นควรจะทำอย่างไร?”
องค์ชายเจ็ดถามอย่างร้อนใจ
“หากยังยืดเยื้อแบบนี้ต่อไป พวกเราจะเสียสัตว์อสูรไปมากขึ้น ไม่สู้ปะทะกันซึ่งหน้าเลยดีกว่า!”
บุรุษหน้าหยกบอกแผนการที่เขามีในใจ น้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความแน่วแน่
ยอดกระบี่ทั้งสองคนของหอกระบี่ฟ้าเปิดเปลือกตาในทันที พลังศาสตร์กระบี่ไร้รูปร่างทำให้คนที่เหลือต้องตื่นตะลึง
“ก็ดี กองกำลังที่ไม่มีแม้แต่เซียนยังกล้ายั่วโทสะเรา!”
ชายหนุ่มผอมเก้งก้างคนหนึ่งยืนขึ้น กลิ่นอายมืดทมิฬทำให้วิญญาณของสองคนที่อยู่ใกล้ๆ สั่นกลัว
กองกำลังขององค์ชายเจ็ด หากตัดปฐมเซียนสองคนที่ตายตก ปรมาจารย์จางอี้ และบุรุษหน้าหยกออกไป ก็ยังมีเซียนสองคนและปฐมเซียนอีกสามคน
องค์ชายเก้าจะมีความสามารถอะไรมาประมือกับพวกเขา
“หลู่เทียนจื่อ ยกจ้าวเฟิงให้เจ้าจัดการแล้วกัน ขอแค่คอยรบกวนความคิดจิตใจของเขาก็พอ!”
บุรุษหน้าหยกมองไปยังชายวัยกลางคนของหอกระบี่ฟ้า
“ช่างง่ายนัก!”
หลู่เทียนจื่อตกปากรับคำอย่างรวดเร็ว
พรึ่บ! ผู้แข็งแกร่งทั้งหกคนบินตรงไปบนกำแพงเมือง
“คุ้มกันจ้าวเฟิงและฝูงอสูร!”
สีหน้าตาเฒ่าอิงเปลี่ยนไปทันควัน
ในขณะนั้นเอง สมาชิกฟากองค์ชายเก้าก็เตรียมบุกทะลวง
เฉินจีจื่อยืนอยู่ด้านหลังสุด พลันเผยหมากที่ตนเองเตรียมไว้นานแล้วออกมา ทันใดนั้นก็ปรากฏแสงอักษรสีทองอ่อนปกคลุมทั่วสนามรบ รวมจ้าวเฟิงและสัตว์อสูรบางส่วนเข้าไปด้วย
กองกำลังขององค์ชายเก้าเตรียมแผนการรับมือเอาไว้นานแล้ว จะไม่ปะทะกับองค์ชายเจ็ดโดยตรง เพียงแค่ต้องรั้งผู้แข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้ามไว้สุดกำลัง ตั้งรับการโจมตีของพวกเขา รอให้ฝูงสัตว์อสูรของจ้าวเฟิงได้เปรียบ จากนั้นจึงล้อมโจมตีสมาชิกขององค์ชายเจ็ด
“ในเมื่อพวกเจ้ารีบร้อนเช่นนี้ จบเรื่องเลยแล้วกัน!”
จ้าวเฟิงเก็บงำความรู้สึกสนุก ก่อนโบกมือขวา
โครม โครม โครม! เงาขนาดใหญ่ที่เปล่งแสงทองเจิดจ้าห้าร่าง ปรากฏขึ้นเหนือสนามรบเหมือนภูเขาทองลูกหย่อมๆ กลิ่นอายชั่วร้ายที่น่ากลัวแผ่พวยพุ่งไปทั่วบริเวณ
“อะไรกัน ยังมีวานรทองสะท้านฟ้าอีกรึ?”
จางอี้ตื่นตระหนกจนหน้าถอดสี
ในขณะที่ต่อสู้กับสัตว์อสูรของเขา จ้าวเฟิงกลับเก็บงำพลังเอาไว้ตลอด
ต้องรู้ว่า สัตว์อสูรในขั้นจักรพรรดิชั้นยอดอย่างวานรทองสะท้านฟ้า มีกำลังรบในมิติบรรพกาลแข็งแกร่งยิ่งกว่าปฐมเซียนทั่วไป!
“เป็นไปได้อย่างไร?”
บุรุษหน้าหยกตื่นตกใจอย่างมาก
หากเป็นเช่นนี้ สถานการณ์การรบก็จะอลหม่าน ต่อให้พวกเขาทั้งหมดทุ่มเทแรงโจมตี ก็ไม่มีทางจะได้เปรียบในทันที
ดวงตาของบุรุษหน้าหยกมองจ้าวเฟิงอย่างลึกซึ้ง เก็บงำไพ่ตายเอาไว้ แต่ยังสามารถสร้างความปั่นป่วนให้กับกระบวนทัพของศัตรู ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่คาดคิดไม่ถึ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจ้าวเฟิงยังเก็บงำไพ่ตายเอาไว้อีกหรือไม่
“เหอะ มอบวานรทองสะท้านฟ้าห้าตัวนี้ให้ข้าเสีย!”
ผู้เฒ่าร่างผอมกะหร่องคนหนึ่งค่อยๆ ก้าวเท้าออกมา จิตกระบี่ที่ไร้รูปร่างเป็นประกายรอบตัวเขา
“ได้ เช่นนั้นต้องลำบากเซียนจิงเฟิงแล้ว!”
บัณฑิตหน้าหยกยินดีอย่างยิ่ง โชคดีที่กองกำลังขององค์ชายเจ็ดมีเซียนถึงสองคน
คนหนึ่งคือเซียนจิงเฟิงชำนาญการโจมตีกายเนื้อ อีกคนคือเซียนวิญญาณทมิฬที่ชำนาญการโจมตีวิญญาณ
วูบ! เซียนจิงเฟิงก้าวเท้าออกมา ในมือปรากฏกระบี่หยกขาวเล่มยาวเล่มหนึ่ง เมื่อกวัดแกว่งกระบี่จะปรากฏพายุหมุนไอกระบี่ที่น่าสะพรึงขวัญออกมาหลายลูก
ทันทีที่เซียนปรากฏกายขึ้น กลิ่นอายไร้รูปร่างเข้ากดดัน ทำให้กำลังรบของสัตว์อสูรฟากจ้าวเฟิงลดลงไปมาก สมาชิกฝ่ายต่อสู้สี่คนที่เหลือก็พุ่งปะทะไปอย่างรวดเร็ว
เซียนจิงเฟิงชูกระบี่ขึ้นทันใด พายุไอกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนพลันกลายเป็นมวลพายุไอกระบี่ที่หมุนวนรุนแรง แต่เซียนจิงเฟิงกลับไม่ลงมือใดๆ สมาชิกที่เหลือทั้งสี่คนก็ชะลอฝีเท้าลงไป
ฟุ่บ วูบ! เห็นเพียงเงาภูติผีสีดำสายหนึ่งลอยมาจากที่ไกลๆ
เสวียนอ้าวมรณะที่ทำให้สรรพชีวิตหวาดกลัวสาดซัดออกมาจากในเงาดำ ถึงจะไกลขนาดนี้ก็ยังทำให้ทุกคนในสนามรบแห่งนี้ต้องประหวั่นพรั่นพรึง
“สมาชิกขององค์ชายสิบสาม?”
เซียนวิญญาณทมิฬหนึ่งในคนขององค์ชายเก้าสีหน้าเคร่งขรึมลงไป กลิ่นอายวิญญาณที่น่ากลัวกลุ่มนี้ทำให้เขาไม่กล้าผลีผลามทำอะไร
“เป็นเขา?” จ้าวเฟิงขมวดคิ้วมุ่น
การทดสอบคัดเลือกรัชทายาทตอนแรกสุด คนผู้นี้จู่ๆ ก็ลงมือจู่โจมเขาอย่างไร้สาเหตุ
ในขณะที่ใกล้จะเข้าไปในสุสานราชวงศ์ จ้าวเฟิงสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติ คนชุดดำผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ต่อมา ณ พื้นที่ต้องห้ามหุบเขาวายุทมิฬ เขาก็สัมผัสได้ถึงความไม่เป็นมิตรของคนชุดดำ
ในตอนนี้เวลานี้ คนชุดดำกลับยื่นมือเข้ามายุ่งในการรบระหว่างองค์ชายเก้าและองค์ชายเจ็ด ซึ่งเป้าหมายไม่บอกก็รู้ว่าเป็นจ้าวเฟิง
“จ้าวเฟิง!” คนชุดดำเป็นดั่งเงาภูติผีลอยมาเยือนเหนือสนามรบ
เสวียนอ้าวมรณะที่น่าสะพรึงกลัวทำให้สัตว์อสูรที่กำลังต่อสู้กันหวาดกลัวตัวสั่นระริก กระแสชีวิตไหลบ่าออกไป วิญญาณแห้งเหี่ยวลงช้าๆ สมาชิกทั้งห้าคนในฟากองค์ชายเจ็ดที่พุ่งทะยานออกไปรีบล่าถอย
“คนผู้นี้คือใคร?”
สีหน้าเซียนจิงเฟิงหนักอึ้ง ในวินาทีนั้น เขารู้สึกได้ว่าอายุขัยและวิญญาณของตนลดลงไปหลายปี