Skip to content

Outside Of Time 1112


บทที่ 1112 อวิ๋นเหมิน

2-3 วันต่อมา

‘แดนตะวันตกค่อนข้างต่างจากแดนทักษิณจริงๆ’

บนเวิ้งฟ้าสวี่ชิงห้อตะบึงตลอดทาง สีหน้าคล้ายขบคิด

2-3 วันนี้ ยามเขาหาสถานที่ปิดด่านรักษาบาดแผล ได้เจอผู้ครองป้ายนครกึ่งเซียนคนอื่น 2 ครั้ง

ครั้งแรกอีกฝ่ายอยู่นอกรัศมี 9 ล้านกว่าลี้ ชัดเจนว่าไม่สังเกตเห็นสวี่ชิง สวี่ชิงจึงหลบหลีกได้โดยง่าย

แต่ครั้งที่ 2 เมื่อสวี่ชิงสังเกตเห็นอีกฝ่ายผ่านป้ายนครกึ่งเซียน อีกฝ่ายสัมผัสถึงตัวตนสวี่ชิงทันทีเช่นกัน

ผู้มีขอบเขตสัมผัสรู้เช่นนี้ แน่นอนว่าเป็นผู้แข็งแกร่ง

แต่เมื่อสวี่ชิงระวังตัว อีกฝ่ายกลับเลือกหลบเลี่ยง

นี่ต่างจากแดนทักษิณนัก

คล้าย… เลี่ยงปัญหา กล่าวคือไม่เข้าตาจนไม่ก่อเรื่อง นี่คือหลักการของคนมากมายแห่งแดนตะวันตก

หลังจากนั้น 7-8 วันสวี่ชิงเจอสถานการณ์เช่นนี้อีกครั้ง

สุดท้ายเขาค่อยมั่นใจ

‘แดนตะวันตก… เทียบกับแดนทักษิณแล้วดุเดือดน้อยกว่ามาก ส่วนใหญ่มักเลี่ยงความขัดแย้งโดยเปล่าประโยชน์’

‘แต่ไม่ได้หมายความว่าคนที่นี่ไม่เข่นฆ่ากัน’

สวี่ชิงเชิดศีรษะ ทอดมองไปข้างหน้า

เบื้องหน้าเขามีปราการทรงวงแหวนแห่งหนึ่ง ยามส่องประกายจะสร้างค่ายกลขวางคนนอกที่คิดเข้าไป

ในค่ายกลมีผู้บำเพ็ญหลายคนนั่งขัดสมาธิอยู่

นอกค่ายกลไม่ได้มีแค่สวี่ชิงยืนอยู่ตรงนั้น โดยรอบยังมีผู้บำเพ็ญนับ 10 คนเว้นระยะห่างกระจายตัวกัน

พวกเขาบ้างเหมือนสวี่ชิง ผ่านทางมาเจอสิ่งกีดขวางที่นี่ บ้างถูกขับไล่ออกมาจากเขตค่ายกล

“ในละแวกนี้ทั้ง 2 ตระกูลถือเป็นเผ่าแข็งแกร่ง ครองเทือกเขาเถ้าวิญญาณร่วมกัน เกิดเรื่องอย่างกางเขตค่ายกลเช่นนี้ถือว่าปกติ”

“แต่ 2 ตระกูลนี้ นอกจากที่นี่ยังมีพื้นที่เผ่าอื่น ถ้าคิดกำจัดกันจริง คิดว่ายากจัดการแนวรบและเวลาในคราเดียว”

เสียงวิจารณ์รอบทิศดังก้อง

ตอนนี้สวี่ชิงสวมเสื้อป่านเนื้อหยาบ สวมงอบเลียบแบบฝีพาย ปกปิดหน้าตานานแล้ว

ยืนกลางอากาศ ฟังเสียงรอบทิศ แผ่จิตเทพครอบคลุมเบื้องหน้า

เดิมที่นี่เป็นแหล่งปิดด่านซึ่งเขาเลือกผ่านแผนที่

เทือกเขาทอดยาวไร้สิ้นสุด ปราณวิญญาณเข้มข้น ตามการวิเคราะห์ของเขาถือว่าเหมาะแก่การรักษาบาดแผลมาก

แต่ตอนนี้… คลื่นการต่อสู้กำลังสะเทือนรุนแรง

ผู้ห้ำหั่นกันตรงเทือกเขาแถบนั้นมีจำนวนไม่น้อย

จากคำพูดโดยรอบ สวี่ชิงทราบว่าตระกูลหนึ่งรุกรานอีกตระกูล

ทั้ง 2 ฝ่ายต่อสู้ดุเดือดหาใดเปรียบ

ผู้แข็งแกร่งในนั้นมีอานุภาพระดับเจ้าเหนือหัว สวี่ชิงสัมผัสได้ชัดเจน

ถึงขั้นว่าทั้ง 2 ฝ่ายมีผู้ครองป้ายด้วย

แต่ชัดเจนว่าการครองป้ายไม่ใช่เรื่องสำคัญ การรุกรานและกลืนกินอีกตระกูลต่างหากที่สำคัญ

ขั้นตอนเหี้ยมโหด วิธีการอำมหิต ทั้งเห็นชัดว่าไม่ตายไม่เลิกรา คิดถอนรากถอนโคน

หลังจากสวี่ชิงสัมผัสรู้ ความเข้าใจที่มีต่อแดนตะวันตกเพิ่มมากขึ้นบ้าง

‘ผู้บำเพ็ญที่นี่เลือกปะทะโดยไม่จำเป็นน้อยมาก ส่วนใหญ่อุปนิสัยค่อนข้างเกียจคร้าน แต่ความภักดีต่อตระกูลเด่นชัด ดังนั้นการต่อสู้ส่วนใหญ่จึงเกิดระหว่างตระกูล’

‘สอดคล้องกับสิ่งที่บันทึกบนแผนที่ ด้วยความไม่ใส่ใจของสำนักเซียนมรรคา ดังนั้นเลยไม่เข้มงวดกับแดนตะวันตก เรียกว่าแทบปล่อยปละละเลย ตระกูลผู้บำเพ็ญทั่วแดนตะวันตกจึงหนาแน่น ต่างเติบโตจากความป่าเถื่อน มีจำนวนมากกว่า 3 แดนอีกนัก’

สวี่ชิงเงียบไป ถอยหลังช้าๆ

สุดท้ายค่อยเจอบ่อโคลนร้างแห่งหนึ่งนอกรัศมี 10 ล้านลี้ หลังจากครุ่นคิดสักพัก ร่างเขาวูบไหว ผลุบเข้าบ่อโคลน

ส่วนลึกของบ่อโคลนมีถ้ำพำนักขนาดเล็กแห่งหนึ่ง เสริมความแข็งแรงรอบทิศด้วยค่ายกลผนึก ทั้งตัดกลิ่นอายได้ คราวนี้เขาค่อยนั่งขัดสมาธิเริ่มรักษาบาดแผล

อาจเป็นเพราะบริเวณใกล้เคียงเกิดการสงครามของ 2 ตระกูลใหญ่ ดังนั้นหลังจากผู้บำเพ็ญมากมายทราบเรื่องนี้ ส่วนใหญ่ล้วนหลีกห่าง สำหรับคนผ่านทางต่างหาเส้นทางใหม่อีกครั้ง

ดังนั้นครึ่งเดือนต่อมายามสวี่ชิงปิดด่านจึงเงียบสงบ

กระทั่งวันนี้สวี่ชิงเดินออกมาจนบ่อโคลนแหว่งเว้า ยืนกลางอากาศ

เขายืนตรงนั้น หน้าอกบีบอัด มีความรู้สึกเหมือนอยากกระแอม

เขาขมวดคิ้วแน่น

แม้ว่าภายนอกไม่เห็นบาดแผล แต่กลิ่นอายบนตัวเขา เทียบกับเมื่อก่อนแล้วอ่อนแอลงไม่น้อย

“แผลมรรค…” สวี่ชิงพึมพำ

หลังจากบำเพ็ญถึงระดับหนึ่ง อาการบาดเจ็บทั้งหมดใช่ว่ารักษาได้ด้วยยาลูกกลอน

การลงมือของผู้แข็งแกร่งมักสร้างแผลมรรคไว้

อาการบาดเจ็บเช่นนี้ ยามอยู่แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์สวี่ชิงไม่เคยเจอ แต่กลับสัมผัสความยากลำบากของการฟื้นตัวจากแผลมรรคบนวงแหวนที่ 5

‘1 เดือนที่คาดการณ์ก่อนหน้านี้น้อยเกินไป’

‘อาการบาดเจ็บเช่นนี้ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะฟื้นตัวช้าๆ แม้ว่าข้ามีผลึกวารีสีม่วง ทำให้ร่นเวลาช่วงกระบวนการนี้ แต่ถ้ามีปราณวิญญาณเข้มข้นจะย่นเวลาฟื้นตัวได้อีก’

แววตาสวี่ชิงอึมครึม ก้มมองบ่อโคลนเบื้องล่าง ก่อนเงยหน้ามองเทือกเขาเถ้าวิญญาณ ขณะเดียวกันในสมองเปิดภาพแผนที่แดนตะวันตก

แม้ว่าปราณวิญญาณที่นี่เหนือกว่าแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ แต่เปรียบเทียบกับแดนทักษิณแล้วบางเบากว่า นอกจากว่าเป็นสถานที่พิเศษ…

‘แต่ตอนนี้ขอเพียงไม่เจอระดับเจ้าเหนือหัว เผชิญหน้ากับระดับเตรียมสู่เทวะ การสังหารพวกเขาย่อมไม่ส่งผลต่อการฟื้นตัวของบาดแผล’

สวี่ชิงผสานแผนที่ สุดท้ายค่อยตัดสินใจ นัยน์ตาฉายแววเยียบเย็น ก้าวเดินไปข้างหน้า หายไปชั่วพริบตา

แสงเหนือบนฟ้าสาดส่อง วังวนมากมายซัดเป็นระลอก นานเข้ายิ่งมากขึ้น

เวลาผ่านไป 1 ปีโดยไม่รู้ตัว

1 ปีนี้ศึกชิงเทือกเขาเถ้าวิญญาณของตระกูลอวิ๋นเหมินกับตระกูลตี้หลิงยังดำเนินต่อเนื่อง

ในศึกขนาดใหญ่ช่วงแรก บรรพจารย์ตระกูลอวิ๋นเหมินบาดเจ็บสาหัส บรรพจารย์ตระกูลตี้หลิงบาดเจ็บเช่นกัน

จากนั้นการต่อสู้ของ 2 ฝ่ายอาศัยการสังหารกันเป็นวงแคบ

ในสงคราม 1 ปีนี้ตระกูลอวิ๋นเหมินเสียอาณาเขตทีละน้อย 37 ยอดเขาแต่เดิม หลังจากถอยร่นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเหลือเพียง 11 ยอดเขา

ตอนนี้ต่างอกสั่นขวัญแขวน

บนยอดเขาที่ 9 ของตระกูลอวิ๋นเหมิน นอกค่ายกลมีผู้บำเพ็ญ 3 คนนั่งขัดสมาธิอยู่

ทั้ง 3 มีพลังบำเพ็ญระดับเตรียมสู่เทวะขั้น 3-4 ยามนั่งสมาธิพวกเขาลืมตาเป็นครั้งคราว มองเงาร่างกลางค่ายกล สีหน้าฉายแววยำเกรงโดยไม่รู้ตัว

ไม่นานมีคนหยิบแผ่นหยกสื่อเสียงออกมา ตรวจสอบสักพักก่อนหยัดร่างขึ้นทันที คารวะเงาร่างกลางค่ายกลอย่างนอบน้อม

“เจ้าค่ายกล เมืองเถ้าวิญญาณส่งข่าวมา สิ่งที่ท่านเอ่ยถึงก่อนหน้านี้ วัตถุดิบรอบนี้ยังไม่มีขอรับ…”

“แต่กลับมีเบาะแส ขบวนพ่อค้าไปค้นหาแล้ว คาดว่าคงพบในวัตถุดิบครั้งหน้า”

คนผู้นี้ไม่ได้มีท่าทีนอบน้อมเท่านั้น แม้แต่คำพูดก็เช่นกัน

เมื่อมองตามสายตาเขาจะเห็นว่ากลางค่ายกลยอดเขาที่ 9 ผู้นั่งขัดสมาธิตรงนั้นกำลังอ่านตำราโบราณ

คนผู้นี้เหมือนวัยกลางคน แต่ผมกลับหงอกขาว หน้าซีดเผือด ร่างผอมซูบ ให้ความรู้สึกเหมือนป่วยออดแอด บางครั้งยังส่งเสียงกระแอมด้วย

แม้ว่าเป็นเช่นนี้ แต่ระดับเตรียมสู่เทวะ 3 คนนอกค่ายกลกลับไม่กล้าดูถูกแม้แต่น้อย

ในฐานะที่ปรึกษาต่างสกุลแห่งตระกูลอวิ๋นเหมิน เดิมพวกเขา 3 คนรังเกียจเหยียนเสวียนจื่อที่เข้ามาฝึกบำเพ็ญเหมือนพวกเขาเมื่อ 1 ปีก่อนนัก

แต่คิดไม่ถึงว่า 1 ปีนี้ จากการปะทะกับตระกูลตี้หลิงหลายครั้ง ทุกครั้งเมื่อคนผู้นี้ลงมือล้วนเหมือนอัสนีบาต สังหารระดับเตรียมสู่เทวะฝ่ายศัตรูได้ในการโจมตีเดียว

วิธีการเหี้ยมโหด ลงมือเด็ดขาด

ใน 1 ปีระดับเตรียมสู่เทวะที่สิ้นชีพด้วยมือคนผู้นี้มีถึง 12 คน

ในนั้นมี 2 คนถึงระดับเตรียมสู่เทวะ 6 แดนแล้ว แต่สำหรับคนผู้นี้ แค่กวัดแกว่งอาวุธเฉือนตัดเพิ่มหน่อยเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ท่ามกลางความเสื่อมถอยของตระกูลอวิ๋นเหมิน ผลงานรบของเหยียนเสวียนจื่อจึงถือว่าสะดุดตา ดังนั้นเลยถูกแต่งตั้งเป็นคนเฝ้าค่ายกลบนยอดเขาที่ 9

ถูกเรียกว่าเจ้าค่ายกล

“รู้แล้ว”

ในค่ายกลสวี่ชิงเงยหน้าขึ้นกล่าวราบเรียบ

จากนั้นสายตาทอดมองไปไกล ในใจเกิดความคิดขึ้นมา

‘อาการบาดเจ็บฟื้นตัวพอสมควรแล้ว เดิมคิดว่าช่วงนี้จะจากไป…’

1 ปีก่อน หลังจากตรวจสอบแผนที่แล้วพบว่าสถานที่ใกล้เคียงซึ่งเหมาะแก่การรักษาบาดแผลที่สุดคือเทือกเขาเถ้าวิญญาณที่เลือกตอนแรก สวี่ชิงก็ตัดสินใจเด็ดขาด

ด้วยหากไม่เลือกที่นี่ มุ่งหน้าไปสถานที่เหมาะสมอื่นต้องใช้เวลานานมาก

ดังนั้นสวี่ชิงเลยฉวยโอกาสแฝงตัวยามตระกูลอวิ๋นเหมินเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ใช้เงินจำนวนมากเกณฑ์ผู้แข็งแกร่งทั่วสารทิศ

แม้ว่าที่ปรึกษาต่างสกุลอย่างพวกเขาไม่ได้รับความเชื่อใจ หลังเข้าร่วมแล้วไม่อาจสัมผัสถึงแกนกลาง ส่วนใหญ่เป็นเป้ารับดาบกระบี่

แต่สำหรับสวี่ชิงแล้ว สิ่งที่เขาต้องการคือแค่เข้าเขตเทือกเขาเถ้าวิญญาณ อาศัยปราณวิญญาณเข้มข้นที่นี่ย่นเวลารักษาบาดแผลเท่านั้น

ส่วนการลงมือช่วงหลัง ด้านหนึ่งคืออีกฝ่ายรนหาที่ตาย อีกด้านหนึ่งคือปราณวิญญาณกลางค่ายกลเข้มข้นกว่า นอกจากนี้ยังมีอีกสาเหตุ นั่นคือเขาทราบว่าสิทธิ์ที่ปรึกษายังรวมถึงการใช้ขบวนพ่อค้าของตระกูลซื้อของพิเศษบางอย่างได้

ทั้งด้วยฐานะยังตัดสินบางเรื่องได้ในวงจำกัด

ดังนั้นสวี่ชิงถึงเลือกสังหารเพิ่มอีก 2-3 คน แต่จำกัดเพียงระดับต่ำกว่าเตรียมสู่เทวะ 7 แดน

หากสังหารระดับ 7 แดนย่อมสะดุดตาเกินไป

สิ่งที่เขาคิดอาศัยกำลังตระกูลอวิ๋นเหมินเพื่อเสาะหา นั่นคือสิ่งที่ชายหนุ่มมีปานบนหน้าซึ่งเจอตรงแดนทักษิณหยิบออกมา ภายนอกเหมือนดินโคลนครองความสามารถด้านห้วงมิติ

วันนั้นอีกฝ่ายอาศัยสิ่งนี้เปลี่ยนฟ้าดินเป็นยาง ทำให้เขาเพลี่ยงพล้ำ

ในแหวนเก็บของไม่มีแล้ว

‘1 เดือนถือว่านานอยู่บ้าง’

สวี่ชิงหรี่ตา

1 ปีนี้เขาเป็นที่ปรึกษาตระกูลอวิ๋นเหมิน แม้ว่ายังไม่ได้รับความเชื่อใจเข้าถึงแกนกลาง แต่ด้วยพลังบำเพ็ญกับสายตาเขา ถือว่ายังมองออกว่าตระกูลอวิ๋นเหมินยากเปลี่ยนฉากจบแล้ว

‘บรรพจารย์ตระกูลอวิ๋นเหมิน 8-9 ส่วนย่อมสิ้นชีพ คาดว่าราวครึ่งเดือน’

‘ศึกสุดท้ายของตระกูลตี้หลิง อีกครึ่งเดือนย่อมปะทุ’

สายตาสวี่ชิงมองขอบฟ้า ทั้งเทือกเขาเถ้าวิญญาณ ต่อให้เป็นเวิ้งฟ้าภายใต้แสงเหนือก็ยังดำทะมึน ปราณมรณะมากมายรวมตัว

สิ่งประหลาดนานัปการปรากฏตัวเป็นระยะ

ผู้ปราศจากพลังต่อสู้ระดับเจ้าเหนือหัวย่อมยากสังเกตเห็นฉากนี้

1 ปีนี้สวี่ชิงไม่ได้แค่รักษาบาดแผล เขายังฝึกบำเพ็ญวิชาแห่งตนด้วย

ไม่ว่าเป็นปัญจธาตุ เวลา ห้วงมิติ ระดับการหยั่งรู้ของเขาตอนนี้เหนือกว่า 1 ปีก่อนมาก

สิ่งนี้ช่วยหนุนพลังต่อสู้อย่างชัดเจน

โดยเฉพาะห้วงมิติกับเวลายิ่งเป็นสิ่งสำคัญที่เขาสำรวจ

มีแนวคิดสำหรับขั้นที่ 8 รางๆ

สักพักนัยน์ตาสวี่ชิงค่อยฉายแววเด็ดเดี่ยว

‘ช่างเถอะ สิ่งแฝงความสามารถด้านห้วงมิตินั่น คิดหาจากที่อื่นก็ใช่ว่าหมดหนทาง’

เมื่อนึกถึงตรงนี้ สวี่ชิงหลับตาลง

‘อีก 3 วันบาดแผลข้าย่อมสมาน ครั้นแล้วค่อยจากไป!’

(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version