บทที่ 1118 ไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูกัน
ทะเลทรายกาลเวลานั้นเก่าแก่โบราณ
และสิ่งที่เก่าแก่โบราณยิ่งกว่าก็คือค่ายกลส่งข้ามแดนตะวันตกที่สร้างโดยสำนักเซียนมรรคาแห่งนี้
แดนตะวันตกทั้งผืนกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก หากปราศจากค่ายกลส่งข้ามขนาดใหญ่เช่นนี้ คิดจะเดินทางสู่แดนไกล แม้แต่ผู้แข็งแกร่งก็ยังต้องใช้เวลายาวนาน
ดังนั้น เมื่อแดนตะวันตกถูกถมราบเรียบ หลังจากที่เปลี่ยนจากท้องฟ้าดาราเป็นผืนพสุธา สำนักเซียนมรรคาที่กลายเป็นสายหลักของแดนตะวันตก ก็ได้ปฏิบัติตามโองการของเมืองเซียน สร้างค่ายกลส่งข้ามขึ้นทั้งหมด 108 แห่งไปทั่วทุกที่ของแดนตะวันตก
และด้วยเหตุนี้ ภายในแดนตะวันตก จึงไม่มีตระกูลหรือขั้วอำนาจใด กล้าทำลายค่ายกลส่งข้ามโบราณแม้เพียงน้อยนิด
ตอนนี้ ค่ายกลส่งข้ามที่ปรากฏในสายตาของสวี่ชิงก็เป็น 1 ในค่ายกลทั้ง 108 แห่ง
มันประกอบขึ้นด้วยประตูหินที่สูงตระหง่านและกว้างใหญ่ 36 บาน ตั้งตระหง่านอย่างเงียบงันอยู่บนที่ราบรกร้าง
ยืนอยู่หน้าค่ายกลส่งข้าม จะเห็นได้ว่าด้านข้างของประตูหินทุกบาน ล้วนสลักด้วยอักขระที่ซับซ้อน แต่เดิมมันหมองหม่นไร้แสง แต่เมื่ออวิ๋นเหมินเชียนฝานวางหยกเซียนแต่ละชิ้นๆ ลงไป ทันใดนั้นค่ายกลทั้งหมดก็พลันแผ่ระลอกคลื่นขึ้นมา
ระลอกคลื่นนี้ ไม่ได้พุ่งออกไปข้างนอก หากแต่พุ่งเข้ามาด้านใน!
แผ่นดินรอบๆ สั่นสะเทือนราวกับมีพลังเก่าแก่โบราณกลุ่มหนึ่งกำลังถูกปลุกให้ตื่นขึ้น อ้าปากกว้างอยู่ในผืนดิน ต้องการกลืนกินทุกสิ่งจากภายนอก
สิ่งที่ตามมาคือเสียงครืนครั่นเลื่อนลั่นที่แผ่ออกมาจากค่ายกลส่งข้ามนี้
ในตอนแรกเสียงไม่ดังนัก แต่ไม่นานเสียงนี้ก็ราวกับสายฟ้าฟาด ท่ามกลางเสียงแว่วๆ ก็แฝงไว้ซึ่งการสั่นพ้องกับเสียงแหวกอากาศจากขอบฟ้าไกล
อากาศโดยรอบดูเหมือนจะหนักอึ้งขึ้น
สวี่ชิงเงยหน้าขึ้น ทอดสายตามองไปยังขอบฟ้าไกล
ที่ตรงนั้น มีคนกำลังมุ่งหน้ามาจากความว่างเปล่าด้วยความเร็วที่น่าตกตะลึง!
ขณะเดียวกัน สำหรับอวิ๋นเหมินเชียนฝานที่ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าที่ปลายขอบฟ้ามีคนมาเยือน ตอนนี้ก็ได้วางหยกเซียนชิ้นสุดท้ายลงไป ทันใดนั้น อักขระที่สลักอยู่ที่ทั้ง 2 ข้างของประตู แสงสีฟ้าที่กะพริบวูบวาบก็สว่างขึ้นเรื่อยๆ
แต่แสงที่แผ่ออกมากลับทำให้สวี่ชิงรู้สึกเหมือนโค้งงอ
แสงเรืองรองจากขั้วโลกบนฟากฟ้า เมื่อไหลผ่านที่แห่งนี้ก็ได้รับผลกระทบไปด้วย จนเกิดการโค้งงอ…ก็ราวกับว่าในเสี้ยวพริบตานี้ สถานที่ตั้งของค่ายกลส่งข้ามกลายเป็นพื้นที่แอ่งกระทะ
ส่วนประกอบทุกชนิดที่ผ่านบริเวณนี้ จะถูกดึงดูดเหนี่ยวนำ ทำให้มันโค้งงอบิดเบี้ยว
ธาตุทั้ง 5 เป็นเช่นนี้ มิติเป็นเช่นนี้ กาลเวลาเป็นเช่นนี้ แสงก็ไม่เป็นข้อยกเว้นเช่นกัน
เหมือนว่าธรรมชาติทั้งหมดกำลังเปิดทางให้กับพิธีกรรมอันลึกลับนี้
และค่ายกลเช่นนี้ ก็เหนือกว่าค่ายกลส่งข้ามทั้งหมดที่สวี่ชิงเคยเห็นในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์
ทว่าเมื่อเทียบกับกระแสน้ำวนที่ใช้สัญจรของห้วงสมุทรบรรพกาลในอดีต สถานที่แห่งนี้ก็ยังคงเล็กจ้อยนัก เทียบกันไม่ได้เลย
“แต่หลักการเหมือนกัน
สายตาของสวี่ชิงจับจ้องไปยังภายในค่ายกล เขาในตอนนี้ไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว ตอนนี้ความเข้าใจต่อมิติและเวลาของเขาล้วนแจ่มแจ้งลึกซึ้ง ดังนั้นภายใต้การจับจ้องจากสายตา เขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงพลังมิติและกาลเวลาที่แผ่ออกมาจากค่ายกลนี้
และมองเห็นรางๆ ถึงแก่นแท้ของมัน
“สิ่งที่เรียกว่าค่ายกลส่งข้ามระยะไกลนั้น ความจริงแล้วก็อาศัยวิธีการซ้อนทับของมิติ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการย่นระยะทาง กระทั่งย่นเวลา”
“ก็เหมือนกับว่ามีรู 2 รูอยู่บนกระดาษ 1 แผ่น เมื่อพับมันแล้ว รู 2 รูนี้ก็จะทับซ้อนกัน”
“ผ่านรูนี้ ย่อมไปถึงอีกฝั่งได้”
“เช่นนั้นแล้ว หากข้าเข้าใจมิติและกาลเวลาได้ลึกซึ้งเพียงพอ สำหรับข้าแล้ว โลกนี้ ดาราเขตนี้ กระทั่งระบบดาวนี้… เพียงภายใต้เสี้ยวความคิดเดียวของข้า ก็ล้วนสามารถเคลื่อนย้ายได้หรือไม่”
สวี่ชิงครุ่นคิด แต่ความผิดปกติบนขอบฟ้าไกล ทำให้ความคิดของเขาหยุดชะงักลง
แม้กระทั่งอวิ๋นเหมินเชียนฝานที่กำลังจะท่องมนต์เฉพาะสำหรับส่งข้าม ตอนนี้ก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลที่ท้องฟ้าได้เช่นกัน ทันทีที่มองไป จิตใจของนางก็สั่นสะท้าน
เห็นเพียงบนฟากฟ้า แม้แสงเรืองรองแห่งขั้วโลกจะถูกค่ายกลดึงดูดให้โค้งงอ แต่ในความโค้งงอนี้ รอยแยกขนาดใหญ่ก็ถูกคนฉีกออกอย่างฉับพลันจากความว่างเปล่า
ขณะที่เสียงเปรี้ยงปร้างดังกึกก้องไปทั่วทุกทิศ ร่างหนึ่งก็พลันก้าวออกมาจากรอยแยกนั้น
ทันทีที่ปรากฏตัวขึ้น รัศมีอำนาจน่าตื่นตะลึงฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมเมฆหอบทะลัก
พลังกดดันอันน่าสะพรึงกลัวของผู้บำเพ็ญระดับเจ้าเหนือหัวช่วงกลาง ประดุจถล่มภูเขาล่มมหาสมุทร ไหลหลั่งลงมาจากฟากฟ้า ปกคลุมไปทั่วทุกทิศ
นั่นคือชายชราสวมชุดคลุมยาวสีดำคนหนึ่ง ผมขาวบางเบาปลิวพริ้วไปตามลม ราวกับหญ้าแห้ง
ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลา ดวงตาบุ๋มลึกราวกับหลุมดำ 2 หลุม ฉายประกายแสงเย็นยะเยือกที่ทำให้ผู้คนขนลุก
ตอนนี้ยืนอยู่บนท้องฟ้า กำลังมองไปยังสวี่ชิงด้วยสายตาเย็นชา
“บรรพจารย์…บรรพจารย์ตี้หลิง…” อวิ๋นเหมินเชียนฝานเสียงสั่น ซ่อนตัวไปข้างหลังสวี่ชิงโดยสัญชาตญาณ บอกตัวตนของผู้มาเยือนด้วยเสียงต่ำทุ้ม
สวี่ชิงเงยหน้าขึ้นมอง สีหน้าปกติ
สายตาของทั้ง 2 ฝ่ายปะทะกันอย่างไร้รูปร่าง ทำให้ความว่างเปล่าฉีกขาดในทันทีที่เสียงกัมปนาทสนั่นหวั่นไหว ก็ระเบิดปะทุขึ้นอย่างรุนแรงในเสี้ยวพริบนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนแผ่ลามออกไปทั่วทุกทิศกลางท้องฟ้า
พลังกดดันของแต่ละฝ่ายก็กำลังระเบิดออกมา
ตัดผ่านสอดประสานซึ่งกันและกัน ทำลายลบล้างซึ่งกันและกัน!
เสี้ยวพริบตาต่อมา ร่างของสวี่ชิงถอยหลังไป 1 ก้าว
ส่วนบรรพจารย์ตี้หลิงบนฟากฟ้า ชายเสื้อและแขนเสื้อของเขากลายเป็นเถ้าถ่านไปทั้งหมด
การปะทะกันเบื้องต้นของทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ด้อยไปกว่ากันเลย
สวี่ชิงส่ายศีรษะ เอ่ยราบเรียบ “เจ้าไม่มีจิตต่อสู้”
ก่อนหน้านี้ เขาไม่เคยต่อสู้กับผู้บำเพ็ญระดับเจ้าเหนือหัวช่วงกลาง อีกทั้งก่อนมายังแดนตะวันตก เขาประเมินกำลังรบของตัวเองไว้ว่าเป็นระดับต่ำกว่าเจ้าเหนือหัวช่วงกลางลงไป
ทว่า หลังจากมาถึงแดนตะวันตก ในช่วงเวลารักษาอาการบาดเจ็บ 1 ปีที่ผ่านมานี้ เขาก็มีความเข้าใจในวิถีของตนเองมากยิ่งขึ้น แม้จะยังไม่ก่อ 8 วิถีสูงสุดขึ้นมา แต่พลังบำเพ็ญเมื่อถึงในระดับหนึ่งแล้ว การบรรลุในวิถีของตนเอง ก็จะเสริมพลังให้กับกำลังรบอย่างมหาศาล
แต่ตอนนี้ จากบนร่างของอีกฝ่าย เขาสัมผัสถึงจิตต่อสู้ใดๆ ไม่ได้เลย
กลางท้องฟ้า บรรพจารย์ตี้หลิงหันไปมองยังภูเขาน้ำแข็งที่อยู่อีกฝั่งของทะเลทราย เงียบนิ่งไป 2-3 อึดใจ เมื่อดึงสายตากลับ เขาก็ส่งเสียงแหบพร่าออกมา “กุญแจลับดอกนั้น ข้าได้มาแล้ว”
“และการต่อสู้ระหว่างเจ้ากับข้า ย่อมต้องมีคนหนึ่งล้มตาย เจ้ากับข้าไร้ซึ่งความแค้นต่อกัน จึงไม่จำเป็น”
“อีกทั้งการจุพลังของกุญแจลับดอกนั้น สามารถรองรับให้เจ้าและข้าใช้พร้อมกันได้ ดังนั้น… ข้ามาที่นี่เพื่อดูว่า เจ้ามีคุณสมบัตินี้หรือไม่”
“พวกเรา ไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูกันก็ได้และยังสามารถร่วมมือกันในอนาคตได้อีกด้วย”
พูดจบ บรรพจารย์ตี้หลิงผู้นี้ก็จ้องมองสวี่ชิงอย่างลึกซึ้งผาดหนึ่ง ร่างกายค่อยๆ ถอยหลังไป เดินเข้าในรอยแยก หายลับไป
และตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่เคยชายตามองอวิ๋นเหมินเชียนฝานเลยแม้แต่น้อย
สวี่ชิงครุ่นคิด
ผู้แข็งแกร่งระดับนี้ หากไม่ถึงคราวจำเป็น เขาก็ไม่ปรารถนาที่จะต่อสู้ตัดสินเป็นตายด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนี้ เป็นช่วงเวลาที่ทำให้เขามีความคิดต่อหลักการของค่ายกลส่งข้ามนี้เพิ่มมากขึ้น
ดังนั้น สวี่ชิงจึงดึงสายตากลับมา จ้องมองค่ายกล ขบคิดแนวความคิดที่หยุดชะงักไปก่อนหน้านี้ต่อไป
สำหรับเขาแล้ว การบรรลุในวิถี ถึงจะเป็นเรื่องสำคัญ
“ไม่รู้ว่าในวันที่ 8 วิถีสูงสุดของข้าเกิดขึ้นมา จะสามารถทำได้ถึงขั้นที่ข้าคิดไว้หรือไม่ เพียงชั่วความคิดก็สามารถเคลื่อนย้ายระบบดาวได้”
แต่ไม่นาน เขาก็ส่ายศีรษะ
“ใช่ว่าจะทำไม่ได้”
เขาคิดถึงที่คนพายเรือข้ามฟากบนแม่น้ำโลหิตเทพเจ้าที่เคยบอกตนว่า ผู้บำเพ็ญเมื่อถึงระดับเตรียมสู่เซียนแล้ว ก็จะมีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง
นั่นคือการยกระดับของอำนาจรอยเต๋า ชื่อว่า…ธรรมนูญ!
“ตอนนั้นเขากล่าวไว้ว่า ธรรมนูญในระดับที่สูงยิ่งขึ้นไป ปกคลุมอยู่บน 36 ระบบดาวชั้นบน ทำให้เซียนที่สามารถทำทุกสิ่งได้ในชั้นล่าง ไม่สามารถทำได้ในชั้นบน”
“แม้ตอนนี้ข้าจะยังสัมผัสรับรู้ได้ไม่ลึกมากนัก และไม่เข้าใจว่าธรรมนูญคืออะไร แต่มีโอกาสสูงว่าเมื่อข้าสำรวจมิติและกาลเวลาได้ถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็จะสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของธรรมนูญได้อย่างชัดเจน”
ในยามที่สวี่ชิงครุ่นคิดในใจ อวิ๋นเหมินเชียนฝานที่อยู่ข้างๆ ใจของนางก็สงบลงโดยสมบูรณ์แล้ว นางรู้ ตัวเองครั้งนี้ปลอดภัยแล้วจริงๆ
ดังนั้น นางจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ก้าวเดินออกไป 2-3 ก้าว ยืนอยู่ริมค่ายกล ปากท่องมนต์โบราณเก่าแก่เสียงต่ำทุ้ม
เสียงของมนต์คาถาสะท้อนไปในที่ราบกว้างใหญ่ นำพิธีปลุกพลังค่ายกลส่งข้ามที่หลับใหลมานานใช้ขึ้นไปสู่จุดสูงสุด
อักขระเริ่มเปล่งแสงที่เจิดจ้ายิ่งขึ้น การโค้งงอของฟ้าดินในเสี้ยวขณะนี้ก็มาถึงขีดสูงสุด
เสี้ยวขณะต่อมา ประตูหินทั้ง 36 บานก็ส่งเสียงคำรามเลื่อนลั่นขึ้น
ลำแสงพุ่งออกมาจากข้างใน เมื่อรวมตัวกัน ก็ก่อเกิดเป็นแสงที่หนาแน่นยิ่งขึ้น พุ่งตรงสู่ชั้นเมฆ
วาดเส้นทางอันงดงามพร่างพรายในท้องฟ้ายามราตรี เชื่อมต่อฟ้าดิน และกลืนกินร่างของสวี่ชิงกับอวิ๋นเหมินเชียนฝานไปในนั้น
……
1 วันต่อมา นอกเมืองเมฆาทมิฬ
เมืองแห่งนี้แตกต่างจากเมืองทั่วไปไม่น้อย ไม่ได้สร้างอยู่ภายนอก แต่อยู่ภายในภูเขาลูกมหึมาที่ถูกขุดจนกลวง
ราวกับถ้ำสวรรค์
มีต้นกำเนิดแสงขนาดมหึมาที่เกิดจากวิชาเวทหมุนวนในนั้น ทำให้เกิดเป็นกลางวันและกลางคืน
เพราะศิลาสีดำจากขุนเขาราวผืนฟ้า ท่ามกลางความโค้งเว้าก็คล้ายกับก้อนเมฆ ภายใต้ต้นกำเนิดแสงดูไปแล้วเหมือนเมฆดำ ดังนั้นจึงได้ชื่อนี้มา
ดังนั้น เมื่อเดินเข้าใกล้ขอบเขตของนอกเมืองในระยะหนึ่ง แสงเรืองรองแห่งขั้วโลกก็ถูกบดบังไว้ภายนอก และในตอนนี้ต้นกำเนิดแสงของเมืองเมฆาทมิฬราวแสงพรายรุ้งยามเย็น นับดูแล้วก็น่าจะเป็นช่วงพลบค่ำ
แสงพรายรุ้งยามเย็นจากเมืองเมฆาทมิฬ ส่องสะท้อนอยู่บนร่างของสวี่ชิงและอวิ๋นเหมินเชียนฝาน
สวี่ชิงฝีเท้าก้าวเดินเป็นปกติ แต่อวิ๋นเหมินเชียนฝานกลับเดินช้าลงเรื่อยๆ
ทว่า ไม่ว่าเส้นทางจะยาวไกลเพียงใด ก็ย่อมมีจุดสิ้นสุด เมืองค่อยๆ… ปรากฏในสายตา
สวี่ชิงหยุดฝีเท้า
“ภารกิจของตระกูลอวิ๋นเหมิน คือส่งเจ้ามาถึงที่แห่งนี้ คิดว่าเมืองเมฆาทมิฬแห่งนี้ก็คงมีการจัดเตรียมของตระกูลเจ้าไว้เช่นกัน”
“เช่นนั้น ก็ขอลาจากกันเพียงเท่านี้”
สวี่ชิงเอ่ยอย่างสงบนิ่ง
อวิ๋นเหมินเชียนฝานพลุ่งพล่านไม่สงบ การเดินทางนี้สำหรับนางนั้น ทั้งน่าตื่นเต้นและมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง และเมื่อมาถึงจุดหมาย ความรู้สึกที่ควรจะดีใจของนาง ตอนนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นความหดหู่และความอาลัยอาวรณ์ที่ไม่อาจบรรยายได้
“ผู้อาวุโส เมืองเมฆาทมิฬนี้ การจัดเตรียมของตระกูลอวิ๋นเหมินมีไม่มากนัก ที่นี่หลักๆ แล้วเป็นที่อยู่ของตระกูลมารดาของข้า… ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสยินดีที่จะเป็นที่ปรึกษาที่นี่หรือไม่เจ้าคะ”
“หรือ…ผู้อาวุโสไม่ยินดีก็ไม่เป็นไร ยังคงสามารถพักอยู่ที่นี่ได้ ข้า…”
คำพูดของอวิ๋นเหมินเชียนฝานยังไม่ทันจบ สวี่ชิงก็ส่ายศีรษะแล้ว
“ข้ามีธุระอื่น”
กล่าวจบ เขาก็หันหลัง กำลังจะจากไป
มองไปยังเงาแผ่นหลังของสวี่ชิง ความรู้สึกเศร้าใจอย่างท่วมท้นแผ่ซ่านอยู่ในใจของอวิ๋นเหมินเชียนฝาน นางกัดริมฝีปาก พลันเร่งฝีเท้าไป 2-3 ก้าว
“ผู้อาวุโส”
“การเดินทางนี้ขอบพระคุณผู้อาวุโสที่อารักขาเป็นอย่างสูง ผู้เยาว์ไม่มีสิ่งใดตอบแทน ขอผู้อาวุโสโปรดรับสิ่งนี้ไว้ด้วยเถอะเจ้าค่ะ”
“พลังบำเพ็ญของผู้เยาว์อ่อนแอ ไม่อาจช่วยผู้อาวุโสในด้านกำลังรบได้ แต่แผ่นหยกชิ้นนี้ ผู้เยาว์ใช้ต้นกำเนิดแห่งชีวิตสร้างขึ้น แฝงไว้ซึ่งพลังทำนาย 1 ครั้ง หวังว่าในอนาคตจะพอมีประโยชน์แก่ผู้อาวุโสบ้าง”
ขณะที่กล่าว นางหยิบแผ่นหยกออกมาจากอกเสื้อ พลางมองไปยังสวี่ชิง
สวี่ชิงหยุดฝีเท้าลง หันกลับไปมองนาง 1 ครั้ง สายตาจับจ้องที่แผ่นหยก พยักหน้าเล็กน้อยแล้วยกมือคว้าไปกลางอากาศ
จากนั้น ท่ามกลางแสงพรายรุ้งยามเย็นก็ก้าวเดินออกไป
เบื้องหลัง ค่อยๆ มีเสียงกู่เจิงลอยมา
‘แสงพรายรุ้งยามเย็นดุจความฝัน
ยุทธภพยาวไกล
ชีวิตหนึ่งมีทั้งสุขและเศร้า
สุดท้ายแล้ว ทุกสิ่งก็กลายเป็นเหล้าขุ่น 1 กา’
ในเสี้ยวพริบตาที่ก้าวออกมาพ้นจากขอบเขตเมืองเมฆาทมิฬ เมื่อแสงเรืองรองแห่งขั้วโลกสีแดงฉานภายนอกตกกระทบบนร่างของสวี่ชิง สวี่ชิงก็หยิบมันออกมา ดื่มหมดในรวดเดียว
ก้าวหนึ่ง เดินสู่ฟากฟ้า
บทเพลงจบลง มีเพียงเสียงถอนหายใจเบาๆ ของอวิ๋นเหมินเชียนฝาน สะท้อนก้องอยู่ในความเงียบงัน
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)
