Skip to content

Outside Of Time 1135


บทที่ 1135 แดนเซียนดับสลาย

ยามปลดประทับบุปผามรดก ความรู้สึกผ่อนคลายจากจิตสำนึกกลายเป็นคลื่นไร้รูป แผ่ขยายในใจสวี่ชิง

ปกคลุมทั้งตัว ดิ่งลงใต้ฝ่าเท้า แผ่กลางอากาศ

มรรคาไม่ไกลห่าง อยู่ภายในตัวเรา ทุกสิ่งล้วนว่างเปล่าแก่นแท้ไม่สาบสูญ

ขณะเดียวกันการตัดกฎกรรมของบุปผามรดก ทำให้มรรคาของสวี่ชิงไม่แผ่กระจายอีก

เขาใช้การกระทำบอกผู้ต้องการยืมมรรคาว่า…

ข้าไม่ให้ยืม!

จากนั้นค่อยก้าวขึ้นห้วงนภา เดินตรงขอบฟ้า ผมดำทั้งศีรษะพลิ้วไหว ชุดเขียวสะบัดโบก ยิ่งเดินยิ่งห่างออกไป

‘แม้ว่าจำนวนบัญญัติส่งผลกับพลังต่อสู้ แต่ต้องกำหนดขีดจำกัด มิฉะนั้นจะทำเรื่องอย่างการตัดบัญญัติส่วนเกินของตนเพื่อนำส่งเป็นมรดกไม่ได้’

‘เหล่าเซียนชั้นล่างที่ส่งมอบมรดกแฝงบัญญัติ แน่นอนว่าทราบเช่นกัน สิ่งที่ตัดสินระดับของพวกเขาอย่างแท้จริงคือความสมบูรณ์ของบัญญัติ ไม่ใช่จำนวน’

‘ดังนั้นสำหรับข้าแล้ว บัญญัติส่วนเกินพวกนั้น ข้าไม่ต้องการ’

‘สิ่งที่ข้าต้องการคือ… บัญญัติซึ่งทำให้กาลอวกาศของข้าก้าวหน้า ทำให้มันสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น!’

สวี่ชิงเงยหน้า มองห่างออกไป สิ่งที่เห็นคือแสงเหนือแดงชาดไร้สิ้นสุด

‘บัญญัติกาลอวกาศมีปัญจธาตุเป็นรากฐาน เวลากับห้วงมิติเป็นแท่น อาศัยฐานรากนี้ก่อตัวอย่างก้าวกระโดด กล่าวได้ว่าพื้นฐานแน่นมาก’

‘ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน เป็นไปไม่ได้ที่จะมีเพียงข้าซึ่งบรรลุบัญญัติกาลอวกาศ ความจริงแล้วยามบัญญัตินี้ก่อเกิด… ข้าก็เข้าใจกระจ่าง’

‘บนหนทางข้างหน้ายังมีสหายร่วมวิถีคนอื่น แต่จำนวนน้อยนัก ทั้ง… ไม่มีคนไหนเดินถึงปลายทาง’

‘บ้างหยุดเดิน บ้างเปลี่ยนมรรคา’

‘ปัจจุบันเส้นทางนี้ยังไม่มีต้นกำเนิด’

เขามีลางสังหรณ์อย่างหนึ่ง เมื่อตนหยั่งรู้บัญญัติกาลอวกาศเพิ่มอีกขั้น ไม่ว่าก่อขั้วที่ 9 ได้หรือไม่ แต่ด้วยผลกระทบจากบัญญัตินี้ต้องทำให้พลังบำเพ็ญของตนทะลวงระดับปัจจุบันแน่

สร้างแดนที่ 9 ของข้า บรรลุระดับเจ้าเหนือหัว!

“ระดับที่ลึกซึ้งขึ้นคืออะไร…” สวี่ชิงกล่าวพึมพำ

ก้าวเดินกลางฟ้าดิน สัญจรผ่านกาลอวกาศ บ้างหวนคืนอดีตตามหาเบาะแส บ้างแผ่จิตถึงอนาคตเพื่อค้นคำตอบ

7 วันต่อมา เขาชะงักฝีเท้า กาลอวกาศกลายเป็นคลื่นระลอก

เมื่อเงยหน้ามองไป

ข้างหน้ามีภูเขา ในป่ามี 17 ยอดเขา แต่ละยอดเขาล้วนมีสระ

สระน้ำใสสะอาด กลมเหมือนจันทร์เต็มดวง ด้านข้างมีศาลาพร้อมแท่นหินแห่งหนึ่ง

ศาลามี 8 มุม บนแท่นด้านในเหมือนมีสัญลักษณ์ภูมิประเทศ

นี่คือ… แหล่งรวมระเบียบปฐพี นามว่า 17 สระระเบียบปฐพี

ริมสระมีบุปผาอัศจรรย์หญ้าประหลาดมากมาย ดูดกลืนปราณวิญญาณเซียน สั่งสมมานานปีจนปัจจุบันเปี่ยมจิตวิญญาณเข้มข้น

บ้างวิวัฒน์เป็นสรรพสิ่ง เผยชีวิตหลากรูปแบบที่นี่

กลายเป็นลักษณ์อัศจรรย์อย่างหนึ่ง

หลายปีนี้ถ้ามีคนธรรมดาหลงเข้ามาที่นี่ พวกเขามักเหมือนหลับฝัน ตื่นมาอย่างเลื่อนลอย

ด้วยที่นี่ไม่มีแนวคิดทำร้ายใคร

ดังนั้นเลยดำรงอยู่มาจนปัจจุบัน ทั้งมีผู้บำเพ็ญมาหามรรคาที่นี่บ่อยครั้ง

สวี่ชิงจ้องมองสิ่งเหล่านี้ นึกถึงคำอธิบายเกี่ยวกับสระระเบียบปฐพีจากตำราโบราณซึ่งตระกูลอวิ๋นเหมินบันทึกไว้

นอกจากเรื่องก่อนหน้านี้แล้ว ยังมีตำนานเกี่ยวกับสัญลักษณ์บนแท่นหินด้วย

ดังนั้นที่นี่จึงมีนามว่าระเบียบปฐพี

แต่เมื่อเวลาล่วงเลย ผู้คนเริ่มเห็นสัญลักษณ์ไม่ชัด ได้แค่มองภาพเลือนราง ยากจะเห็นนัยแท้จริง

ด้วยนัยแท้จริงถูกสระน้ำดูดกลืนนานปี กระทั่งผสานรวมกับสระน้ำ

ดังนั้นทุกครั้งเมื่อวันคลื่นวนของแสงเหนือ 2 สายสับเปลี่ยนกัน หากมีคนจ้องมองสระน้ำย่อมสะท้อนความปรารถนากับความยึดมั่นในใจออกมาได้ ทำให้รู้จักดินแดนในใจตน

จุดนี้เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ดึงดูดผู้บำเพ็ญมากมายมาฝึกปราณที่นี่

อาศัยสิ่งนี้มากล่อมเกลาจิต ยกระดับจิตวิญญาณ

ความคิดอบอวล สวี่ชิงเยื้องย่าง

ก้าวมาบนยอดเขาหนึ่ง เดินไปทางมายาสรรพชีวิต ตรงริมสระของยอดเขานี้

ที่นั่นเหมือนโลกใบหนึ่ง เกิดแก่เจ็บตาย สุขทุกข์พบเจอแยกจาก

เมื่อเข้าใกล้ สิ่งมีชีวิตที่วิวัฒน์จากต้นไม้ใบหญ้าแน่นิ่งทันที จากนั้นค่อยก้มหน้าพร้อมกัน คุกเข่ามาทางสวี่ชิง

“จิตวิญญาณเข้มข้นดังคาด”

สวี่ชิงพยักหน้า เดินไปหาแท่นหิน มองสัญลักษณ์ภูมิประเทศบนนั้น

สักพักค่อยส่ายศีรษะเล็กน้อย

“ไม่ใช่มรรคาของข้า”

จากนั้นค่อยเดินมาริมสระ จ้องมองเงาวิถีกลางน้ำต่อ

พริบตาแรกพร่าเลือน

พริบตาต่อมาเงาตนส่องสะท้อน

ชัดเจนหาใดเปรียบ

สวี่ชิงเงียบไป เนิ่นนาน… กว่าจะส่ายศีรษะ ทั้งไม่เหลือบมองอีก

ที่นี่แฝงมรรคาไว้จริงๆ แต่น่าเสียดายว่า… ไม่ใช่สิ่งที่เขาตามหา

ดังนั้นสวี่ชิงเลยก้าวไปยอดเขาที่ 2 ดูครบทั้ง 17 ยอดเขา ทั้งหมดล้วนคว้าน้ำเหลว ครั้นแล้วค่อยจากไปทางใต้ต่อ

ราวเดือนเศษค่อยมาถึงแอ่งโคลนเมฆา

แอ่งนี้ตั้งอยู่ทางใต้ของสระระเบียบปฐพี ล้อมรอบด้วยยอดเขาสูงชัน

ในนั้นมีหมอกเมฆมากมายเหมือนผ้าถักทอ

ตรงกลางเปี่ยมดินละเอียด เหมาะแก่การเพาะปลูก

ทั้งมีบุปผาอัศจรรย์นามว่า ‘บัวโคลนเมฆา’

กลีบดอกราวเมฆินทร์ กลิ่นหอมอัศจรรย์ไร้สิ้นสุด

ในบันทึกของอวิ๋นเหมินเชียนฝาน ลือกันว่าดอกบัวชนิดนี้ขัดเกลาจิตวิญญาณได้ ทำให้จิตบริสุทธิ์ เข้าใจมรรคแห่งฟ้าดินอย่างถ่องแท้

ดังนั้นเลยมีกระเรียนเซียนปกป้องที่นี่เป็นครั้งคราว ยามว่างค่อยกระพือปีกร่ายรำ ทำให้มวลปักษาแข่งกันร้องขับขาน

กลายเป็นภาพทิวทัศน์เหมือนแดนเซียน

สวี่ชิงมาเยือน ก้าวเหยียบโคลนเมฆา สัมผัสกระเรียนเซียนเบาๆ เด็ดกลีบบัวโคลนเมฆากลางมวลปักษารายล้อม

ยามหล่นลงบนมือ กลีบบุปผาดั่งมายาเลือนราง คล้ายหมอกเมฆาจริงๆ

ทั้งมีพลังขัดเกลาจิตวิญญาณ แต่สำหรับสวี่ชิงแล้ว ใจเขาหนักแน่นมรรคแข็งแกร่ง ไม่ต้องการขัดเกลา

ต่อให้มีความยึดมั่นก็ใช่ว่าบุปผานี้จะขัดเกลาได้

ดังนั้นเลยหยุดพักเพียง 3 วันก่อนเดินไปตรงขอบฟ้า

มุ่งหน้าไปทางใต้ ระยะทางไกลขนาดว่าร้อยชั่วคนยังไปไม่ถึง เจ้าเหนือหัวยังต้องเดินทางราวเดือนกว่า

นั่นคือที่ราบเซียนดับสลาย

ที่ราบกว้างใหญ่ไพศาล หญ้าเขียวขจีราวกับพรม

ขอบฟ้ามีสายรุ้งพาดผ่าน เมฆหลากสีลอยล่อง ประหนึ่งภาพฝันลวงตา

ทำให้สวี่ชิงจับจ้อง

สถานที่อื่นบนวงแหวนที่ 5 แทบไม่เห็นภาพนี้ สิ่งที่เห็นคือแสงเหนือสีชาด

มีเพียงที่นี่ห้อมล้อมด้วยสีรุ้ง

ดังนั้นจากตำนานส่วนหนึ่งเกี่ยวกับแสงเหนือตามบันทึกของอวิ๋นเหมินเชียนฝาน

ลือกันว่าที่นี่คือต้นกำเนิดของแสงเหนือ

จับจ้องที่ราบ ทอดมองรุ้งหลากสี สวี่ชิงครุ่นคิด

เขานึกถึงผู้นำเซียนแสงเหนือที่หลี่เมิ่งถู่กล่าวถึง

ผู้นำเซียนนี้เคยเป็นหัวหน้าเหล่าผู้นำเซียน แต่เขาขัดต่อมรรคา ถูกจอมเซียนกำราบ ดึงบัญญัติเขามาเป็นแสงเหนือ ทิ้งจิตวิญญาณเขาไว้ที่นี่

ที่ราบนี้จึงชื่อว่าเซียนดับสลาย

ไม่ได้มีเพียงต้นไม้ใบหญ้า แต่ยังเห็นอุกกาบาตนับไม่ถ้วนกระจายทั่ว

ขนาดใหญ่เหมือนภูเขา ขนาดเล็กราวเม็ดถั่ว แสงสว่างสาดส่อง ปราณมงคลนับพัน

กลิ่นอายเก่าแก่

พวกมันไม่ได้มาจากเหนือฟากฟ้า แต่กลับแฝงตำนานเช่นกัน

เล่าลือว่าอุกกาบาตพวกนี้เป็นสิ่งที่เหลือจากการถมฟ้าดาราของวงแหวนที่ 5

แฝงพลังลึกลับไว้

ยามมองสิ่งเหล่านี้ นัยน์ตาสวี่ชิงฉายแววล้ำลึกช้าๆ

กายเนื้อเขาไม่ตอบสนองกับที่นี่นัก แต่การแผ่ห้วงคิดสัมผัสถึงสิ่งที่ต่างออกไป

“ที่นี่มีจิตอาฆาต…”

“จิตนี้เหมือนคลื่นปราณวิญญาณ ทำให้มันกลายเป็นทะเลไร้รูป”

สวี่ชิงพึมพำ

มุ่งหน้าก้าวบนที่ราบต่อ เดินเลียบอุกกาบาตมากมาย

ทั้งเคยยกมือสัมผัส แผ่จิตเทพปกคลุม มองผ่านห้วงกาลอวกาศ

แต่สิ่งที่สัมผัสได้คือความว่างเปล่า!

สิ่งที่ระลึกถึงล้วนว่างเปล่า!

มองผ่านกาลอวกาศก็ว่างเปล่าเช่นกัน!

เหตุการณ์นี้ทำให้สวี่ชิงพลันชะงักฝีเท้า

“เป็นแดนซึ่งผู้นำเซียนดับสลายจริงๆ…”

“ที่นี่อาจมีมรรคาที่ข้าต้องการ”

สวี่ชิงหรี่ตามุ่งหน้าต่อ

ตลอดทางแผ่สัมผัสทั่วทิศ รับรู้ยามสายลมพัดผ่าน สัมผัสถึงความสงบของที่นี่

ใจดื่มด่ำจ่อมจมเหมือนอากาศธาตุ

เนิ่นนานจนเกือบเข้าใกล้บริเวณศูนย์กลางของที่ราบเซียนดับสลาย แรงต้านหนึ่งมาเยือนกะทันหัน กระทบตัวสวี่ชิง กลายเป็นอุปสรรคทำให้เขาไม่อาจมุ่งหน้า

กระทบจิตวิญญาณเขาจนเกิดเสียงระฆังดังก้องทั่วกาลอวกาศ

ทำให้ความเงียบสงบแตกสลาย ตื่นจากห้วงคิด

เมื่อเงยหน้ามองไป ที่ห่างไกลมีป้ายหินมหึมาหนึ่ง

บนนั้นสลักอักขระโบราณไว้

ไม่ทราบความเป็นมา

แต่สัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ได้

เนิ่นนานกว่าสวี่ชิงจะถอนสายตากลับ

‘ที่นี่ไม่ได้อยู่ในกาลอวกาศ’

สวี่ชิงสืบสัมผัส นั่งขัดสมาธิ หลับตานอกสิ่งกีดขวางนี้

ลองหยั่งเชิงสำรวจ

ลมพัดฟ้าดิน แสงเหนือสาดส่อง

หลายเดือนต่อมา บนที่ราบเซียนดับสลาย มีคนบางส่วนมาเยือน

พวกเขามาจากต่างทิศทาง เป้าหมายคือป้ายหินกลางที่ราบ

แต่ต่างจากสวี่ชิง อุปสรรคที่พวกเขาเจอมาถึงก่อน

ดังนั้นจึงล้อมรอบป้ายหิน ในระยะห่างต่างกันไป แต่ละคนนั่งสมาธิ

ระหว่างนี้ยังคอยสังเกตสวี่ชิงด้วย

เมื่อมองออกไป แต่ละคนต่างหน้าเปลี่ยนสี ความรู้สึกหวั่นหวาดเด่นชัด

ด้านหนึ่งด้วยเห็นตำแหน่งที่สวี่ชิงอยู่ อีกด้านมาจากความรู้สึกซึ่งบอกไม่ถูก

ในบรรดาพวกเขามีคนหนึ่งในใจปั่นป่วนรุนแรง ถึงขั้นหน้าซีดเผือด คิดถอยร่น…

ทว่าไม่รอตัวเขาทำตามสิ่งที่คิด สวี่ชิงลืมตาขึ้น มองไปอย่างนิ่งสงบ

“มา”

สายตานี้ทำให้ผู้ซึ่งใจเต้นระส่ำคนนั้น หายใจกระชั้นถี่เหมือนฟ้าถล่ม

ขณะเดียวกันยังสร้างเส้นทาง ลบสิ่งกีดขวางระหว่างสวี่ชิงกับคนที่เห็น

คำจากปากกลายเป็นลิขิตสวรรค์และบัญชา

ทำให้คนผู้นั้นไม่กล้าถอยร่น

ได้แค่เดินมาหาสวี่ชิงทีละก้าวอย่างยากลำบาก ฝืนเข้ามาใกล้ คารวะอย่างนอบน้อม

“ไม่เจอกันนาน บรรพจารย์ตี้หลิง” สวี่ชิงกล่าวช้าๆ

คนที่เดินมาคือบรรพจารย์ตี้หลิงซึ่งปรากฏตัวตรงทะเลทรายกาลเวลา ทั้งสัญญาว่าจะร่วมแบ่งกุญแจลับ ยามสวี่ชิงไปส่งอวิ๋นเหมินเชียนฝาน

บรรพจารย์ตี้หลิงยิ้มขื่น

ไม่เจอกันนานจริงๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึง เมื่อเจอกันอีกครั้ง อีกฝ่ายกลับครองบัญญัติแล้ว

สายตานั้นทำให้เขาเหมือนเหยียบแผ่นน้ำแข็งบางๆ เป็นตายไม่อาจควบคุม

ตอนนี้เมื่อหวนนึก ยามเจออีกฝ่ายบนทะเลทรายกาลเวลาเหมือนว่ามีเค้าลางบางส่วนแล้ว

ควบคุมพายุกาลเวลาได้ ไหนเลยจะเป็นคนธรรมดา

รูปปั้นซึ่งวิวัฒน์จากอัจฉริยะฟ้าประทานตระกูลตน ถึงตอนนี้ยังยืนหยัดนอกทะเลทราย

ไม่ยุติธรรม

“ครั้งนี้หากสหายเต๋าไม่ยินดี ข้ายอมมอบกุญแจลับให้”

ตี้หลิงสูดหายใจลึก เอ่ยปากราบเรียบ กล่าวจบแล้วยกมือหยิบขวดหยกออกมา

ในนั้นมีเลือดหยดหนึ่ง

นั่นคือเลือดของบรรพจารย์อวิ๋นเหมิน แฝงซ่อนกุญแจลับไว้

เมื่อวางขวดหยกลงตรงหน้าสวี่ชิงแล้ว ตี้หลิงก้มหน้ารอคำตอบ

สักพักสวี่ชิงค่อยกล่าวราบเรียบ “ป้ายหินนั่นมีความเป็นมาอย่างไร”

ตี้หลิงได้ยินแล้วเงยหน้ามองป้ายหินมหึมาซึ่งห่างออกไป ไม่กล้าปิดบังสวี่ชิง เอ่ยปากกล่าวเสียงต่ำ “ที่นี่คือสถานที่ฝังวิญญาณของผู้นำเซียนแสงเหนือ ทั้งเป็นสถานที่ซึ่งวังเซียนพังถล่มเมื่อปีนั้น”

“ป้ายหินนั่น… คือหินผนึกประตูวังเซียนแสงเหนือ!”

(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version