Skip to content

Outside Of Time 246

บทที่ 246 ย่านการค้าเมืองผีแดนต้องห้ามปักษาราชัน

ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณมีพื้นที่ต้องห้าม แต่แดนต้องห้ามมีเพียงแห่งเดียว

นั่นก็คือแดนต้องห้ามปักษาราชัน

พื้นที่กินเขตเมืองทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณไปกว่าครึ่ง หากไม่มีเทือกเขาสัจจะธรรมกั้นขวาง รวมกับเหตุผลพิเศษบางประการ เกรงว่าพื้นที่แดนต้องห้ามปักษาราชันคงกว้างใหญ่กว่านี้

แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น หลายปีมานี้พื้นที่ของแดนต้องห้ามปักษาราชันก็ยังคงขยายออกไป กระทั่งว่ามีบางส่วนลามไปในเทือกเขาสัจจะธรรมแล้ว

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป หลายพันปีให้หลัง ทั้งทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณจะกลายเป็นแดนต้องห้ามปักษาราชัน

และความแตกต่างของพื้นที่ต้องห้ามกับแดนต้องห้ามคือเผ่าพันธุ์

ในพื้นที่ต้องห้ามส่วนใหญ่เป็นสัตว์ร้ายบางชนิดและสิ่งประหลาด อีกทั้งโบราณสถานลึกลับและผนึก แต่ไม่ได้มีเผ่าพันธุ์มากมายเป็นหมื่นเผ่า มีเพียงแดนต้องห้ามเท่านั้นที่จะให้กำเนิดเผ่าพันธุ์ที่มีสติปัญญาได้

ยกตัวอย่างเช่นแดนต้องห้ามมรณะบนทะเลต้องห้าม

เผ่าสิงซากสมุทรก็ถือกำเนิดขึ้นเช่นนี้ อีกทั้งตำแหน่งที่ตั้งเผ่าอยู่แค่ชายขอบแดนต้องห้ามมรณะ ดังนั้นในแดนต้องห้ามปักษาราชันก็มีเผ่าพันธุ์ประเภทนี้เช่นกัน

เนื่องจากวิหคเพลิงสวรรค์เป็นมิตรกับมนุษย์ จึงไม่อนุญาตให้เผ่าที่ถือกำเนิดในแดนต้องห้ามปักษาราชันออกไปข้างนอก ทุกฝ่ายจึงอยู่อย่างสงบ ไม่รบกวนซึ่งกันและกัน มีการไปมาหาสู่ไม่มาก

แม้บางครั้งจะมีขั้วอำนาจเผ่ามนุษย์เข้าไปในแดนต้องห้ามปักษาราชันก็เป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะได้รับทรัพยากรหรือล่าสัตว์อสูร ต่างเลี่ยงเผ่าพันธุ์มีสติปัญญาในแดนต้องห้ามปักษาราชัน

แต่ก็มีเผ่าพันธุ์บางเผ่าในแดนต้องห้ามปักษาราชันชอบทำการค้าแลกเปลี่ยนทรัพยากรบางอย่างกับเผ่ามนุษย์

ยกตัวอย่างเช่นย่านการค้าเมืองผี

ย่านการค้าเมืองผีฟังชื่อก็รู้ความหมาย ย่านภูตผี พื้นที่แลกเปลี่ยน

เผ่าพันธุ์นี้ไม่ได้มีเฉพาะที่แดนต้องห้ามปักษาราชัน ความจริงในแดนต้องห้ามหลายๆ แห่งก็มีเผ่าพันธุ์ประเภทนี้ปรากฏตัวทั้งนั้น ดูแล้วเหมือนเมืองเมืองหนึ่ง เพียงแต่ข้างในพิลึกพิศดาร ตัวตนที่อยู่ล้วนเป็นสิ่งประหลาด

ของที่ขายมักจะเป็นวัตถุที่หาได้ยากในเผ่ามนุษย์ อีกทั้งยังเป็นสิ่งชั่วร้ายเป็นหลัก

สวี่ชิงเข้ามาในแดนต้องห้ามปักษาราชันครั้งนี้ เป้าหมายแรกของเขาก็คือย่านการค้าเมืองผี

“ย่านการค้าเมืองผีในแดนต้องห้ามปักษาราชันลึกลับซ่อนเร้นไม่แน่นอน หากอยากเข้าไปก็ไม่ได้พึ่งวาสนา…” ตอนนี้เป็นเวลากลางดึก สวี่ชิงอยู่ในแดนต้องห้ามปักษาราชันเงาร่างประดุจภูตผี ห้อตะบึงไปข้างหน้า

เขาประเดี๋ยวก็ทะยานขึ้น ประเดี๋ยวก็เปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ประเดี๋ยวก็เหาะเหินไปยังยอดไม้สังเกตรอบๆ อย่างละเอียดรอบคอบ ประเดี๋ยวก็หยิบผงออกมาจากกระเป๋าโปรยไปข้างตัว

หากผู้บำเพ็ญยอดเขาลำดับหนึ่งเห็นการกระทำแต่ละอย่างของสวี่ชิงจะต้องตกใจแน่นอน เพราะสวี่ชิงเคลื่อนไหวได้ช่ำชองและถูกต้องทั้งหมด

กระโดดทะยานเพราะบนพื้นมีสัตว์เลื้อยคลานหลบซ่อนอยู่ เปลี่ยนทิศทางฉับพลันเพราะข้างหน้ามีไยคล้ายไยแมงมุมและผู้ล่า ส่วนที่เหาะเหินไปยังยอดไม้ก็เพื่อสำรวจทิศทางได้ดียิ่งขึ้น ไม่หลงในป่า

เหตุที่ไม่เหาะเหินบนฟ้าเพราะท้องฟ้าในพื้นที่ต้องห้ามไม่มีที่หลบซ่อน ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าอันตรายจะพลันปรากฏขึ้นทิศทางใด

ต่อให้กำลังของสวี่ชิงตอนนี้ไม่ธรรมดา แต่เขาก็ยังคงยำเกรงพื้นที่ต้องห้ามเช่นเดิม

ความยำเกรงนี้ผสานไปในเลือด ขอเพียงแค่เลือดยังคงไหลเวียนก็ไม่มีวันจางหายไป

‘ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ต้องห้ามที่ใด การสังหารที่ไร้ประโยชน์ไม่ควรทำทั้งสิ้น กลิ่นคาวเลือดเป็นหนึ่งในปัจจัยดึดดูดสัตว์ร้ายเสมอ’ สวี่ชิงหรี่ตา มือขวาพลันยื่นไปคว้าหนอนแปลกประหลาดตัวหนึ่งที่พุ่งออกมาจากดินข้างๆ

หนอนตัวเรียวยาว ขนาดประมาณสามชุ่น ดูแล้วเหมือนปลา แต่หางกลับมีหนามแหลม ตอนที่มันพุ่งออกมา ร่างของมันพุ่งกลับหลัง ใช้หางแหลมคมเป็นอาวุธ คิดจะแทงคอสวี่ชิง

“ปลาหนามบก” สวี่ชิงขยี้หัวปลาตัวนี้จนแหลกละเอียด โยนซากของมันไปในถุงเก็บของ

จะทำการฆ่าอย่างไร้ประโยชน์ไม่ได้ แต่การฆ่าเพื่อได้มาซึ่งทรัพยากรนั้นทำได้

ในหนามของปลาหนามบกมีพิษร้ายแรง สร้างภัยคุกคามร้ายแรงกับผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานที่ยังไม่ได้ก่อไฟชีวิตได้

ต่อให้เป็นครั้งแรกที่สวี่ชิงมายังแดนต้องห้ามปักษาราชัน ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ต้องห้ามหรือพืชพรรณนานาสวี่ชิงล้วนเข้าใจเป็นอย่างดี เรียกได้ว่าเขาเตรียมตัวมามากเท่าที่จะทำได้ ทั้งเผ่าพันธุ์และสัตว์ร้ายในแดนต้องห้ามปักษาราชันแห่งนี้ก็ศึกษาข้อมูลมามากมาย

‘ผู้คนที่เพิ่งค้นพบย่านการค้าเมืองผีในตอนแรก อยากเข้าไปต้องอาศัยโชคอย่างเดียวเท่านั้น แต่ภายหลังจากค้าขายแลกเปลี่ยนกันหลายปี ย่านการค้าเมืองผีก็เริ่มมอบวัตถุที่ชื่อว่าขลุ่ยผีให้

‘ในช่วงสามเค่อของยามจื่อ[1] ใช้ต้นไม้สามต้นวางเป็นรูปสามเหลี่ยมในที่ว่างโล่งของแดนต้องห้ามปักษาราชัน จุดเทียนสามเล่มวางไว้สามตำแหน่ง ไปยืนอยู่ตรงกลางเป่าขลุ่ยผี ย่านการค้าเมืองผีก็จะปรากฏข้างหน้า’

สวี่ชิงพึมพำในใจ นี่คือวิธีที่ถูกต้องที่สุดตามวิธีที่อ่านเอกสารมากมายและวิเคราะห์อย่างละเอียด และเขาก็ซื้อขลุ่ยผีมาจากสำนัก

ตอนนี้สวี่ชิงทะยานไปอย่างรวดเร็ว เงยหน้ามองท้องฟ้า จากนั้นร่างก็พุ่งไปที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง สำรวจรอบๆ ครู่หนึ่ง

‘ที่นี่นับว่าเหมาะสมอยู่’

เพียงสวี่ชิงยกมือขวาขึ้น เหล็กแหลมก็พุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว กวาดไปรอบๆ ทันที ทันใดนั้นต้นไม้สามต้นก็ถูกตัดเป็นท่อนจากบนพื้นจากการพุ่งผ่านอย่างรวดเร็วของสายฟ้าสีดำแต่ละสาย

ต้นไม้สามต้นล้มลงเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

หนึ่งในนั้นเป็นต้นที่สวี่ชิงยืนอยู่ ตอนนี้จากต้นไม้ทั้งสามต้นที่กระแทกลงพื้น ร่างสวี่ชิงลอยกลางอากาศ ก้มหน้าสะบัดมือ ต้นไม้ใหญ่ทั้งสามบนพื้นก็หมุนประกอบเป็นรูปสามเหลี่ยม

เหล็กแหลมดำพุ่งมา บรรพจารย์สำนักวัชระที่อยู่ในนั้นสังเกตรอบๆ อย่างระมัดระวัง ทำท่าเหมือนปกป้องเจ้านายอย่างภักดี

สวี่ชิงจัดการอยู่ครู่หนึ่ง ร่างลอยต่ำลงยืนอยู่กลางต้นไม้ทั้งสาม หยิบเอาเทียน สีขาวสามเล่มออกมาวางบนต้นไม้ จากนั้นมือขวาก็ยกขึ้น ในมือมีขลุ่ยที่ทำจาก กระดูกเลาหนึ่ง

สวี่ชิงเงยหน้ามองท้องฟ้า ถือขลุ่ยเอาไว้ รอเวลา

ไม่นานนักก็ถึงช่วงสามเค่อของยามจื่อ

สวี่ชิงไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น ถือขลุ่ยผีจรดที่ริมฝีปาก เป่าเบาๆ

ทันใดนั้น เสียงแสบแก้วหูก็พลันดังจากขลุ่ยผีเลานี้ ขณะที่เสียงเหมือนเสียงนกแสกดังขึ้น รอบๆ ทั่วทั้งฟ้าดินในชั่วขณะนี้ก็พลันเกิดลมเย็นเยือกขึ้น

ลมเย็นเยือกพัดกรรโชกทำให้เทียนทั้งสามเล่มไหววูบวาบ พร้อมกับความเย็นที่ยากบรรยายลอยอวลมา

พื้นดินเกิดน้ำแข็งเกาะขึ้นทันที ดินและต้นไม้รอบๆ มีน้ำค้างแข็งเกาะ เทียนทั้งสามเล่มเปลี่ยนเป็นสีเขียว

ยิ่งมีเสียงพึมพำดังเป็นระลอกๆ มาจากความว่างเปล่า

ฟังไม่ชัดว่ากำลังพูดอะไร เหมือนมีคนมากมายกำลังซุบซิบกันอยู่ เสียงนี้ดังเข้ามาในจิตใจของสวี่ชิง ในขณะที่ทำให้ใจเขาหวั่นไหว ที่ไกล…ก็เกิดหมอกขึ้น

หมอกเกิดขึ้นเฉียบพลัน ราวเกิดขึ้นมาจากความว่างเปล่า หอบม้วนขยายกว้างออกไปเรื่อยๆ จนเมื่อลอยอวลได้เป็นบริเวณในระดับหนึ่ง ปกคลุมต้นไม้ในป่า

จากนั้น ในหมอกนี้ก็มีเมืองหนึ่งปรากฏขึ้น

กำแพงของเมืองนี้เป็นสีเทา สิ่งก่อสร้างทุกอย่างในนั้นเป็นสีเทาทั้งหมด ดูจากรูปแบบแล้วฉายความโบราณออกมา เหมือนเมืองโบราณที่ถูกฝังกลบในประวัติศาสตร์ ปรากฏขึ้นมาบนโลกอีกครั้ง

ในเมือง…คึกคักยิ่งนัก

จะเห็นเงามากมายนับไม่ถ้วนลอยอยู่ในนั้นแน่นขนัด อีกทั้งรูปร่างยังแตกต่างกันออกไป

บางเงาไม่มีศีรษะ บางเงามีกายเป็นสัตว์ บางเงารูปร่างสูงใหญ่ บางเงาทั้งร่างยาวเรียว แล้วก็ยังมีบางเงาที่ปากใหญ่เกินไป จึงทำได้แค่ยกมือประคองคางเอาไว้ และมีบางเงาที่ทั้งร่างมีจิตอาฆาตวนเวียน

ในนั้นไม่ได้มีแค่เงาผีสัญจรไปมาเท่านั้น ยังมีร้านค้ามากมายนับไม่ถ้วนด้วย

ร้านค้าก็แปลกประหลาดเช่นกัน รูปลักษณ์แผ่ออกมาซึ่งความเหี้ยมเกรียม

หากคนธรรมดาเห็นจะต้องตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อแน่นอน

นี่เป็นเมืองผีโดยสมบูรณ์เมืองหนึ่ง

ข้างในบางทีอาจจะมีคนเป็น แต่อำพรางกลิ่นอายของตัวเอง ทำให้ทั้งร่างอวลไปด้วยไอพลังประหลาดเข้มข้น

นี่ก็เป็นหนึ่งในกฎการเข้าย่านการค้าเมืองผีเช่นกัน

แม้ย่านการค้าเมืองผีจะยินดีทำการค้าแลกเปลี่ยนกับเผ่ามนุษย์ แต่กฎคือ…จะต้องเป็นคนที่ไอพลังประหลาดทั่วทั้งร่างเข้มข้นจนใกล้จะกลายพันธุ์

นอกจากนั้น เมืองผีที่เต็มไปด้วยสิ่งประหลาดนับไม่ถ้วน ทั้งๆ ที่มีเงาผีมากมหาศาล แต่กลับเงียบสงัด คล้ายว่าทุกสิ่งที่อยู่ข้างในพูดไม่ได้

และสิ่งที่โดดเด่นที่สุดในนั้นคือ ที่ใจกลางเมือง ศีรษะมหึมาลอยอยู่

ศีรษะนี้ลอยอยู่กลางอากาศ ดูแล้วเป็นเผ่ามนุษย์ วัยกลางคน แต่ไม่มีผม

เหมือนศีรษะของพระรูปหนึ่ง

มันหลับตาอยู่ นิ่งไม่ไหวติงอยู่กลางอากาศ รอบๆ มีโซ่มากมายตรึงเอาไว้ ทำการสะกดผนึก

มองอย่างละเอียดก็จะเห็นว่าโซ่เหล่านั้นก่อจากแขนที่ไม่มีผิวหนังพันรัดอยู่ด้วยกัน

ขณะเดียวกันประตูเมืองทั้งสี่ของเมืองผี มีชายกำยำสูงใหญ่ที่เปลือยท่อนบน ศีรษะกลับเหมือนเด็กทารก แบกดาบเหล็กด้ามผียาวถึงห้าจั้งไว้บนบ่า สอดส่องรอบๆ

ประตูข้างหน้าสวี่ชิงก็เป็นดังที่กล่าว

สวี่ชิงมองทุกอย่าง ถอนสายตากลับมา ในใจเกิดระลอกคลื่นอารมณ์เล็กน้อย

เขาไม่เคยเห็นเมืองผีในแดนต้องห้ามปักษาราชัน แต่ภาพนี้เหมือนกับในเอกสารที่เขาอ่านทุกประการ ขณะเดียวกันหลังจากที่สวี่ชิงได้เห็นทุกอย่างเองกับตาตอนนี้ ก็นึกได้ว่ามีครั้งหนึ่งที่ตนได้เห็นเมืองคล้ายกับเมืองผีใต้ทะเลต้องห้ามเหมือนกัน

“เช่นนั้นแล้ว ที่นั่นก็น่าจะเป็นย่านการค้าเมืองผีแห่งหนึ่งเหมือนกันใช่หรือไม่” สวี่ชิงไม่ได้เดินไปทันที แต่สังเกตอย่างละเอียดครู่หนึ่ง เทียนไขรอบๆ เขาภายใต้ลมเย็นเยือกค่อยๆ ไหววูบรุนแรงขึ้น

สวี่ชิงไม่รีบร้อน สังเกตรายละเอียดทุกอย่างต่อไปจวบจนมั่นใจว่าไม่มีปัญหา เทียนรอบๆ ใกล้มอดดับ เมืองผีที่อยู่ที่ไกลรางเลือนอีกครั้ง เขาก็สูดไปทางเจ้าเงา

ทันใดนั้นไอพลังประหลาดในร่างก็พุ่งเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เพียงพริบตาทั้งตัวเขาก็ดูเหมือนไอพลังประหลาดเข้มข้นจนถึงขีดสุด ปานจะกลายพันธุ์ได้ทุกเมื่อ ผิวหนังทั่วทั้งร่างเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ

สุดท้าย รอบตัวเขาก็มีหมอกที่เกิดขึ้นหลังจากไอพลังประหลาดเข้มข้นพันล้อม สวี่ชิงถึงได้เดินไปยังเมืองผีที่อยู่ข้างหน้าทีละก้าว

ทุกก้าวยาวประมาณสามจั้ง ไม่กี่อึดใจ สวี่ชิงก็เหยียบย่างเข้ามาในหมอก เดินมาถึงหน้าประตูเมืองผีเมืองนี้

ในเสี้ยวพริบตาที่เดินมาถึง สายตาชายกำยำที่แบกดาบทั้งสองข้างประตูก็จับมาที่สวี่ชิง

สวี่ชิงไม่หยุดฝีเท้า ปล่อยให้ตัวตนที่เหมือนผีสองตนนั้นจับจ้องตน เดินเข้าไปในเมือง

สายตาข้างหลังก็หายไปจากการเดินเข้าไปของเขา ส่วนหมอกรอบๆ ตอนนี้ก็ขยายขอบเขตทันที ปกคลุมไปทั่ว ทำให้สวี่ชิงมองออกไปไกลก็เห็นเพียงแค่หมอก

ราวกับขวางกั้นผู้มาทำการค้าแลกเปลี่ยนกับโลกภายนอก มีเพียงดวงจันทร์บนท้องฟ้าที่เป็นสีเขียวเท่านั้นที่สาดแสงสลัวมาที่เมือง

เรื่องเหล่านี้ล้วนตรงกับเอกสารที่สวี่ชิงค้นหา

เขาสีหน้าเป็นปกติ เดินไปข้างหน้าอย่างสงบ ค่อยๆ เดินไปบนถนนสายยาว เดินเข้าไปในสิ่งประหลาดนับไม่ถ้วน

เดินไปพร้อมกับผี

แต่จู่ๆ จมูกของศีรษะพระขนาดมหึมากลางท้องฟ้าก็ขยับ เหมือนได้กลิ่นอะไร ดวงตาเหมือนจะลืมขึ้น แต่จากแสงเย็นเยียบบนโซ่กะพริบวูบวาบ มันก็สงบไปอีกครั้ง

สวี่ชิงเงยหน้า มองไปแวบหนึ่ง รูม่านตาหดเล็ก

เงาผีบนถนนสายยาวมีจำนวนมหาศาลนับไม่ถ้วน

สายตาของสวี่ชิงเบนจากศีรษะพระนั่น พึมพำอยู่ครู่หนึ่งก็หันไปมองรอบๆ

เขาเห็นผีที่ทั่วทั้งตัวเหมือนกระดาษแป้งเปียก เดินพลางถือพู่กันวาดตาบนใบหน้าไปด้วย

อีกทั้งทั่วร่างยังเปียกโชก ทุกที่ที่เดินผ่าน หยดน้ำที่หยดลงจากร่างก็เกิดเป็นแมลงผีหกตาเดินตามไปด้วย

และยังมีผีตัวเล็กที่เหมือนเด็กอายุสามขวบ ตาแดง หูยาว ตัวดำแกมแดงวิ่งเล่นอยู่บนพื้น

และบนสิ่งก่อสร้างที่ห่างไปไม่ไกลตรงนั้นมีแมวไร้ขนหมอบอยู่ ในกรงเล็บมีศีรษะโชกเลือดศีรษะหนึ่ง กำลังเลียอาหาร

หมอกดำลอยอวลบนตัวมัน มองออกว่านี่ก็เป็นภูตผีปีศาจประเภทหนึ่งเช่นกัน

ส่วนร่างที่ไร้ศีรษะ ร่างสัตว์ป่า โครงกระดูกยืนหรือกายหมอกหลายหัว มีเยอะแยะมากมาย

บ้างก็ลอย บ้างคลาน บ้างก็นั่งอยู่บนเงาผีตนอื่น บ้างก็ลอยผ่านไปกลางอากาศ และก็มีแปลงเป็นหน้าผีนับไม่ถ้วนกัดทึ้งซึ่งกันอยู่ที่ระดับเหนือศีรษะ หัวเราะไร้เสียง พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

อีกทั้งบนเงาของทุกตนยังแผ่ความเหี้ยมโหดดุร้าย ยิ่งแผ่ความหิวกระหายออกมา เมื่อสวี่ชิงได้สัมผัสกลิ่นอายที่พวกมันแผ่ออกมาก็ยิ่งระแวดระวังมากขึ้น

เขาคอยสังเกตร้านข้างทางระหว่างเคลื่อนไปข้างหน้าตอนนี้ มองหาของที่ตัวเองต้องการ

และทั้งถนนดูคึกคักมาก เงาผีสัญจรไปมา ทั้งนอกและในร้านค้าก็เช่นกัน แต่กลับเงียบกริบไร้สุ้มเสียง

สวี่ชิงเงียบไม่ส่งเสียงเช่นกัน เคลื่อนไปข้างหน้าก็ใช้วิธีลอย ตอนนี้สายตากำลังสำรวจมองร้านค้า จู่ๆ จิตใจของเขาก็สั่นไหวเล็กน้อย หันหน้ามองไปข้างหน้าอย่างเย็นชา

ข้างหน้าของเขามีผีหน้าสัตว์ที่ประคองคางของตัวเองเอาไว้ ทั่วทั้งร่างดำเน่าเฟะ เดินมาหาเขาท่ามกลางกลุ่มผี

กลิ่นอายเหี้ยมโหดแผ่ซ่านออกมาจากร่างแปลกประหลาด ดูท่าแล้วเหมือนจะชนสวี่ชิง

ดวงตาสวี่ชิงไม่มีระลอกคลื่นอารมณ์ใดๆ ไอพลังประหลาดตอนนี้ก็เข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง หมอกที่เกิดขึ้นยิ่งแผ่ซ่าน ในขณะที่พุ่งพล่านก็แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าผีเหี้ยมเกรียม พุ่งไปหาผู้มาเยือน แสยะยิ้ม ในดวงตาฉายความละโมบและความกระหายออกมา

ใบหน้าผีคือเจ้าเงาแปลงมา นับจากที่มาที่นี่มันก็อยากกัดกินมาโดยตลอด แต่สวี่ชิงไม่อนุญาต

ดังนั้นมันจึงทำได้เพียงควบคุมตัวเอง และตอนนี้ในเมื่อมีผู้มาปะทะหาตน ทำให้มันตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างยิ่ง

จึงไม่รอให้สวี่ชิงลงมือ เห็นผีหน้าสัตว์ตนนั้นมาด้วยจิตมุ่งร้าย ใบหน้าผีที่แปรเปลี่ยนมาจากหมอกก็พุ่งออกมาทันที อ้าปากมหึมากลืนอีกฝ่ายลงไปในคำเดียว

รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง เพียงพริบตาเดียวผีหน้าสัตว์ตนนั้นก็หายไปโดยไร้ร่องรอย

หมอกผีกลับไปอย่างพึงพอใจ

สวี่ชิงเงยหน้ามองเจ้าเงาในหมอกแวบหนึ่ง ไม่ได้สนใจ เคลื่อนไปข้างหน้าต่อ

ภาพนี้เป็นเพียงแค่ฉากเล็กๆ ฉากหนึ่งเท่านั้น เงาผีรอบๆ เห็นจนชินตา ไม่สนใจ

ก็เป็นเช่นนี้เอง สวี่ชิงเดินอยู่บนถนนนานมาก ในที่สุดก็หาร้านหนึ่งเจอ

ของที่ขายที่ร้านนี้เป็นพิษร้ายแรงต่างๆ

พิษประเภทนี้ไม่อาจจับต้องได้ คล้ายหมอกประเภทนั้น แล้วยังมีบางอย่างที่เป็นมายา ถูกผนึกเอาไว้ในหัวผีสีเขียวแต่ละหัว

ดังนั้นเมื่อมองไป ของในร้านล้วนเป็นหัวผีเล็กใหญ่มากมายลอยอยู่ แต่ละหัวกำลังยิ้ม

สวี่ชิงกวาดตามองไป หลังจากที่สำรวจอย่างละเอียดแล้วก็พอใจ

สิ่งที่เขาจะหาจากที่นี่ก็คือพิษที่ร้ายแรงเป็นอย่างยิ่งประเภทนี้

และพิษประเภทนี้ส่วนมากไม่สามารถจับต้องได้ อีกทั้งผู้มีชีวิตนอกเสียจากจะมีเคล็ดวิชาพิเศษ ไม่เช่นนั้นแล้วก็ยากจะเก็บเกี่ยว มีเพียงสิ่งประหลาดเท่านั้นที่สามารถสัมผัสได้

สวี่ชิงเงยหน้ามองเจ้าของร้าน

หน้าตาเจ้าของร้านเหมือนหมี ริมฝีปากแดงดุจชาด ดวงตาราวกระจก มีเขายาวที่หัว หลังมีปีกเนื้อสีเขียวคราม เมื่อกางออกมีขนาดจั้งกว่าๆ และมีหางเหมือนเสือดาว

มันก็กำลังสังเกตสวี่ชิงเช่นกัน และหลังจากสบตากับสวี่ชิงแล้ว ก็อ้าปากใหญ่เหี้ยมเกรียม เหมือนว่ากำลังยิ้มน้อยๆ

สวี่ชิงสงบนิ่ง มือขวายกขึ้นคว้า ทันใดนั้นในบรรดาหัวผีหลายร้อยหัวที่ลอยอยู่ในร้านก็ลอยมาอยู่ข้างหน้าสวี่ชิงกับเจ้าของร้านอย่างรวดเร็วสิบสามหัว

จากนั้นสวี่ชิงก็หยิบขวดใบเล็กออกมาใบหนึ่ง แล้วผลักมันไป

หางของเจ้าของร้านพุ่งมาพร้อมด้วยรอยเงา รัดขวดใบเล็กทันที ขวดใบเล็กแตกร้าวอย่างไร้เสียง ในขณะเดียวกับที่กลิ่นคาวคลุ้งกลุ่มหนึ่งแผ่ซ่าน ก็มีเลือดกลุ่มหนึ่งปรากฏออกมาด้วย

เลือดพวกนี้เป็นเลือดจากหัวใจของผู้บำเพ็ญกลุ่มนกเขาราตรี ขวดหนึ่งมีประมาณเจ็ดแปดร้อยหยด

ตอนนี้หางนั่นรัดมันเข้าไปในปากของเจ้าของร้าน ในขณะที่เจ้าของร้านเคี้ยวอย่างเคลิบเคลิ้มมีความสุข สวี่ชิงก็เห็นในเลือดจากหัวใจพวกนั้นมีเงาวิญญาณแต่ละร่างปรากฏขึ้น

เป็นผู้บำเพ็ญกลุ่มนกเขาราตรีทั้งหมด

ขณะที่เคี้ยวไม่หยุดนั้น เจ้าของร้านก็พยักหน้าอย่างพอใจ

สวี่ชิงไม่พูดพร่ำทำเพลงหอบม้วนหัวผีข้างหน้า เก็บลงไปในถุงเก็บของ หมุนตัวจากไป เดินต่อไปบนถนนผี ทะลุผ่านสิ่งประหลาดกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ระหว่างนั้นก็หยุดอยู่หน้าร้านหลายร้าน จับจ่ายซื้อของ

จนเมื่อหนึ่งคืนใกล้ผ่านพ้นไป สวี่ชิงหาอยู่นาน ในที่สุดก็หาของที่เขาต้องการสิ่งสุดท้ายเจอ

นั่นเป็นร้านที่เหมือนโรงเตี๊ยมร้านหนึ่ง

ในร้านนี้มีร่างมากมาย มีมนุษย์ มีสัตว์ มีต่างเผ่า มีเงามายา

ร่างเหล่านั้นล้วนถูกตะขอเหล็กแขวนไว้บนกำแพง อีกทั้งยังมีชีวิตทั้งหมด

ข้างล่างมีเทียนสีต่างๆ จุดอยู่เหมือนมีความลึกลับบางอย่าง ทำให้สิ่งมีชีวิตที่ถูกแขวนอยู่พวกนี้แผ่ระลอกคลื่นอารมณ์ต่างๆ ออกมา

บ้างเคลิบเคลิ้ม บ้างโกรธเคือง บ้างโศกเศร้า บ้างลิงโลด

เหมือนร่างเหล่านั้นอยู่ในห้วงความฝันภาพมายา กำลังใช้ชีวิตอยู่ในนั้น

สิ่งที่ดึงดูดสวี่ชิงไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ แต่เป็นเทียนที่อยู่ข้างล่าง

ของที่ร้านนี้ขายก็คือเทียนชนิดนี้

สำหรับของชิ้นนี้ ก่อนที่สวี่ชิงจะมาก็ได้เห็นในข้อมูลการซื้อของสำนัก รู้ว่าความจริงแล้วเป็นพิษประเภทหนึ่ง ชื่อยังเพราะมากอีกด้วย ชื่อว่าห้วงภวังค์สามภพ ราคาสูงลิ่ว

นี่เป็นเป้าหมายหลักในการมาที่นี่ของสวี่ชิง

ตอนนี้หลังจากที่เห็น เขาก็ไม่ลังเล หยิบขวดใบเล็กออกมาสี่ขวดวางไว้ข้างหน้าเจ้าของร้าน

เจ้าของร้านเป็นชายชราที่ดูแล้วนับว่าปกติคนหนึ่ง สวมชุดคลุมยาวสีเหลืองทั้งตัว เขามองขวดใบเล็กที่สวี่ชิงส่งมาพลางส่ายหน้า

ในเสี้ยวพริบตาที่เขาส่ายหน้า ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง เป็นเด็กหนุ่มหล่อเหลาก่อน จากนั้นก็กลายเป็นหญิงชราที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น จากนั้นก็เป็นเด็กน้อยซุกซน แปลกประหลาดยิ่งนัก

สวี่ชิงขมวดคิ้ว ขวดเลือดจากหัวใจในตัวเขามีเพียงแค่สิบเอ็ดขวดเท่านั้น ก่อนหน้านี้ใช้ไปแล้วห้าขวด

ดูจากข้อมูลและเอกสารที่เขาได้มาพวกนั้น จะซื้อห้วงภวังค์สามภพ สี่ขวดก็เพียงพอแล้ว

ดังนั้นหลังจากครุ่นคิด สวี่ชิงก็หยิบออกมาอีกขวดหนึ่ง วางไว้ข้างหน้าเจ้าของร้าน

เจ้าของร้านมองสวี่ชิงอย่างล้ำลึกแวบหนึ่ง ยังคงส่ายหน้าเช่นเดิม

ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ในหมอกของสวี่ชิงเคร่งเครียด หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก็หยิบขวดใบสุดท้ายออกมา

แต่เจ้าของร้านก็ยังคงส่ายหน้าเช่นเดิม เหมือนรู้ว่าสวี่ชิงเอาทุกอย่างที่มีออกมาแล้ว ดังนั้นใบหน้าที่เปลี่ยนแปลงหลายครั้งของเขาสุดท้ายแปรเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า หลังจากเป็นคนไร้หน้าก็ยกมือชี้มาที่หน้าของสวี่ชิง

สวี่ชิงนิ่งเงียบ

เขาคำนวณเวลา ตอนนี้ใกล้ฟ้าสางแล้ว แล้วนึกย้อนความจำว่าตลอดทางที่ตนเดินมา ร้านที่ขายเทียนมีเพียงร้านนี้ร้านเดียว

ดังนั้นเขาจึงก้าวขึ้นไปก้าวหนึ่ง ไฟชีวิตในร่างกะพริบวูบวาบ ตะเกียงแห่งชีวิตลุกโชน เหมือนมีโลกอีกใบกำลังลุกโชนเผาไหม้อยู่ข้างใน

พลังน่าครั่นคร้ามกลุ่มหนึ่งปะทุออกมาจากในตัวเขา ก่อเป็นคลื่นความร้อนร่วมกับเลือดลมมหาศาลของเคล็ดวิชาวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณ แผ่ซ่านไปรอบๆ

เจ้าของร้านไม่เป็นคนไร้หน้าอีกต่อไป แต่แปลงเป็นชายชราอย่างรวดเร็ว สีหน้ายิ่งเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก เห็นสวี่ชิงกำลังจะลงมือ เขาไม่ลังเลแม้แต่น้อย สะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้น เทียนข้างหลังก็พุ่งมาทันเจ็ดเล่มทันที ลอยอยู่ข้างหน้าสวี่ชิงทั้งหมด

จากนั้นเขาก็ถอยไปสามสี่ก้าว สีหน้าเผยแววประจบประแจง

สวี่ชิงขมวดคิ้ว เก็บเทียนลงไป แล้วเอาขวดเล็กหกใบนั้นไปด้วย หมุนตัวจากไปไกล

ระมัดระวังป้องกันมาตลอดทาง ขณะเดียวกันก็สังเกตการเปลี่ยนแปลงของท้องฟ้า

จากเอกสารที่เขาได้มา ย่านการค้าเมืองผีเมื่อเข้ามาแล้วจะไม่อาจออกไปได้ก่อนเวลา ต้องรอให้ในเสี้ยวพริบตาที่ฟ้าสว่าง เป่าขลุ่ย ถึงจะออกไปได้

ตอนนี้ท้องฟ้าใกล้สว่างแล้ว สวี่ชิงเดินอยู่บนถนน รอคอยเงียบๆ

ไม่นานนัก ปลายขอบฟ้าก็เริ่มสว่าง สวี่ชิงค้นพบทันทีว่าภูตผี สิ่งแปลกประหลาดทั้งหลายรอบๆ และเมืองแห่งนี้โปร่งแสงอย่างรวดเร็ว คล้ายว่าจะหายไป

แต่ในตอนนี้เอง ศีรษะพระขนาดมหึมาที่ลอยอยู่กลางอากาศ ถูกโซ่ที่เกิดจากแขนจำนวนนับไม่ถ้วนพันธนาการเอาไว้บนท้องฟ้าใจกลางเมืองผี ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น

ในดวงตาของมันแดงก่ำราวมีขุมนรกในนั้น ผีร้ายมหาศาลกำลังดิ้นรน สีหน้าน่าสังเวช กรีดร้องอย่างไร้เสียง

ภาพรวมทำให้คนรู้สึกปั่นป่วนไม่เป็นสุขมาก และทำให้สีหน้าของศีรษะพระศีรษะนี้ดูเหม่อลอย

ตอนนี้ศีรษะที่เหมือนชะงักค้าง ขยับอย่างชะงักช้าเนิบ แววตาปั่นป่วนก็ทำเหมือนเช่นเคย กวาดไปทั่วทั้งเมืองผีช่วงเวลาก่อนที่ฟ้าจะสาง

เมืองผีแห่งนี้ ในที่ต่างๆ มีเงาร่างสิบกว่าเงาที่ไม่ได้โปร่งแสง พวกเขาล้วนเป็นผู้บำเพ็ญที่มาทำการค้าแลกเปลี่ยนที่นี่ กำลังรอฟ้าสว่าง

ดวงตาทั้งสองของพระกวาดไปยังร่างของคนเหล่านี้ทีละคนๆ จากการขยับชะงักช้าเนิบของศีรษะ จนตอนที่มองมาทางสวี่ชิง จู่ๆ มันก็สั่นสะท้าน จมูกฟุดฟิด ดมกลิ่นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นในดวงตาก็วาววาบ

สวี่ชิงก็สังเกตได้เช่นกัน สีหน้าเปลี่ยนไปทันที ขณะเดียวกันนั้น ศีรษะพระก็พลันส่งเสียงประดุจอัสนีสวรรค์ท่วมท้นออกมา

“วิหคทอง! วิหคทองหลอมเผ่าของข้า!! วิหคทองทั้งหมดต้องตาย!!!”

ในชั่วขณะที่เสียงนี้ดังขึ้นมา ฟ้าก็สว่างแล้ว เมืองผีทั้งเมืองหยุดนิ่งทันที

และนี่เป็นเสียงเพียงเสียงเดียวที่สวี่ชิงได้ยินในคืนนี้

เสียงนี้มีพลังเกินหยั่ง หลังจากที่ดังขึ้นในหูสวี่ชิง เขาก็สั่นสะท้านไปทั้งร่าง จิตวิญญาณไม่เสถียรคล้ายจะแตกสลาย ดีที่ร่มดำจากตะเกียงแห่งชีวิตปรากฏขึ้นในร่างของเขาปกป้องจิตวิญญาณเอาไว้ นี่จึงทำให้สวี่ชิงฟื้นฟูกลับมา

เขาไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น หยิบขลุ่ยออกมาทันที แตะที่ริมฝีปากแล้วเป่า

เสียงแสบแก้วหูดังไปทั่วทุกสารทิศทันที ในขณะที่แผ่ระลอก ทุกสิ่งทุกอย่างรอบสวี่ชิงก็หายไปอย่างรวดเร็ว

เพียงแค่ชั่วอึดใจเดียว เงาร่างของสวี่ชิงก็ปรากฏตันขึ้นบริเวณต้นไม้สามต้นที่จัดวางก่อนหน้านี้ในป่า

ส่วนเมืองผี…ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว

ปลายขอบฟ้าไกลมีแสงพรายรุ้งลุกไหม้ ดวงอาทิตย์กล้ากำลังเชิดหน้า ประกายแสงสาดส่องไปทั่วทุกสารทิศ

ในขณะเดียวกัน ในที่ที่ห่างไกลจากสวี่ชิงมาก ในแดนต้องห้ามแห่งนี้เช่นกัน ที่นั่นก็มีเมืองแบบนี้

เพียงแต่เมืองแห่งนี้ไม่เหมือนกับเมืองผี มันมีอยู่จริง ไม่รู้ว่ากลายเป็นที่รกร้างไปเมื่อกี่ปีก่อน หลงเหลือมาจนถึงตอนนี้

ความมืดปกคลุม ยังคงเห็นซากปรักหักพัง ฝุ่นธุลีปกคลุมหนาแน่น

ทางทิศตะวันออกของเมืองร้างแห่งนี้ ราตรีมืดเหมือนฉากม่านผืนหนึ่งถูกท้องฟ้าเปิดขึ้นอย่างสุดแรง เผยให้เห็นศาลเจ้าแห่งหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในยามราตรีจากการปรากฏขึ้นของแสงอาทิตย์บนท้องฟ้าในตอนนี้

ข้างนอกศาลเจ้ามีเด็กหนุ่มหลายสิบคนนั่งขัดสมาธิ เสื้อผ้าอาภรณ์ต่างกัน ต่างระแวงระวังกันอย่างลึกๆ เห็นได้ชัดว่ามาจากคนละที่

ตอนนี้จากท้องฟ้าที่สว่างขึ้น สายตาของพวกเขาต่างแฝงความระแวดระวังและความยำเกรงไว้ จับจ้องไปในศาลเจ้า

ในศาลเจ้าแห่งนั้นมีเทวรูปถือดาบองค์หนึ่ง

ใต้เทวรูป ทั้งในศาลเจ้ามีคนเพียงคนเดียวนั่งขัดสมาธิอยู่

คนคนนี้สวมชุดคลุมยาวสีทอง ที่ศีรษะสวมกวานประดับหยก ใบหน้างดงามเกินปกติ สีหน้ากลับเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง ฉัตรที่เหนือศีรษะไม่ธรรมดา รัศมีอำนาจทั่วทั้งร่างสะท้านฟ้า

เป็นซิ่งอวิ๋นจื่อผู้ปราดเปรื่องนั่นเอง!

………………..

[1] 子时 ยามจื่อ ช่วงเวลาห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version