Skip to content

Outside Of Time 568

บทที่ 568 ความลับต้องประสงค์

สามวันต่อมา ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดบนฟากฟ้าก็สาดแสงสีแดงเจิดจ้าจากการที่วันเซ่นไหว้สิ้นสุดลง พุ่งหวีดหวิวไปไกล

รอบๆ หัวใจ อุกกาบาตน้อยใหญ่นับสิบติดตามซ้ายขวา เคลื่อนไปข้างหน้าพร้อมกัน

เหล่าเผ่าที่ยังไม่ออกจากหุบเขา สวมหน้ากากแบบเดียวกัน ทุกตนหมอบอยู่กับพื้น คารวะส่งอย่างนอบน้อม

และการจากไปของตำหนักเทพก็ทำให้พวกเขารู้สึกโล่งใจ ผ่านการเซ่นไหว้ครั้งนี้ อย่างน้อยในช่วงห้าปีพวกเขาก็ไม่ต้องขบคิดเรื่องเครื่องเซ่นไหว้แล้ว

ขณะที่ผ่อนลมหายใจ แต่ความจริงในใจทุกเผ่าล้วนหนักอึ้ง

เพราะหากคำนวณเวลา ก็เริ่มนับถอยหลังวันที่พระจันทร์สีชาดจะมาเยือนแล้ว

ตามปกติ การกลับมาของพระจันทร์สีชาดนั้นไม่มีกำหนดเวลาแน่นอน แต่มีลักษณะเด่นอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้คนสามารถประมาณการได้คร่าวๆ

นั่นก็คือความถี่การเก็บเกี่ยวเครื่องเซ่นไหว้ของตำหนักเทพ

ระยะเวลาที่เว้นช่วงส่งเครื่องสังเวยเปลี่ยนเป็นสามถึงห้าปีหนึ่งครั้ง ก็บ่งบอกว่าพระจันทร์สีชาด…จะปรากฏตัวได้ตลอดเวลา

ดังนั้นก่อนที่ชีวิตจะจบสิ้น ความโหดเหี้ยมอำมหิตหลายรูปแบบก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเมื่อถึงตอบจบก็คือความโกลาหลวุ่นวายถึงที่สุด ทุกเผ่าล้วนเกิดศึกสงคราม

เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง ไม่มีข้อยกเว้น

“แผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ใกล้จะกลายเป็นนรกแล้ว” บนหัวใจสีเลือด หญิงสาวชุดแดงยืนอยู่นอกตำหนักเทพ มองแผ่นดินใหญ่ไกล เอ่ยเสียงเรียบ

สวี่ชิงยืนอยู่ข้างกายนาง หันกลับไปมองหุบเขาไกลๆ ผ่านไปนานจึงถอนสายตากลับมา ก้มหน้ามองใต้เท้าตัวเอง

สามวันนี้ เขาตรวจสอบหัวใจที่ตำหนักเทพนี้ตั้งอยู่บ้างแล้ว

หัวใจนี้ประหลาดยิ่ง มันมีพลังชีวิต ทั้งยังกำลังเต้นอยู่ เสียงตึกตักนั่นยิ่งมีพลังสั่นสะเทือนจิตใจ

“ด้านนอกตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด ล้วนเป็นด้านบนอวัยวะบางอย่าง” เมื่อสังเกตเห็นสายตาของสวี่ชิง หญิงสาวชุดแดงก็ส่งเสียงเรียบออกมา

“ผู้อาวุโสทราบหรือไม่ขอรับว่าเป็นอวัยวะของผู้ใด” สวี่ชิงถาม

หญิงสาวชุดแดงส่ายศีรษะ

“ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยตรวจสอบเช่นกัน นี่ไม่ใช่เหล่าพี่น้องของข้า ขณะเดียวกันอวัยวะเหล่านี้ก็มีร่องรอยถูกบูชายัญมาก่อน

“ข้าถูกผนึกไว้นานเกินไป ไม่ค่อยรู้เรื่องโลกภายนอกมากนัก รับรู้ข้อมูลโลกภายนอกบางส่วนได้แค่จากการกินตัวตนของตำหนักเทพเหล่านี้

“แต่น่าเสียดาย ระดับของพวกเขาต่ำเกินไป จึงไม่รู้ว่านี่เป็นอวัยวะของผู้ใด”

สวี่ชิงพยักหน้า ตอนนี้เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดคลุมสีแดงแล้ว

นี่คือชุดคลุมบูชายัญของตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด ฐานะของเขานอกจากศิษย์สำนักบุปผาหยินหยางแล้ว ยังได้รับคุณสมบัติทาสเทวะด้วย

“ผู้อาวุโส ข้าเคยอ่านเรื่องศึกสงครามระหว่างบิดาท่านกับพระจันทร์สีชาดในพวกบันทึกโบราณมาก่อน ทั้งที่ราบสำนึกบาปก็มีตำนานมากมาย…” สวี่ชิงครุ่นคิด และถามสิ่งที่สงสัยที่ที่สุดในใจออกมา

เขาอยากรู้ที่มาที่แท้จริงของชื่อหมู่

หญิงสาวชุดแดงเงียบนิ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ

“ชื่อหมู่เคยตายไปแล้วครั้งหนึ่ง เป็นบิดาข้าที่สะกดสังหาร ระหว่างนี้จึงยังมีบุญคุณความแค้นอยู่

“ตอนที่นางกลับมาอีกครั้ง นางก็กลายเป็นเทพเจ้าไปแล้ว ตอนนั้นข้าได้ยินท่านพ่อกล่าววว่า องค์ท่านกลับมาจากเขตแดนต้องประสงค์”

เมื่อหญิงสาวชุดแดงกล่าวสองประโยคนี้ออกมา จู่ๆ บนท้องฟ้าก็มีเสียงอัสนีฟาดผ่า พาดผ่านเส้นขอบฟ้า ครืนครันไปทั่วทิศ

ในใจสวี่ชิงโหมระลอกคลื่นลูกมหึมากระหน่ำซัด นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้เรื่องชื่อหมู่ จึงอดเอ่ยมาไม่ได้

“ชื่อหมู่เคยไม่ใช่เทพเจ้ามาก่อนหรือขอรับ แล้วเขตแดนต้องประสงค์คืออันใด”

หญิงสาวชุดแดงไม่ตอบกลับมาทันที แต่เงยหน้ามองท้องฟ้า แววตาฉายประกายประหลาด จากนั้นก็มองสวี่ชิง หลังจากครุ่นคิดก็กล่าวออกมา

“เทพเจ้า มีทั้งเทพที่เป็นมาแต่กำเนิด มีทั้งฝึกบำเพ็ญจนกลายเป็นเทพ มีทั้งมาจากนอกพิภพ มีทั้งมาจากส่วนลึกของแผ่นดินใหญ่”

เมื่อกล่าวออกมา เสียงอัสนีฟาดผ่าก็ดังขึ้นอีกครั้ง สั่นสะเทือนไปทั้งแปดทิศ

สวี่ชิงสัมผัสได้ว่าที่เส้นขอบฟ้ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล และรอบด้านตอนนี้ก็มีปราณหมอกปรากฏขึ้นส่วนหนึ่ง จู่ๆ ก็กลายเป็นพายุขนาดใหญ่ จากนั้นสายฝนโหมกระหน่ำ ยิ่งมีหิมะตกที่ไกลๆ ด้วย

การเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินเหล่านี้ปรากฏขึ้นพร้อมกัน ทำให้สวี่ชิงนึกถึงกฎเกณฑ์วิถีสวรรค์

“เจ้ายังกล้าฟังต่อหรือไม่”

หญิงสาวชุดแดงมองสวี่ชิงอย่างล้ำลึก

สวี่ชิงมองท้องฟ้า สัมผัสอสูรสมุทรบรรพการที่กำลังฟื้นฟูหลังจากร่างแยกแตกสลายในร่างกายช้าๆ ครู่หนึ่ง ระลึกถึงภาพของต้นสิบลำไส้ จึงพยักหน้าตอบรับ

“ในเมื่อยังกล้าฟังต่อ…เอาเถอะ ข้าจะดูว่าเจ้าจะฟังได้มากเพียงใด”

หญิงสาวชุดแดงยิ้ม เอ่ยต่อว่า

“ประวัติศาสตร์ที่มีอยู่ในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ถูกจักรพรรดิโบราณที่รวมแผ่นดินต้องประสงค์เป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ลบทิ้งไปจนหมด ดังนั้นคนที่รู้จึงมีน้อยมาก และที่นั่น…ในโบราณกาล ถูกเรียกขานว่านภาจรัสมาโดยตลอด

“มีตำนานเล่าว่า อันที่จริงเผ่าต่างๆ ในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ช่วงแรกเริ่มล้วนมาจากที่นั่น

“จนกระทั่งจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวเรียกมันว่าเขตแดน”

บนท้องฟ้าส่งเสียงรุนแรงยิ่งขึ้น ความว่างเปล่ารอบๆ บิดเบี้ยวในพริบตา แรงกดดันน่าครั่นคร้ามวูบหนึ่งแผ่ออกมาจากฟ้าดิน ไม่ว่าจะท้องฟ้าหรือภูเขาแม่น้ำ พริบตานี้มีเจตจำนงพวยพุ่งขึ้นมา

ท่ามกลางเจตจำนงยิ่งใหญ่นี้ สีหน้าสวี่ชิงเปลี่ยนเป็นซีดขาว ใจสั่นสะท้านสะเทือน การเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินเช่นนี้ คล้ายกำลังบอกกับสวี่ชิงว่า คำพูดเหล่านี้เป็นสิ่งต้องห้ามของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์

วิถีสวรรค์ทั้งหมดของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ไม่อนุญาตให้ถ่ายทอดเรื่องนี้

“น่าสนใจ ได้ยินคำพูดเหล่านี้ วิถีสวรรค์กลับยังไม่แผ่พลังสะกดให้เงียบและลืมเลือนเลย เจ้าหนู ท่าทางวิถีสวรรค์จะเอ็นดูเจ้ามาก”

สายตาหญิงสาวชุดแดงฉายแววแปลกประหลาด ประเมินสวี่ชิงอย่างละเอียด

สวี่ชิงพยายามสุขุมเยือกเย็น แต่เจตจำนงที่มาจากรอบด้าน ยังทำให้เขารู้สึกอกสั่นขวัญแขวน

“เช่นนั้นข้าจะบอกความลับกับเจ้าอีกเรื่อง อันที่จริงเทพเจ้าทุกองค์ เป้าหมายสุดท้ายของพวกเขา…” หญิงสาวชุดแดงเผยความรู้สึกสนใจออกมาแล้วกล่าวต่อ

เสียงของนางสะท้อนก้อง ทว่าสวี่ชิงกลับหดม่านตาลง เพราะเขาไม่ได้ยินเลย

เสียงรอบๆ ยังคงปกติ มีเพียงคำพูดของหญิงสาวชุดแดง ที่เขาไม่ได้ยินเลยแม้แต่น้อย

หญิงสาวชุดแดงสังเกตเห็นภาพนี้ จึงไม่กล่าวต่อ

จนผ่านไปครึ่งชั่วยาม สวี่ชิงถึงฟื้นฟูกลับมาด้วยใจที่หวาดผวา

แต่ละวันก็ผ่านไปเช่นนี้ ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดทะยานไปทางเหนือมาตลอดด้วยความเร็วที่น่าตกตะลึง

ระหว่างนี้ สวี่ชิงก็ลองถามอยู่หลายครั้ง แม้ว่าในช่วงเวลาสำคัญเขาก็จะไม่ได้ยิน แต่การทดสอบนี้ เขาก็ได้รู้ความลับมาบ้างเล็กน้อย

ในนี้รวมถึงระดับที่เหนือกว่าเตรียมสู่เทวะอีกด้วย

‘เพลิงเทวะ…’ สวี่ชิงพึมพำในใจ เขารู้แค่คำเรียกนี้ ส่วนรายละเอียด เขาไม่ได้ยิน

หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน จากการเดินทาง พื้นดินก็กลายเป็นสีขาว สายลมที่พัดมาก็เย็นขึ้นเรื่อยๆ

ธารน้ำแข็งนิรันดร์ทางเหนือ ปรากฏขึ้นในครรลองสายตาของสวี่ชิง

พื้นที่ทางเหนือทั้งหมดเกิดขึ้นจากธารน้ำแข็ง ที่นี่ไม่มีดิน มีเพียงน้ำแข็งหนาๆ ปกคลุมทุกสิ่งไว้ในส่วนลึก

ยอดเขาที่ตั้งตระหง่านก็เป็นน้ำแข็ง ทำให้ที่นี่เปี่ยมไปด้วยความโรยรา มีสิ่งมีชีวิตอยู่น้อยมาก

“พวกเรามาถึงแล้ว เจ้าหนู ตามข้ามา”

บนท้องฟ้าธารน้ำแข็งทางเหนือ ดวงตาหญิงสาวชุดแดงฉายแววระลึกย้อนความทรงจำ น้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย เดินไปเบื้องหน้า

สวี่ชิงติดตามอยู่ด้านหลัง

ส่วนตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดก็ไม่หยุดที่นี่ มันเปลี่ยนทิศทางหวีดหวิวไปไกล

สวี่ชิงหันกลับไปมอง

“ในที่แห่งนั้นมีของกำนัลชิ้นหนึ่งที่ข้ามอบให้กับสหายเก่าตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด มันจะพาไป”

หญิงสาวชุดแดงเอ่ยเสียงราบเรียบ เดินไปบนธารน้ำแข็ง เดินพลางสัมผัส ราวกับกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง

สวี่ชิงไม่พูดไม่จา ตามไปเงียบๆ

ทั้งสองเดินอยู่ท่ามกลางสายลมหนาวเหน็บหลายวัน ในที่สุดสวี่ชิงก็ได้เห็นสำนักแห่งหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่บนธารน้ำแข็ง ขนาดไม่เล็ก เห็นร่างของศิษย์ไม่น้อยเข้าๆ ออกๆ

“นั่นคือเผ่าเงารัตติกาล พึ่งพาอาศัยตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด เผ่านี้เคยสร้างคุณความดีกับชื่อหมู่ จึงอนุญาตให้พวกเขาส่งคนในเผ่ารุ่นแล้วรุ่นเล่าเข้ามาเป็นองครักษ์ของตำหนักเทพ”

สีหน้าหญิงสาวชุดแดงฉายแววเย้ยหยัน ไม่พูดอะไรมาก พาสวี่ชิงไปยังสำนักนี้

การมาถึงของพวกเขา สำนักนี้ไม่ได้สังเกตเห็นแต่อย่างใด การรับรู้ของพวกเขาได้รับผลกระทบ ในสายตาพวกเขา สวี่ชิงกับหญิงสาวชุดแดงนั้นไม่มีตัวตน

เดินมาถึงด้านในเผ่าเงารัตติกาล สวี่ชิงรู้สึกสงสัย เขาไม่เข้าใจว่าทำไมสำนักนี้จึงกลายเป็นชนเผ่าหนึ่งจากคำบอกเล่าของหญิงสาวชุดแดง

จากที่เขาเห็น ศิษย์สำนักนี้มีอยู่หลายเผ่าพันธุ์ ไม่ใช่เป็นเผ่าเดียวกัน

แต่หญิงสาวชุดแดงไม่พูดอะไร สวี่ชิงก็ไม่ถามอีก ทั้งสองเดินเข้าไปในส่วนลึกของสำนักนี้ ที่นั่น บนธารน้ำแข็งมีรอยแยกขนาดยักษ์รอยหนึ่ง

ด้านนอกรอยแยกนี้ หญิงสาวชุดแดงหลับตาลงสัมผัส

“ที่นี่แหละ”

สีหน้านางเศร้าโศกเล็กน้อย เดินเข้าไปในรอยแยก

สวี่ชิงก้มหน้ามอง ครุ่นคิดแล้วเดินตามเข้าไป

ลมหนาวเย็นพัดเข้ามาจากใต้รอยแยก ที่หนาวเย็นไม่ใช่แค่กายเนื้อ จิตวิญญาณก็เช่นกัน และยิ่งลึกลงไป ความหนาวเย็นของที่นี่ก็ยิ่งรุนแรงขึ้น

กระทั่งทั้งสองลงไปไม่รู้ว่าลึกเท่าไร ตอนที่เส้นผมของสวี่ชิงรวมถึงขนคิ้วกลายเป็นสีขาว พวกเขาก็มาถึงก้นรอยแยก

ที่นี่เป็นถ้ำน้ำแข็งขนาดยักษ์ ราวกับเป็นโลกใบเล็ก ท้องฟ้าแทนที่ด้วยชั้นน้ำแข็ง พื้นก็กว้างใหญ่ไร้จุดสิ้นสุด

ที่ไกลๆ สวี่ชิงเห็นทะเลสาบใต้ดินผืนหนึ่ง

น้ำในทะเลสาบนี้แปลกประหลาดอย่างเห็นได้ชัด ในที่เช่นนี้กลับไม่แข็งเป็นน้ำแข็ง บนนั้นหมอกน้ำคละคลุ้งลอยอวล มองไกลๆ ดูคลุมเครือไม่ชัดเจนอย่างยิ่ง

ในความคลุมเครือนี้ สวี่ชิงมองเห็นศิษย์ของเผ่าเงารัตติกาลไม่น้อย

ศิษย์เหล่านั้นเคลื่อนย้ายโลงศพผลึกวารีทีละใบลงมาจากด้านบน วางเรียงพวกมันไว้ที่ริมฝั่ง

และหลังจากที่ย้ายโลงศพเหล่านี้มา ศิษย์เหล่านั้นก็จากไปทันที

ส่วนในโลงศพ สวี่ชิงกวาดมองจากที่ไกลๆ คล้ายเห็นว่ามีร่างหลายร่างนอนอยู่ด้านใน ดูจากชุดแล้วก็ล้วนเป็นศิษย์ของสำนักนี้ทั้งสิ้น

ภาพนี้ทำให้สวี่ชิงรู้สึกประหลาดใจมาก ขณะที่กำลังสังเกตอย่างละเอียด จู่ๆ ทะเลสาบก็ตีเกลียวหลั่งทะลัก แถบแสงมายาที่เปล่งแสงรุ้งออกมาหลายสายก็ส่องออกมาจากด้านในราวกับรยางค์ โอบล้อมโลงศพ

รยางค์สีรุ้งทุกสาย ล้อมพันโลงศพใบหนึ่ง ลากลงไปในทะเลสาบ

ไม่นานนัก โลงศพที่นี่ทั้งหมดก็ค่อยๆ จมหายไปในทะเลสาบ และทะเลสาบก็ค่อยๆ สงบลง

“ถ้ามองเผ่าเงารัตติกาลอย่างผิวเผินคือสำนักสำนักหนึ่ง ในสำนักมีหลายเผ่าพันธุ์ แต่มีเพียงผู้ที่กลายเป็นเผ่าของพวกเขาจริงๆ เท่านั้น ที่กลายเป็นองครักษ์ของตำหนักเทพได้

“ส่วนผู้ไม่ได้กลายเป็นคนในเผ่าล้วนเป็นอาหารทั้งสิ้น”

“หากอยากกลายเป็นคนในเผ่าพวกเขา ก็ต้องผ่านพิธีกรรมหนึ่ง เมื่อครู่เจ้าก็ได้เห็นพิธีกรรมที่ว่า ศิษย์เหล่านั้นจะถูกส่งเข้าในยังสถานที่พิเศษแห่งหนึ่ง ถ้ามีชีวิตรอดมาจากในนั้น ก็ถือว่าสำเร็จ

“เพราะที่รอดออกมา จะไม่ใช่พวกเขาอีกต่อไปแล้ว”

หญิงชุดแดงเอ่ยอย่างสงบนิ่ง

“สิงร่าง?” สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด

“บรรพจารย์ของเผ่าเงารัตติกาลเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเสด็จพ่อข้า ตอนที่ชื่อหมู่จุติ เขาเลือกทรยศ ถูกเสด็จพ่อสะกดสังหาร โลกใบใหญ่ที่ครอบครองพังทลาย แตกเป็นเสี่ยงๆ ส่วนใหญ่ถูกทำลายล้าง สรรพชีวิตด้านในล้มตายดับสูญ

“ชิ้นส่วนหนึ่งในนั้นร่วงหล่นลงมาที่นี่

“ชื่อหมู่เห็นความดีของเขา จึงอวยพรให้คนในเผ่าที่ตายในชิ้นส่วนโลกชิ้นนี้สามารถรักษาเศษเสี้ยววิญญาณเอาไว้ได้ เผ่าเงารัตติกาลจึงปรากฏขึ้น”

เมื่อสวี่ชิงได้ยินก็หันหน้าไปมองทะเลสาบอีกครั้ง เขารู้ดีว่าการถูกเจ้าเหนือหัวสะกดสังหารด้วยตนเองได้ ทั้งโลกใบใหญ่ก็พังทลาย อธิบายได้ว่าบรรพจารย์เผ่าเงารัตติกาลตนนั้นมีพลังบำเพ็ญคือเตรียมสู่เทวะ

“ไปกันเถอะ ที่ที่พวกเราจะไป ยังไม่ใช่ที่นี่”

หญิงสาวชุดแดงมองทะเลสาบ ในดวงตาเกิดระลอกคลื่นขึ้นเล็กน้อย หันหลังเดินไปยังส่วนลึกของถ้ำน้ำแข็ง

สวี่ชิงสังเกตเห็นความนัยที่แฝงในคำพูดของอีกฝ่าย ไม่ถามอะไรมาก เดินตามไปด้านหลัง ไกลออกไปเรื่อยๆ

ทว่าเนื่องจากรยางค์สีรุ้งในทะเลสาบก่อนหน้านั้นกระชากเร็วเกินไป โลงศพที่มีจำนวนมาก ประกอบกับสายตาและสัมผัสรับรู้ในระดับหนึ่งถูกปิดกั้น สวี่ชิงจึงไม่ทันสังเกตว่าในโลงศพใบหนึ่ง มีร่างที่เขาคุ้นเคยร่างหนึ่งนอนอยู่

ตอนนี้ ใต้ทะเลสาบนั่น จู่ๆ ศพร่างหนึ่งที่นอนอยู่ในบรรดาโลงศพที่มีนับร้อยใบก็ขยับตัว ดวงตาทั้งคู่ค่อยๆ ลืมขึ้น กวาดตามองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว

หลังจากสังเกตเห็นน้ำทะเลสาบด้านนอก สีหน้าคนผู้นี้ก็เผยความลำพองใจออกมา จากนั้นก็มองรยางค์สีรุ้งที่ดึงโลงศพอย่างรวดเร็ว สายตาลำพองใจก็ยิ่งเข้มข้น

‘จากนั้นเข้าไปด้านในโลกใบเล็กของเผ่านี้ ข้าก็สามารถเริ่มแผนการได้แล้ว

‘ไม่รู้ว่าตอนนี้อาชิงน้อยเป็นอย่างไรบ้าง คิดแล้วคงจะไม่ได้มีชีวิตชีวาและเร้าใจเท่าข้าหรอก เขาน่าจะรอข้าอยู่ที่เขาวัวสวรรค์มิรู้สิ้นกระมัง…’

ศพร่างนี้ คือนายกองนั่นเอง

‘อาชิงน้อยเอ๋ย ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้ไปสายหรอก ไม่มีทางเลือก เพื่อการใหญ่ของพวกเรา เจ้าก็รอที่นั่นอีกสักหน่อยแล้วกัน ใครให้เจ้าไม่ตามข้ามาเล่า’

ขณะที่ในใจนายกองไม่ยอมแพ้ โลงศพสั่นสะเทือน เขารีบปิดตาลง แสร้งตายต่อไป

ขณะเดียวกัน ใต้ธารน้ำแข็งที่ไกลจากทะเลสาบ หญิงสาวชุดแดงเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมาถึงนางก็โบกมือดึงสวี่ชิงให้ไปเดินด้านหน้า

ความเร็วของนางน่าครั่นคร้ามยิ่ง หลังผ่านไปเจ็ดแปดชั่วยาม ก็พาสวี่ชิงมายังส่วนลึกสุดของธารน้ำแข็งแห่งนี้

กลิ่นอายเย็นเยียบที่นี่เข้มข้นถึงขีดสุด ยิ่งแผ่ซ่านพลังผนึกต้องห้ามพระจันทร์สีชาดอกมาเป็นระลอก

เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังผนึกต้องห้าม ดวงตาสวี่ชิงก็หรี่ลง เขารู้ว่าถึงที่หมายแล้ว

ก็เป็นเช่นนี้จริงๆ ไม่นานนักหญิงสาวชุดแดงก็หยุดยืนอยู่บนชั้นน้ำแข็ง ก้มหน้ามองเบื้องล่าง สีหน้าฉายแววโศกสลด

ความโศกเศร้านี้เข้มข้นยิ่ง ส่งผลกระทบไปรอบด้าน ทำให้ที่นี่คล้ายมีเสียงร้องไห้ดังก้องเลาๆ

สีหน้าสวี่ชิงเคร่งขรึม นึกถึงจุดประสงค์ที่อีกฝ่ายเคยพูดไว้ตอนอยู่ที่ตะวันออกก่อนหน้านี้ จึงมองตามสายตาของหญิงสาวชุดแดงลงไปยังชั้นน้ำแข็งใต้เท้า เมื่อมองลงไป เขาก็เพ่งสมาธิ

ที่แห่งนี้ขมุกขมัว ด้านในธารน้ำแข็งก็เป็นเช่นนี้ สิ่งที่อยู่ในครรลองสายตาสวี่ชิงจึงเป็นความมืดมิด แต่เขาก็สัมผัสได้รางๆ ว่าด้านล่างคล้ายจะมีสิ่งของขนาดมหึมาอยู่

“เจ้าอยากเห็นหรือไม่”

ครู่ต่อมา หญิงสาวชุดแดงก็เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา ทั้งๆ ที่เป็นคำถาม แต่นางกลับไม่ให้สวี่ชิงตอบ ระหว่างที่เอ่ย นางก็ยกมือขึ้นโบกเบาๆ

ฉับพลันในธารน้ำแข็งรอบๆ ก็มีแสงหิ่งห้อยนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น

แสงหิ่งห้อยเพียงตัวเดียวริบหรี่มาก แต่หลังจากที่มีจำนวนมากขึ้น พื้นที่รอบๆ จึงสว่างไสวไปหมด

ด้วยแสงที่กระจัดกระจาย สวี่ชิงจึงเห็นทิวทัศน์ใต้ธารน้ำแข็ง ในใจโหมระลอกคลื่น

ใต้ธารน้ำแข็ง มีศพร่างหนึ่งนอนอยู่

ศพร่างนี้ขนาดราวหมื่นจั้ง ถูกผนึกอยู่ในชั้นน้ำแข็ง สวมชุดเกราะสงครามสีน้ำตาลทั้งตัว

ต่อให้ตายไปนานมากแล้ว แต่เสี้ยวพริบตาที่สวี่ชิงมองเห็น ปราณพิฆาตจากร่างเขาก็ยังทะลวงเข้าไปในสมอง กลายเป็นเสียงคำรามอย่างโกรธแค้น

สวี่ชิงร่างสั่นเทิ้ม ถอยหลังไปหลายก้าว สะกดระลอกคลื่นในใจ แล้วเพ่งมองอย่างละเอียด

ศพร่างนี้เป็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง ใบหน้าห้าวหาญ หล่อเหลาอย่างยิ่ง โดยเฉพาะคิ้วคมราวกระบี่ เปี่ยมไปด้วยความองอาจผึ่งผาย

เพียงแต่กลางหน้าผากมีตะปูสีดำขนาดยักษ์ตัวหนึ่งแทงทะลุศีรษะ เลือดสดแข็งตัวอยู่บนแก้ม ทำให้สีหน้าเขาเปี่ยมไปด้วยความโหดเหี้ยม

ส่วนร่างกายของเขาน่าสยดสยองยิ่งกว่า แห้งเหี่ยวไปแล้วเกินครึ่ง เห็นส่วนที่ยังไม่แห้งเหี่ยวหลายจุดมีปราณเลือดกระจายออกมา

ปราณเลือดที่แฝงไว้ด้วยความตายเหล่านี้ กระจายไปใต้ธารน้ำแข็งไม่รู้ว่ารวมตัวในจุดที่ไกลออกไปที่ใด

ภาพนี้ ทำให้สวี่ชิงคาดเดาอยู่ในใจมากมาย มองหญิงสาวชุดแดงที่สีหน้าโศกเศร้าข้างๆ

“นี่คือน้องสามของข้า ตอนเขายังเด็กชอบติดตามข้าเป็นพิเศษ ข้าในฐานะที่เป็นรัฐทายาท ต้องช่วยท่านพ่อจัดการงานราชการ ราชกิจรัดตัว หากข้าเดินไปที่ใด เขาก็จะเดินตามด้านหลังต้อยๆ บางครั้งข้าก็รำคาญแล้วทิ้งเขาไว้ เขาก็จะร้องไห้พร้อมร้องเรียกว่าท่านพี่…

“นิสัยเขาค่อนข้างหุนหันพลันแล่น เข้ากับน้องเก้าของข้าไม่ได้ ทั้งสองคนชอบทะเลาะกันบ่อยๆ…

“และทุกครั้งข้า ก็จะลำเอียงเข้าข้างเจ้าเก้า”

หญิงสาวชุดแดงเอ่ยเสียงแผ่วเบา

สวี่ชิงเงียบนิ่ง เขาสัมผัสได้ว่าความโศกเศร้ารอบๆ เข้มข้นขึ้น

“ตะปูที่หน้าผากคืออาวุธของเสด็จพ่อ น้องสี่ของข้าตอกมันลงไปที่กลางหน้าผากเขา

“เจ้ารู้หรือไม่ เดิมน้องสี่จะจัดการข้า แต่น้องสามยอมตายแทนข้า”

หญิงสาวชุดแดงกล่าวถึงตรงนี้ก็คลี่ยิ้ม เสียงก้องสะท้อน

“เจ้าหนู ข้ายังไม่ได้แนะนำน้องสี่คนนั้นของข้ากับเจ้าเลย เขาอาศัยเรื่องตอนที่ชื่อหมู่มาเยือนแสดงความภักดี ตอนนี้โด่งดังเลื่องชื่อมาก กลายเป็นบุตรเทวะของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราไปแล้ว”

เมื่อสวี่ชิงฟังถึงตรงนี้ก็พลันใจสั่นสะท้าน เขารู้ว่าที่ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรามีบุตรเทวะอยู่ และเดาไว้ว่าอีกฝ่ายต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าที่มาของบุตรเทวะตนนี้จะเป็นเช่นนี้

บุตรชายคนที่สี่ของเจ้าเหนือหัวในตอนนั้น คือบุตรเทวะพระจันทร์สีชาดในตอนนี้!

“หลายปีที่ผ่านมา คนที่คอยป้อนอาหารพวกเราก็คือเขา” หญิงสาวชุดแดงยิ้มออกมา

“เขากังวลว่าพวกเราพี่น้องจะตายเร็วเกินไป จึงเอาประชาชนมาให้พวกเรากิน เมื่อก่อน บางครั้งเขายังเอาใจใส่ขั้นเฉือนเนื้อของพวกเราแลกเปลี่ยนกันกิน

“ต่อมา เขาก็ไม่ค่อยปรากฏตัวออกมาแล้ว

“ดังนั้นเจ้าดูสิ เขาดีกับพวกเราพี่น้องเพียงใด”

หญิงสาวชุดแดงกัดฟัน แววตาเผยจิตสังหารรุนแรง

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าปราณเลือดของน้องสามไปที่ใด

“อีกประเดี๋ยวเจ้าก็จะรู้แล้ว”

สวี่ชิงเงียบนิ่ง เขาไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ทำได้เพียงถอนหายใจ

เขาได้ฟังเรื่องราวมากมายระหว่างที่เดินทางกับอีกฝ่ายตลอดทาง ก็พลันเข้าใจเรื่องราวในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรามากขึ้น

แต่ยิ่งเข้าใจ เขาก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงแรงกดดันของทุกสรรพชีวิตบนแผ่นดินใหญ่ผืนนี้

“เจ้าหนูน้อย ช่วยข้าเปิดช่องโหว่ผนึกต้องห้ามพระจันทร์สีชาดของที่นี่ที แค่รอยเล็กๆ ก็พอ” หญิงสาวชุดแดงมองสวี่ชิง สีหน้ากลายเป็นราบเรียบ

สวี่ชิงพยักหน้า นั่งลงขัดสมาธิกระตุ้นปราณก่อกำเนิดพระจันทร์สีม่วงในร่างกาย ชั่วพริบตาคลื่นพลังพระจันทร์สีชาดรอบๆ ก็รุนแรงขึ้น พลังผนึกต้องห้ามพลันปะทุ รอบๆ ปรากฏเส้นใยสีแดงออกมา

เส้นใยเหล่านี้แผ่ขยายไปรอบทิศกลายเป็นตาข่ายขนาดยักษ์ ปกคลุมทุกสิ่ง ไม่นานนักเส้นใยเส้นบางส่วนในนี้ก็เปลี่ยนสีไป แผ่เจตจำนงสีม่วงออกมา

จนกระทั่งตอนที่กลายเป็นสีม่วงทั้งหมด ผนึกต้องห้ามพระจันทร์สีชาดที่นี่ก็พลันหยุดชะงัก เริ่มหมุนช้าๆ

สวี่ชิงหายใจหอบถี่ สำหรับเขา นำผนึกต้องห้ามที่นี่มาใช้ไม่ยาก แต่หากจะเปิดช่องโหว่นั้นยากไม่น้อย

ดังนั้นสิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้ คือสูดรับพลังพระจันทร์สีชาดที่นี่ ทำให้ผนึกต้องห้ามเบาบางลง จากนั้นก็ใช้อำนาจพระจันทร์สีม่วงของตนเอง ฝืนเปิดช่องโหว่เล็กน้อย

นี่คือขีดจำกัดของเขาในตอนนี้

เวลาผ่านไปช้าๆ ไม่นานก็ล่วงเลยไปสามวัน

ในสามวันนี้ สวี่ชิงสูดรับและผสานอย่างต่อเนื่อง จนถึงช่วงสายัณห์ของวันที่สาม เขาก็มาถึงระดับสูงสุดที่ร่างกายตนเองจะแบกรับไหว ลืมตาขึ้นฉับพลัน ยกมือขวาขึ้น กดลงไปที่ชั้นน้ำแข็งเบื้องล่าง

ผนึกต้องห้ามพระจันทร์สีชาดรอบๆ ตีเกลียวฉับพลัน กลายเป็นคลื่นวนวงหนึ่ง

แทบจะพริบตาที่คลื่นวนปรากฏขึ้น ร่างของหญิงสาวชุดแดงก็เลือนราง สลายหายไปในพริบตา กลายเป็นปราณหมอกสีน้ำเงินดวงหนึ่ง เห็นได้รางๆ ว่ามีเศษเสี้ยววิญญาณดวงหนึ่งอยู่ในปราณหมอก

รูปร่างของวิญญาณนี้เป็นชายหนุ่ม คล้ายคลึงกับชายหนุ่มใต้ธารน้ำแข็ง แต่น่าเกรงขามยิ่งกว่า ตอนนี้ลอยไปที่คลื่นวนอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาก็ลองพุ่งผสานเข้าไปภายใน

ผนึกต้องห้ามพระจันทร์สีชาดปะทุอย่างรุนแรง กลายเป็นการสกัดกั้น สวี่ชิงควบคุมไว้อย่างสุดกำลัง ความรู้สึกเหมือนลูกม้าตัวน้อยลากรถคันใหญ่เช่นนั้น ทำให้เขารู้สึกประหนึ่งวิญญาณถูกฉีกกระชาก ปราณก่อกำเนิดพระจันทร์สีม่วงสั่นสะท้าน สีหน้าทุกข์ทรมาน

นี่เพียงผสานเศษเสี้ยววิญญาณจากภายนอกสู่ภายใน นึกภาพออกเลยว่าหากที่ผสานไม่ใช่แค่เศษเสี้ยววิญญาณ หากผสานจากภายในสู่ภายนอก เช่นนั้นต่อให้สวี่ชิงทุ่มกำลังทั้งหมด คงไม่อาจทำให้อีกฝ่ายผสานได้สำเร็จ

แม้ขณะนี้สวี่ชิงจะทำอะไรได้ไม่มาก

แต่ตัวตนในโลงศพนั่น มั่นใจได้ว่าหลังจากที่เขาหลบหนีออกมาได้แล้วจะเลือกที่นี่ทันที

ตอนนี้วิญญาณของเขาเปล่งแสงสีน้ำเงินวูบวาบ เลือกที่จะแผดเผาแลกกับพลังถึงขีดสุด ใช้คลื่นวนที่สวี่ชิงสร้างขึ้น พุ่งทะลวงเข้าไป

ขณะที่ครืนครัน สวี่ชิงกระอักเลือดออกมาเจ็ดแปดครั้ง ปราณก่อกำเนิดพระจันทร์สีม่วงก็หม่นหมองลง ส่วนเศษเสี้ยววิญญาณของชายหนุ่มคนนั้น ในที่สุดก็ทำลายผนึกต้องห้ามได้กลายเป็นช่องโหว่เล็กๆ ทางหนึ่ง จากนั้นก็ผสานเข้าไป

หลังจากเข้าไปในผนึกต้องห้าม เศษเสี้ยววิญญาณนี้ก็สลายหายไปอย่างเห็นได้ด้วยตาเนื้อ คล้ายจะอดทนได้ไม่นานนัก เขาไม่ลังเลแม้แต่น้อย ตรงไปยังตะปูที่ตอกอยู่หน้าผากของน้องสามทันที

ก่อนจะสลายไปทั้งหมด ก็ผสานเข้าไปด้านในหายวับไป

สวี่ชิงเช็ดเลือดที่มุมปาก ถอยออกมาเล็กน้อย นั่งขัดสมาธิปรับลมหายใจ เขาทำเต็มที่แล้ว แผนการของอีกฝ่ายจะสำเร็จหรือไม่ ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดคะเนได้

ขณะเดียวกัน ใต้ทะเลสาบแห่งนั้นที่ไกลจากที่นี่ หลายวันหลังจากที่โลงศพนับร้อยใบถูกรยางค์สีรุ้งดึงลงไป ในที่สุดก็ลงมาถึงก้นบึ้งทะเลสาบ

ที่นั่นมีคลื่นวนคลื่นหนึ่งอยู่ ด้านในแผ่คลื่นพลังที่แฝงความละโมบและอารมณ์ปรารถนาเอาไว้

โลงศพเหล่านี้ถูกมันดึงดูดเข้าไปในคลื่นวน

เข้าไปในโลกแปลกประหลาดใบหนึ่ง

นายกองที่นอนอยู่ในโลงศพหนึ่งในนั้น ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ฉายแววคาดหวังออกมา

“ในที่สุดก็มาถึง ฮ่าๆ เจ้าพวกนกกระจอก ข้ามาถึงแล้ว!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version