1098. กระบี่หัก
สำนักซากศพตั้งอยู่ในทิศใต้ของพันธมิตรเซียน ใจกลางพื้นที่มีโลงศพอยู่หนึ่งโลง หลี่หยิงซื่อคุกเข่าหนึ่งข้างเบื้องหน้าพร้อมกับวางมือบนหน้าอกราวกับกำลังสรรเสริญ จากนั้นหินหยกปลดปล่อยแสงสีขาวลอยอยู่ข้างหน้า
หินหยกนี้ดูธรรมดามาก มันเป็นต้นเหตุแห่งหายนะในพันธมิตรเซียน ซึ่งทำให้ทุกคนบ้าคลั่ง…โดยเฉพาะสำนักซากศพ!
หลี่หยิงซื่อเอ่ยรายละเอียดทุกอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่นางมาถึงสำนักจตุรศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นยื่นหินหยกส่งไปให้ พลังล่องหนสายหนึ่งปรากฏขึ้นมาดึงหินหยกเข้าไปหาใจกลางโลงศพ
มือเหี่ยวๆข้างหนึ่งยื่นออกมาจากโลงศพที่ใหญ่ที่สุดตรงใจกลาง และคว้าหินหยกทันที
แขนข้างนั้นมีเส้นสีแดงและดำตัดขวางผ่านกัน สีดำคือเส้นเอ็นและสีแดงคือเลือดเนื้อ มันตัดผ่านกันและกันและปลดปล่อยกลิ่นอายโบราณราวกับโผล่มาจากยุคโบราณ
พลังหยินทรงพลังยิ่งยวดแพร่กระจายและกวาดไปทั่วพื้นที่ หลี่หยิงซื่อก็ไม่สามารถทนไหวจนต้องถอยหลัง ทว่านางมีสีหน้าเคารพยิ่ง
เมื่อแขนนั้นคว้าจับหินหยก สัมผัสวิญญาณทรงพลังแพร่กระจายเข้าไปในหินหยก สัมผัสวิญญาณนี้ทรงพลังมากจนสีหน้าหลี่หยิงซื่อหน้าซีด แม้กระทั่งวิญญาณดั้งเดิมก็ยังเริ่มสั่นเทา
สัมผัสวิญญาณเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดราวกับต้องการออกไปจากโลงศพและฉีกกระชากดวงดาว สังหารสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ทั้งยังมีกลิ่นคาวเลือดแข็งแกร่งผุดออกมาด้วย
ความจริงแล้วไม่มีกลิ่นคาวเลือดแต่เป็นความรู้สึกข้างในสัมผัสวิญญาณที่ทำให้รู้สึกได้กลิ่นคาวเลือด
“เจ้า…เจ้าชื่ออะไร…” ข้อความหนึ่งโผล่ออกมาจากสัมผัสวิญญาณทรงพลัง หลี่หยิงซื่อเสมือนกับเรือที่ล่องอยู่ในคลื่นโหมกระหน่ำ
“ศิษย์หลี่หยิงซื่อขอคารวะท่านราชาที่สาม!” นางคุกเข่าบนพื้น แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ไม่คิดว่าหินหยกนี้จะทำให้ราชาที่สามตื่นขึ้นมา
เมื่อนางคิดถึงตำนานของราชาคนนี้ หลี่หยิงซื่อกลายเป็นกังวล เดิมทีนางคิดว่าแม้ข่าวภายในหินหยกจะทำให้ตกใจ อย่างมากก็แค่ให้ราชาที่ห้าตื่นขึ้นเท่านั้น นางกระทั่งคาดคำนวณเรื่องศพที่ประทับอยู่ในหินหยกนี้ด้วย
แต่ขณะที่สัมผัสวิญญาณสังหารนี้แพร่ออกมา นางจึงได้รู้ว่าประเมินซากศพที่บันทึกอยู่ในหินหยกนี้ต่ำเกินไป
ไม่เพียงแค่นางเท่านั้น แต่เหล่าศิษย์เกือบทั้งหมดในสำนักซากศพแห่งทิศใต้ต่างก็รู้สึกถึงสัมผัสวิญญาณปกคลุมพื้นที่ พวกเขาหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่และต่างก็คุกเข่าทำความเคารพ
“เจ้าทำงานได้ดีมากที่นำหินหยกนี้กลับมา! เจ้าสามารถเข้าไปหลุมซากศพ ข้าให้โอกาสเจ้าเข้าไปในชั้นที่หกและเลือกมาสักหนึ่งร่าง!” น้ำเสียงมืดมนดังสะท้อนอยู่ในหูหลี่หยิงซื่อ นางสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น เมื่อคิดถึงร่างศพในตำนานของชั้นหก หลี่หยิงซื่อหายใจถี่รัว
“ขอบคุณมาก ท่านราชาที่สาม!”
น้ำเสียงมืดมนแพร่กระจายออกไป “เจ้ารู้ไหมว่าร่างศพที่บันทึกอยู่ในหินหยกนี้คืออะไร?”
หลี่หยิงซื่อขบคิดเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยขึ้นอย่างลังเล “ศิษย์ไม่รู้มากนัก แต่ข้าขอเดาว่ามันน่าจะเป็นเทพโบราณจากยุคแรกเริ่ม…”
พลันเกิดเสียงหัวเราะยาวเหยียด น้ำเสียงนั้นดูเหมือนจะตื่นเต้นยิ่ง สัมผัสวิญญาณผันผวนไปด้วย
“เทพโบราณ! ร่างนี้เป็นของเทพโบรารจริงๆ หากเป็นแค่เทพโบราณธรรมดามันคงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด แต่ไม่คาดคิดว่ามันจะเป็นเทพโบราณสายเลือดราชวงศ์! เทพโบราณแปดดาวสายเลือดราชวงศ์…” ท้ายที่สุดในน้ำเสียงนั้นแฝงความโลภไปด้วย แม้แต่พลังดั้งเดิมในพื้นที่ดวงดาวยังเปลี่ยนไป
‘เทพโบราณสายเลือดราชวงศ์…’ หลี่หยิงซื่อตกตะลึงแต่ไม่ได้ถามต่อ
“เรียกศิษย์สำนักซากศพทั้งหมดมา ใช้โลหิตแห่งสวรรค์เพื่อเปิดหลุมซากศพชั้นที่เก้าและนำแปดร่างออกมา ครั้งนี้แปดในเก้าราชาแห่งสำนักซากศพจะออกโรง!”
“เรียกผู้อาวุโสทั้งหมดของสำนักซากศพกลับมา สำนักซากศพจะต้องได้ร่างศพของเทพโบราณสายเลือดราชวงศ์ตนนี้!”
น้ำเสียงดังสนั่นไปทั่วฝั่งทิศใต้ ศิษย์สำนักซากศพทั้งหมดรู้สึกได้อย่างชัดเจน พวกเขาสั่นเทาและน้อมรับคำสั่ง!
พลันเกิดพายุมหึมาขึ้นในดินแดนทิศใต้!
“ศิษย์ไม่มั่นใจในความถูกต้องของข้อมูลในหินหยก…” หลี่หยิงซื่อตกตะลึง แม้นางจะรู้ว่าเนื้อหาข้างในกำลังทำให้ทั้งสำนักซากศพตกตะลึง แต่นี่มันไม่แค่นั้น สำนักซากศพกำลังเคลื่อนที่เต็มกำลัง
นางอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก หากหินหยกนี้เป็นเรื่องจริง มันคงไม่อะไรนัก แต่นางไม่มั่นใจ ถ้าหากเนื้อหาในหินหยกถูกยืนยันว่าเป็นเรื่องเท็จ นางคงถูกฉีกกระชากตามมาเนื่องจากเป็นคนนำหินหยกกลับมา
“ไม่มีปัญหา จักรพรรดิวิหคเพลิงบอกให้เจ้านำมาที่นี่ ด้วยสถานะของเขามีโอกาสจริงถึงเจ็ดในสิบส่วน สำนักจตุรศักดิ์สิทธิ์คงไม่แพร่กระจายข่าวเท็จง่ายๆ มันคงเป็นการทดสอบสำนักซากศพของเรา ฝ่ายทุกชั้นฟ้าและกองกำลังพันธมิตรเซียนที่เหลืออยู่!”
“อย่างไรเสียข้าก็ต้องเดินทางไปสำนักจตุรศักดิ์สิทธิ์เป็นการส่วนตัว!”
สองหินหยกเป็นเสมือนแขนล่องหนยักษ์สองข้างที่ส่งผลกระทบต่อความคิดผู้คนจำนวนมาก เหมือนตอนนี้มันเริ่มเคลื่อนไหวและมีบางอย่างครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น
เช่นเดียวกันตอนที่โม่จื่อกลับไปสู่แคว้นฉิวหยุน หินหยกทั้งสามก้อนถูกส่งให้แก่กองกำลังอีกสามแห่งของพันธมิตรเซียนอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันเนื่องจากฝ่ายทุกชั้นฟ้าพักรบ เหล่าเซียนจำนวนมากจึงออกไปจากสนามรบ
คนของสำนักซากศพหยุดแลกเปลี่ยนกับสองฝ่ายและรีบกลับสำนักตนเองอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงอันประหลาดพวกนี้ทำให้เหล่าเซียนฝ่ายพันธมิตรให้ความสนใจ
คนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด หวังหลิน ตอนนี้กำลังพักอยู่ในสำนักวิหคเพลิงศักดิ์สิทธิ์อย่างสงบนิ่ง เขานั่งอยู่ปลายภูเขาไฟและบ่มเพาะไปเรื่อยๆ
ข้างๆกันมีคางคกยักษ์ตัวใหญ่นั่งอยู่ สายฟ้าแปลบปลาบรอบตัวมันทำให้เกิดเสียงแตกร้าว คางคกสาสยฟ้าดูเหมือนจะสามารถทนต่ออุณหภูมิสูงที่นี่ได้
ด้วยสงครามครั้งใหญ่ที่กำลังมาถึง หวังหลินรู้ตัวว่าไม่มีเวลาเหลือมากนัก เขาต้องเพิ่มพูนวิชาของตนเองให้มากที่สุดเพื่อที่จะสามารถเอาชีวิตรอดได้ในการต่อสู้ครั้งถัดไป
ขณะเดียวกันเขาก็รอคอยสำนักซากศพและฝ่ายทุกชั้นฟ้าให้ส่งคนมาอีกครั้ง หวังหลินมั่นใจว่าหินหยกแตกต่างทั้งสองชิ้นที่เขาส่งออกไปจะทำให้ทั้งสองฝ่ายเข้ามาหาเขา!
หวังหลินมีความคิดไม่ธรรมดาแต่ไม่ค่อยใช้แผนการบ่อยนัก เหตุผลที่เขาไม่ได้วางแผนการก่อนหน้านี้มากนักไม่ใช่เพราะทำไม่ได้ แต่เนื่องจากสถานะก่อนหน้านี้ ทุกอย่างที่เขาทำก่อนหน้าเป็นแค่กลลวงเล็กๆ แต่กับสำนักจตุรศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นกองหนุนให้เขา หวังหลินสามารถใช้แผนการของตนเองได้อย่างเปิดเผย!
เขาบอกข่าวทุกคนอย่างตรงไปตรงมาเรื่องเทพโบราณและทุกคนต่างก็รู้ว่าหวังหลินต้องวางแผนการอะไรบางอย่างเอาไว้ ใครที่มีไหวพริบคงจะมองเรื่องนี้ออกอย่างชัดเจน
หากหวังหลินไม่ได้เป็นจักรพรรดิวิหคเพลิงและปลดปล่อยข่าวนี้ออกไป มันคงไม่ส่งผลกระทบอะไรมากนักแต่จะเป็นการเชิญชวนภัยพิบัติเข้ามาหาตนเองเสียแทน ไม่ว่าจะเป็นสำนักซากศพหรือฝ่ายทุกชั้นฟ้า พวกเขาคงมาจับตัวหวังหลินสอบถามเป็นคนแรก
แต่ในตอนนี้ไม่ว่ามันจะเป็นสำนักซากศพหรือฝ่ายทุกชั้นฟ้า พวกเขาไม่มีทางเลือก นอกจากนี้ยังมีฝ่ายที่สามที่เข้ากันไม่ได้อยู่ด้วยนั่นก็คือเหล่าพันธมิตรเซียน! จากความลึกลับของสำนักจตุรศักดิ์สิทธิ์และสถานะอดีตผู้ปกครองดาราจักรนั่นก็เพียงพอจะหยุดยั้งผู้คนได้แล้ว พวกเขาต่างก็รู้ว่าราคาของสงครามครั้งนี้ถือว่าสูงยิ่ง!
นี่คือเหตุผลจริงๆที่หวังหลินกล้าแพร่กระจายข่าวออกไป
เช่นเดียวกันนั้นหวังหลินรู้ว่าตัวตนเขาที่เป็นเทพโบราณไม่ได้เป็นความลับในหมู่เซียนแห่งดาราจักรพันธมิตรเซียนอีกแล้ว อีกทั้งในดินแดนวิญญาณปิศาจหวังหลินก็แสดงพลังทั้งหมดออกไป รวมถึงวิชาความฝันยุคบรรพกาลนั้นด้วย
หวังหลินคงไม่เชื่อว่ามันจะไม่ให้คนสงสัยหรือคาดการณ์อะไรไม่ได้
นี่ยังเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักๆที่หวังหลินยอมมากับจักรพรรดิวิหคเพลิงคนเก่าง่ายๆ หากไม่ทำเช่นนั้นด้วยอาการบาดเจ็บสาหัสของเขา แม้แต่จะเคลื่อนไหวยังยากลำบากนั้น เขาคงถูกล่าทั้งวันทั้งคืน ไม่นานหลังจากนั้นก็คงถูกจับได้
แต่เพราะเป็นเขาเองที่แพร่กระจายข่าวของต้าเสินไปจึงทำให้น่าเชื่อถือยิ่งขึ้น อีกทั้งก็คงไม่จำเป็นต้องโกหก เมื่อไรห่ที่พวกเขามาถึงดินแดนเทพโบราณแห่งดาวซูซาคุ ก็จะรู้ได้เองว่ามันจริงหรือไม่จริง!
‘ฝ่ายทุกชั้นฟ้า สำนักซากศพ พันธมิตรเซียน…สงสัยจริงว่าสามฝ่ายนี้จะสามารถต่อกรกับต้าเสินได้หรือไม่…’ หวังหลินขบคิดจากนั้นก็ไม่คิดเรื่องนี้อีก
ความจริงแล้วการลือลวงทั้งสามฝ่ายไปที่ดาวซูซาคุเป็นแค่ส่วนแรกของแผนการเท่านั้น เขายังมีอีกแผน!
หวังหลินสูดหายใจลึกมองคางคกสายฟ้าข้างๆกัน เจ้าคางคกดูเหมือนกำลังหลับแต่พลังอัคคีดั้งเดิมหลายเส้นเข้าไปในร่างมันด้วย
หลังจากหวังหลินมาถึงสำนักจตุรศักดิ์สิทธิ์เขาจึงได้ปลดปล่อยคางคกสายฟ้าและอสูรยุงเอาไว้เพื่อให้มันฝึกฝนด้วยตัวเอง เมื่อวานเจ้าคางคกสายฟ้ากลับมาจากสำนักเต่าดำแล้วและค้นพบหวังหลินผ่านการเชื่อมต่อกัน
‘อสูรยุงน่าจะมาถึงแล้ว ทำไมมันไม่มาหาข้า…ผู้อาวุโสจากสำนักมังกรฟ้าบอกว่าพวกเขาเห็นอสูรยุงออกมาแล้ว แม้เจ้าอสูรยุงไม่ได้เร็วเท่าผู้อาวุโส มันน่าจะมาถึงหลังจากนั้นไม่นาน…’ หวังหลินขมวดคิ้วแต่ก็ระงับความสงสัยในใจเอาไว้
‘ช่างเถอะ มันน่าจะกำลังเล่นอยู่และช้าไปหลายวัน’ หวังหลินสร้างผนึกชี้ใส่ร่างกายตนเอง ใบหน้าขึ้นสีแดงประหลาดและมีร่องรอยแห่งความเจ็บปวด
ด้วยการควบคุมพลังอัคคีดั้งเดิมของหวังหลิน การที่เขาจะรู้สึกถึงความร้อนจนทนไม่ได้เป็นเรื่องยากมาก แต่ขณะนี้หยกเหงื่อปรากฏขึ้นบนหน้าผาก
หลังจากนั้นสักพัก หวังหลินพ่นอากาศเหม็นออกมา แสงสีแดงกระพริบและกระบี่หักเล่มหนึ่งค่อยๆดันออกมาจากหน้าอก