1265. การเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจ!
มู่ปิงเหมยจากไป
นางมาเพื่อบอกสิ่งที่เกิดขึ้นในดาราจักรพันธมิตรเซียนให้กับหวังหลิน ระหว่างทั้งสองไม่มีเรื่องอื่นอีก ราวกับหวังหลินไม่อยากกล่าวถึงและนางก็ไม่อยากจะพูด
ก่อนที่นางจะจากไป ร่างอรชรของมู่ปิงเหมยอยู่ใต้แสงจันทราและหยุดลงนอกสนามหญ้า นางกระซิบบางอย่างแต่ไม่ได้หันกลับมา
“หลี่เฉียนเหมยน่ารักยิ่ง…แต่เจ้ายังไม่อาจลืมน้องหวานเอ๋อร์ได้…ข้าเชื่อว่าถ้าหากหวานเอ๋อร์ตื่นขึ้นมา นางคงไม่อยากเห็นเจ้าอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปหลายพันปี…ข้าไม่อยากเห็นเจ้าเป็นแบบนี้ด้วย หลังจากวันนี้ข้าจะมุ่งหน้าไปที่สำนักเทพเจ้าเพื่อฟื้นฟูและอาจจะไม่ออกจากการปิดด่านบ่มเพาะเป็นพันปี ไม่รู้ว่าอีกพันปีเราจะได้เจอกันอีกครั้งหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามนะหวังหลิน…ข้ามีบางอย่างต้องการพูดกับเจ้า”
“ข้าเป็นหลิวเหมย แม่ของหวังผิง…ยามที่ข้าปลดพันธนาการตัวเองจากดินแดนฟ้ากระจ่าง ข้าจะผ่านวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ไปพร้อมกับหวังผิงและจะเป็นแม่ที่แท้จริง” มู่ปิงเหมยพึมพำกับตัวเองพลางค่อยๆเดินออกไป จิตใจแห่งเต๋าของนางค่อยๆเกิดการเติมเต็มหลังจากกล่าวคำเหล่านี้
เขตแดนพันมายาไร้ปราณี…เขตแดนหมื่นมายาปีศาจ…ท้ายที่สุดมันก็ค่อยๆเปลี่ยนไป
ในเหล่าเซียนสตรีฟ้ากระจ่าง มีเพียงคนเดียวที่สำเร็จวิชาที่สืบทอดมาจากเซียนสตรีฟ้ากระจ่าง ส่วนคนอื่นๆต่างล้มเหลว มู่ปิงเหมยใช้ทางลัดโดยการใช้ร่างอวตารแต่ก็ล้มเหลวพร้อมกับหลิวเหมย จิตใจแห่งเต๋าของนางไม่สมบูรณ์ ดังนั้นจึงเกิดรอยร้าวขึ้นมาบนวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของดินแดนฟ้ากระจ่าง
รอยร้าวนี้ก็คือหลิวเหมย รวมถึงหวังหลินและหวังผิงด้วย! แต่วินาทีที่มู่ปิงเหมยผ่านประสบการณ์ทุกอย่างมาได้ถึงเพียงนี้ นางไม่หนีรอยร้าวนั่นอีกแล้ว นางเผชิญหน้าเพื่อยอมรับมัน
ด้วยการเปลี่ยนแปลงนี้เองทำให้เต๋าของนางเริ่มแสดงอาการสมบูรณ์ ความไร้ปราณีและความรักกลายเป็นเหรียญสองด้าน!
ฝึกฝน ฝึกฝน หากคนผู้หนึ่งใช้ความไร้ปราณีแห่งสวรรค์เพื่อฝึกฝนเต๋า ผลท้ายที่สุดคงไม่ดีพอที่จะเรียกว่าเต๋า!
ยามที่เซียนใดมีความรักขึ้นมา ก็จะสามารถใช้มันท้าทายเต๋าได้ ทำให้เซียนมีบางสิ่งที่มีค่าพอจะคุ้มกันเพื่อต้องการท้าทายโลกหล้า
รอยร้าวบนจิตใจแห่งเต๋าของมู่ปิงเหมยนั้นมีหวังหลินอยู่ด้วย ขณะที่ความคิดนางเปลี่ยนไป เต๋าของนางก็ค่อยๆฟื้นฟูขึ้นมาด้วย ร่างนางกลายเป็นตราประทับลงใต้เขตแดนไร้ปราณีของตัวเอง
ด้วยประทับนี้ เต๋าของนางจึงเข้าสู่เส้นทางแห่งความสมบูรณ์แบบ
ภายในสวน ใต้แสงจันทรา มีกลิ่นหอมสองกลิ่นจากหญิงสาวที่แตกต่างกันให้หวังหลินได้สัมผัส เขายืนอยู่ที่นี่ใต้แสงจันทร์ ขบคิดอยู่เป็นเวลานาน
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ พริบตาเดียวหลายวันก็ผ่านไป การแข่งขันระหว่างสำนักระดับแปดกำลังใกล้เข้ามาและถึงเวลาจากไป
มู่ปิงเหมยออกไปจากสำนักอมตะพร้อมกับหวังซานซาน หวังซานซานรับฟังคำสั่งอาจารย์จึงรีบกลับไปที่สำนักเทพเจ้า สำนักอมตะไม่กล้าหยุดพวกเขาอยู่แล้ว ก่อนมู่ปิงเหมยจะไป นางไม่ได้หันกลับมา นางดูภูมิใจที่เป็นเซียนสตรีฟ้ากระจ่าง!
ดินแดนฟ้ากระจ่างถูกทำลายเหลือนางเพียงคนเดียว ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ชีวิตนางไม่ได้เป็นของตัวเองอีกแล้ว เป็นหน้าที่ของนางที่จะต้องบ่มเพาะเพื่อฟื้นฟูดินแดนฟ้ากระจ่างให้กลับมา นี่คือความรับผิดชอบที่นางหลีกหนีมาได้สักพักแล้ว แต่ตอนนี้นางเลือกเผชิญหน้ามันและไม่วิ่งหนีอีก
การสนทนาของนางกับหวังหลินได้ขจัดสิ่งรบกวนในใจนางออกไป นางฝังความทรงจำนั้นไว้ภายในส่วนลึกของจิตใจและผนึกเอาไว้
หลี่เฉียนเหมยกำลังจะจากไปเช่นกัน นางได้รับคำสั่งเรียกจากอาจารย์ให้กลับไปอย่างเร่งด่วน หินหยกไม่ได้บอกเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เขาสั่งการหลี่เฉียนเหมยให้ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายของสำนักอมตะกลับไปที่สำนักทะลวงสวรรค์ด้วยคำพูดรุนแรง!
รู้สึกเหมือนมีบางอย่างลึกลับกำลังเคลื่อนไหว
หลี่เฉียนเหมยไม่อาจทำเมินเฉยต่อคำพูดอาจารย์ได้ สำนักทะลวงสวรรค์มอบทุกอย่างให้กับนางและอาจารย์นางก็เลี้ยงดูมาอย่างดี แม้จะไม่ได้พูดถึงเหตุผลแต่นางไม่เคยเจอคำพูดรุนแรงเช่นนี้จากเขามาก่อน
นางมีเวลาแค่กล่าวอำลาก่อนจะเข้าสู่ค่ายกลเคลื่อนย้ายของสำนักอมตะ หลังจากเคลื่อนย้ายไปหลายครั้งนางก็เข้าสู่สำนักทะลวงสวรรค์
จิตใจของนางสับสนงุนงง นางไม่รู้ว่าทำไมอาจารย์ถึงได้มีคำสั่งกระวนกระวายขนาดนี้ ในความทรงจำนาง อาจารย์มักจะสงบนิ่งมาเสมอและไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน นางไม่รู้ว่าทำไม แต่รู้สึกว่ามีบางอย่างแย่ๆกำลังจะเกิดขึ้น
หลังมู่ปิงเหมยและหลี่เฉียนเหมยจากไป หวังหลินก็ออกจากสำนักอมตะพร้อมกับจ้าวสำนักและผู้อาวุโสระดับสูง พวกเขามุ่งหน้าไปยังตำแหน่งการประลองระหว่างสำนักระดับแปด นั่นเป็นงานหลักของจริง!
จ้าวสำนักอมตะมั่นใจในการต่อสู้ครั้งนี้มาก เขาเชื่อว่าสำนักระดับแปดแห่งอื่นคงจะพ่ายแพ้โดยไม่ต้องสงสัยและสำนักอมตะจะกลายเป็นอันดับหนึ่ง!
เพราะการมีหวังหลิน การแข่งขันจึงไม่สมดุลอีกต่อไป สำนักอมตะได้เปรียบอย่างล้นเหลือ ในสายตาจ้าวสำนักและเหล่าผู้อาวุโส การต่อสู้นั้นไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นสีหน้าตกตะลึงของเหล่าสำนักระดับแปดที่เหลือเมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลง
อย่างไรก็ตามดังเช่นที่หวังหลินและมู่ปิงเหมยกล่าวเอาไว้ โลกใบนี้ล้วนคาดการณ์ไม่ได้!
ครึ่งชั่วโมงก่อนที่สำนักอมตะกำลังจะออกไป ลำแสงสายหนึ่งพุ่งออกมาจากสำนักอมตะ แฝงกลิ่นอายสะเทือนสวรรค์และยิงตรงมาที่จ้าวสำนัก
ข้างในลำแสงเป็นชายชราผู้หนึ่ง หวังหลินไม่เคยเจอเขามาก่อน แต่จากรัศมีที่เปล่งมาจากร่างกาย เขาก็อยู่ในขั้นทะลวงสวรรค์ด้วย!
ชายชราสีหน้ามืดมนยิ่ง เขาโยนหินหยกให้กับจ้าวสำนักโดยไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำ จ้าวสำนักรับหินหยกมาพร้อมขมวดคิ้ว หลังจากส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปตรวจสอบหินหยก สีหน้าท่าทางพลันเปลี่ยนไปมหาศาล!
จากนั้นก็มืดมนและมีเสียงปะทุดังออกมาจากร่างกาย ความโกรธพวยพุ่งถึงขีดสุด!
เขาพ่นลมหายใจเย็นและยื่นหินหยกให้กับผู้อาวุโสระดับสูงสองคนด้านข้าง ทั้งสองรับมาตรวจสอบ สีหน้ามืดมนดูเหมือนท้องฟ้าทั้งหมดจะมืดลงไปด้วย
ผู้อาวุโสระดับสูงที่เคยต่อสู้กับหวังหลินพลันกัดฟันและร้องคำรามดุจสายลมเย็นเฉียบ “สำนักเทพเจ้าช่างโอหังอะไรกัน!!”
“เพียงคำพูดหนึ่งคำจากสำนักเทพเจ้า การแข่งขันระหว่างสำนักระดับแปดที่คงอยู่มานานหลายหมื่นปีก็ถูกล้มเลิก ข้าสงสัยจริงว่าสำนักเทพเจ้าเป็นบ้าอะไรถึงยกเลิกการแข่งขัน! สำนักอมตะเตรียมการครั้งนี้มาหลายปีและตอนนี้สหายเซียนหลิวก็อยู่ที่นี่ เราสามารถชิงที่หนึ่งมาได้ง่ายๆ เราสามารถกวาดล้างความอับอายจากการแข่งขันครั้งก่อนหน้าได้หมด แต่สำนักเทพเจ้ากลับมาล้มเลิกอย่างนี้น่ะหรือ?!” ผู้อาวุโสระดับสูงอีกคนเยาะเย้ยและเผยความโกรธเกรี้ยวทางสายตา
อย่างไรก็ตามความไม่เต็มใจและความรู้สึกถูกผิดก็มีน้ำหนักน้อยเมื่อเทียบกับความโกรธ พวกเขาทั้งหมดต่างเป็นเซียนทรงพลังและสำนักอมตะไม่ใช่สำนักเล็กๆ อย่างไรก็ตามด้วยหินหยกจากสำนักเทพเจ้า พวกเขาจึงต้องยอมละอาย!
จ้าวสำนักขบคิดอยู่นานและดูเหน็ดเหนื่อย เขาถอนหายใจและส่ายศีรษะ “ในเมื่อสำนักเทพเจ้าส่งคำสั่งมาให้ยกเลิกการแข่งขัน พวกเขาต้องมีเหตุผล เพียงแต่เหตุผลไม่รู้มาถึงเรา”
ขณะที่รู้สึกขมขื่น จ้าวสำนักมองหวังหลินและคำนับฝ่ามือ “สหายเซียนหลิว การแข่งขันของสำนักระดับแปดถูกสำนักเทพเจ้ายกเลิก ข้าต้องพูดคุยเรื่องนี้กับผู้อาวุโสที่เหลือ ท่านนำสำนักต้นกำเนิดกลับไปที่เขตระดับห้าและเตรียมการพาพวกเขาย้ายมาเขตระดับเจ็ดจะว่าอย่างไร?”
หวังหลินมีสีหน้าสงบนิ่งแต่รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ราวกับมีเรื่องสั่นสะเทือนฟ้าดินกำลังย่างกราย เขาขบคิดเล็กน้อยก่อนที่ดวงตาจะส่องสว่าง “ขอข้าดูหินหยกจากสำนักเทพเจ้าได้หรือไม่?”
ผู้อาวุโสระดับสูงถือหินหยกพลันสะบัดแขนโยนให้หวังหลิน เขารับมันไว้และตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณ
ในหินหยกมีข้อความบรรทัดเดียวเท่านั้น!
“ไม่จำเป็นต้องแข่งขันสำนักระดับแปดอีกต่อไป สรุปตอนนี้! หยกสำนักเทพเจ้า!”
วินาทีที่สัมผัสวิญญาณหวังหลินแพร่กระจายเข้าไป เขารู้สึกถึงพลังที่ไม่อาจอธิบายได้พรั่งพรูจากคำพูดเหล่านั้น ดูเหมือนจะก่อตัวเป็นประทับฝ่ามือขนาดใหญ่
หวังหลินตกตะลึงและถอนสัมผัสวิญญาณ เขาคืนหินหยกให้สำนักอมตะก่อนจะคำนับฝ่ามือจากไป
สมาชิกทั้งหมดของสำนักอมตะต่างมีความรู้สึกยากเกินอธิบาย หลายคนโกรธเกรี้ยว แต่พวกเขาก็ไร้หนทางและทำได้แค่ยอมรับเท่านั้น
‘หลี่เฉียนเหมยตอบรับการเรียกของสำนักทะลวงสวรรค์และรีบจากไป…มู่ปิงเหมยและหวังซานซานก็ถูกเรียกกลับด้วย แต่พวกเขาไม่รู้เหตุผล เรื่องพวกนี้เพียงอย่างเดียวมันไม่น่ามีพิรุธ แต่การแข่งขันสำนักระดับแปดก็ถูกยกเลิกในเวลาเดียวกัน…ทั้งหมดนี้แปลกเกินไป!’
‘หรือว่าจะมีเรื่องใหญ่กำลังเกิดขึ้นในทะเลเมฆา?’ หวังหลินขมวดคิ้วและสับสนยิ่ง
ขณะคิดไปด้วยเขาก็รีบกลับไปยังตำแหน่งที่สำนักต้นกำเนิดอยู่และเรียกหลิวหยานเฟยและคนอื่นๆมา พวกเขารวมตัวกันใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายกลับไปยังแผ่นดินโม่หลัวในเขตระดับห้า!
หวังหลินรู้สึกได้เลือนลางว่ามีบางอย่างที่ไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้น ความรู้สึกน่าหวาดหวั่นนี้กำลังรุนแรงยิ่งขึ้น แม้แต่ตอนที่เขาพยายามบ่มเพาะก็ไม่อาจสงบตัวเองลงได้
“เร็วเข้า รีบจัดการเรื่องของสำนักต้นกำเนิด ข้าจะพาพวกเจ้าทั้งหมดไปที่เขตระดับเจ็ดภายในสามวัน จากนั้นข้าก็จะไป!” หลังเขากลับมา หวังหลินส่งคำสั่งออกไปและปิดด่านบ่มเพาะทันที วิญญาณดั้งเดิมเข้าไปในตราประทับผนึกเทพอย่างรวดเร็วและผสานกับวิญญาณของเทียนหยุน
ครั้งนี้เขาผสานกับเทียนหยุนไม่ได้เพื่อสู้กับศัตรู แต่เพื่อหยิบยืมพลังของเทียนหยุนเพื่อบังคับให้พยากรณ์สิ่งที่ไม่รู้จัก!
ขณะเดียวกันนั้นในสำนักทะลวงสวรรค์ เมื่อหลี่เฉียนเหมยกลับไปยังสำนัก สีหน้าท่าทางของนางพลันเปลี่ยนไป! อาการนิ่งของนางหายไปหมดเนื่องจากตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น
ผู้อาวุโสระดับสูงจำนวนสามในสิบคนกำลังนั่งรอบๆค่ายกลเคลื่อนย้ายที่หลี่เฉียนเหมยพึ่งปรากฏ ค่ายกลเคลื่อนย้ายไม่มีความสามารถเคลื่อนย้ายอีกแล้ว ตอนนี้มันเป็นค่ายกลผนึก! อาจารย์ของนางที่แทบจะปิดด่านฝึกตนอยู่ตลอด ตอนนี้กำลังนั่งอยู่นอกค่ายกล เมื่อหลี่เฉียนเหมยปรากฏตัวขึ้นมา แววตาเขาพลันส่องสว่างและจ้องมองนาง!
“เจ้าไม่อนุญาตให้ก้าวออกไปนอกค่ายกลเป็นเวลาสามเดือน! ไม่เช่นนั้นเจ้าจะถูกลงโทษตามกฎของสำนัก!”
………………………….