1566. เสียงคำรามของคนบ้า
ระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นแผ่กระจายออกไปทุกทิศทางโดยมีทั้งสองคนอยู่ตรงกลาง ระลอกคลื่นแผ่กระจายออกทั่วโลกทันที
หวังหลินเปลี่ยนความเข้าใจด้านสายฟ้าและเปลวเพลิงให้กลายเป็นเมล็ดและ ฝังมันไว้ในส่วนลึกของฉือซาน!
“ข้าจะไม่มอบสมบัติอันใดให้เจ้า มีเพียงแค่เมล็ดแก่นแท้นี้เท่านั้น!”
ฉือซานร่างสั่นเทา เมื่อฝ่ามือหวังหลินประทับใส่หน้าผากเขา เมล็ดสีทองปรากฏขึ้นในจิตใจ เมล็ดสีทองนี้บรรจุความเข้าใจแก่นแท้เปลวเพลิงและสายฟ้าที่สมบูรณ์เอาไว้ มันคือกลิ่นอายของขั้นที่สาม!
เมล็ดนี้ยังมีสายโลหิตเทพของหวังหลินด้วย นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมมันจึงมีสีทอง!
เมล็ดนี้เทียบได้กับสมบัติสวรรค์ มันมีค่ามากพอจนอาจทำให้เกิดหายนะ หวังหลินมอบมันให้ศิษย์คนแรก ฉือซาน!
“อาจารย์จะไปแล้ว…” หวังหลินมองฉือซานอย่างล้ำลึกและเอารูปปั้นมารโบราณไป จากนั้นก้าวเข้าสู่ท้องฟ้าและค่อยๆ หายไป ขณะที่กำลังจะหายไปอย่างสมบูรณ์นั้น เขาหันศีรษะมามองฉือซานด้วยสายตาอ่อนโยนราวกับกำลังมองดูลูกตัวเองและพยักหน้าเบาๆ
“หากเจ้าอยากทำอะไร จงทำมัน…ตราบใดที่เจ้ามีชีวิตด้วยการตัดสินใจของตัวเอง ไม่ว่าเจ้าจะเจอเรื่องราวใหญ่โตแค่ไหน อาจารย์อยู่ที่นี่…เจ้าควรหาสตรีที่เจ้าชอบ อย่าเป็นเหมือนข้า…”
ฉือซานกัดริมฝีปาก ดวงตาสองข้างผุดรอยน้ำตา เขาเฝ้าดูอาจารย์จากไปอย่างเงียบๆ และโขกหัวคำนับถึงเก้าครั้ง
หวังหลินก้าวผ่านในหมู่ดาวอย่างเงียบงัน เขามาคนเดียวและจากไปคนเดียว ผ่านไปสองพันปีเขาคุ้นชินกับความโดดเดี่ยวเช่นนี้และเคยมองหาดวงดาวที่ ส่องประกายออกมาเอง เขาคุ้นชินกับการชื่นชมสัมผัสความโดดเดี่ยวด้วยตัวเอง
หวังหลินคุ้นเคยกับมันได้นานแล้ว…
เขาไม่ได้ดูดซับรูปปั้นมารโบราณเข้าไปในตาซ้ายทันทีและเก็บมันไว้ในมิติเก็บของแทน เขายังสามารถกดพลังต่อต้านในร่างกายได้อยู่ มีเพียงการดูดซับมันในช่วงวิกฤตเท่านั้นจึงจะสามารถทำให้รูปปั้นมารโบราณแสดงผลลัพธ์ได้เต็มที่
หวังหลินจึงไม่ต้องการดูดซับมันตอนนี้หากหลีกเลี่ยงได้อยู่
เขาต้องการรอให้รูปปั้นมารโบราณเติบโตอีกเล็กน้อย ส่วนเรื่องมารโบราณที่เขาจับได้ในดาราจักรทุกชั้นฟ้า มันถูกเขาผนึกและยังไม่ถึงเวลาใช้งาน
เขาสัญญากับมารโบราณว่าจะให้โอกาสรอดชีวิต หวังหลินไม่ได้ลืม
ท้องฟ้าดวงดาราในยามนี้เป็นค่ำคืนที่เงียบสงัด เว้นแต่จะมีเสียงการต่อสู้ของเหล่าเซียนดังสนั่น ตอนนี้หวังหลินกำลังก้าวเดินออกไปไกลอย่างเงียบๆ
เขาดูเชื่องช้า แต่ทุกก้าวแท้จริงแล้วข้ามผ่านระยะทางอันกว้างใหญ่ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับบิดมิติ
หวังหลินไม่ได้ไปแดนสวรรค์พิรุณ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากไปแต่เพราะมีเวลาไม่มากพอ เขาผ่านทางเข้าแดนสวรรค์พิรุณที่ซ่อนตัวอยู่และมองกลับไป เขาต้องไปรับชายเสียสติเสียก่อน
ทางอีกด้านหนึ่งของดาราจักรฟ้ากระจ่าง มีดาวเคราะห์อยู่หนึ่งดวง ดาวดวงนี้ไม่ใช่ดาวซูซาคุแต่เป็นดาวเคราะห์เซียนระดับเจ็ด
มีดาวเล็กๆ หลายดวงล้อมรอบ มองไกลๆ ดูเงียบมาก
เพราะพื้นที่บริเวณนี้ค่อนข้างเงียบ จึงไม่มีเซียนมากนักมาที่นี่
ในยามนี้ ในเมืองธรรมดาบนดาวเคราะห์ได้กลายเป็นฤดูใบไม้ร่วง สายลมอันหนาวเหน็บผ่านเมืองแห่งนี้ราวกับพัดพาบางอย่างออกไป
ที่นี่เป็นเมืองเล็ก มีคนอาศัยอยู่ไม่มากนัก ดังนั้นถนนหนทางส่วนใหญ่จึงค่อนข้างโล่ง มีร้านรวงเปิดเพียงไม่กี่ร้าน สายลมฤดูใบไม้ร่วงทำให้ร้านค้าต้องสั่นไหวจนดูพังเล็กน้อย
ในมุมถนนมีร้านแผงลอยตั้งอยู่หลายร้าน คนขายทั้งหมดพูดคุยกันอย่างขี้เกียจ พวกเขาสวมชุดหลายชั้นแต่ยังรู้สึกหนาวจากสายลมอยู่เนืองๆ
เสียงกรอบแกรบจากใบไม้แห้งบนพื้นดินได้พัดไปตามถนน ใบไม้บางส่วนถูกพัดเข้าร้านค้าและถูกโต๊ะบังเอาไว้ ใบไม้หมุนรอบๆ และลอยออกไปไกล
ใบไม้บางส่วนลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าและลอยเข้าสู่ถนนอีกสาย จากนั้นตีใส่หน้าคนผู้หนึ่ง
เดิมทีเขาแค่เดินไปข้างหน้าโดยมีชายอีกสองคนตามมาและเยินยอสารพัด พวกเขายิ้มและกระซิบบางอย่างทำให้คนผู้นี้หัวเราะอย่างมีความสุข
ใบไม้ที่ตีใส่หน้าเขามาทำให้เสียงหัวเราะหยุดลง เขาพึมพำบางอย่างก่อนจะตีใบหน้าและดึงใบไม้ออกไป โยนไว้บนพื้นและกระทืบซ้ำหลายคน
ขณะที่เขากระทืบจึงส่งเสียงร้องคำรามในเวลาเดียวกัน
“ใบไม้น้อย เจ้ากล้าคิดมิดีต่อราชาผู้นี้หรือ?! ฮึ่ม ฮึ่ม มาดูกันว่าข้าจะจัดการกับเจ้าอย่างไร!” เขากระทืบใบไม้อีกหลายสิบครั้งก่อนที่สายลมจะพัดมันออกไป ท้ายที่สุดเขาก็ยอมแพ้
เขาคือเหลียนต้าวเฟย สองคนที่ติดตามด้านหลังคือฉวี่ลี่กั๋วและหลิวจินเปียว ทั้งสองคุ้นชินกับการกระทำของเหลียนต้าวเฟย ดังนั้นจึงได้แต่มองกันเท่านั้น
ฉวี่ลี่กั๋วกะพริบตาพลางมองดูใบไม้ปลิวออกไปไกลและส่งข้อความให้หลิวจินเปียว “เฒ่าหลิว ทำไมข้าไปคิดมากเรื่องคำพูดเขาอยู่เรื่อย…เขามองเราไม่ออกหรอก”
หลิวจินเปียวลูบคางข้อความกลับ “ตามการวิเคราะห์ของข้า เขาเป็นคนบ้าจริงๆ เช่นนั้นจะไปมองเราออกได้อย่างไร ปรมาจารย์ฉวี่สบายใจได้”
ฉวี่ลี่กั๋วพยักหน้า เขาเชื่อในการตัดสินของหลิวจินเปียว ช่วงเวลานี้เขาร่วมมือกันหลอกคนบ้าและได้รับผลประโยชน์จำนวนมาก
พอคิดเช่นนี้แล้ว ฉวี่ลี่กั๋วจึงเผยรอยยิ้มเยินยอและก้าวเดินเข้ามานวดไหล่ของเหลียนต้าวเฟย เขาจ้องมองใบไม้ที่กำลังลอยไปอย่างดุร้ายและเอ่ยขึ้น “ต้องเหยียบมันให้ตาย ใครกันถึงกล้ากลั่นแกล้งท่านราชาได้? ท่านราชา ท่านอยากให้ข้าน้อยไปจับมันมาเพื่อให้ท่านได้เหยียบมันอีกหรือไม่?”
เหลียนต้าวเฟยสะบัดมือและยิ้มอย่างภูมิใจ “ช่างมันเถอะ ข้าจะปล่อยใบไม้นั่นไปก่อน น้องฉวี่ ไหนเล่าสาวน้อยที่เจ้าพูดถึง? รีบพาข้าไป หากข้าพอใจ ข้าจะตบรางวัลให้เจ้า”
เมื่อฉวี่ลี่กั๋วได้ยินว่ามีรางวัล ดวงตาส่องสว่างขึ้นมา ทว่าหลิวจินเปียวกระแอมแห้งๆ สีหน้าท่าทางสงบนิ่งราวกับเขาไม่คล้อยตามด้วย
“ท่านราชา ท่านไม่ชอบหลายคนก่อนหน้านี้เลย คราวนี้ข้า ฉวี่ลี่กั๋วจะใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อหาคนที่ท่านพึงพอใจ แต่…” ไม่ต้องรอให้ฉวี่ลี่กั๋วกล่าวจบ เหลียนต้าวเฟยกัดนิ้ว โลหิตสาดออกมาและปาดใส่ฉวี่ลี่กั๋ว
“พอแล้ว”
ฉวี่ลี่กั๋วมีท่าทีเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขาปาดโลหิตออกไปอย่างระมัดระวังและเก็บมันเอาไว้ ก่อนจะพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
แม้กระทั่งหลิวจินเปียวยังต้องตาสว่าง เขาเลียริมฝีปากและทำให้ตัวเองดูสงบนิ่ง แต่สายตามองไปทางฉวี่ลี่กั๋วอย่างต่อเนื่อง
ด้วยความกระตือรือร้นของเหลียนต้าวเฟย ทั้งสามคนจึงมาถึงสุดขอบถนนซึ่งมีร้านค้า หลิวจินเปียวก้าวเดินไปร้านแรก
พอเหลียนต้าวเฟยและฉวี่ลี่กั๋วเข้าไป จึงปิดประตูทันที สร้างผนึกหลายชั้นขึ้นผนึกประตูและรีบติดตาม
“ทำไมถึงมีปัญหาได้!?” ก่อนที่จะได้เข้าใกล้ เขาได้ยินเสียงคำรามจากเหลียนต้าวเฟย
หลังร้านมีค่ายกลเคลื่อนย้าย ค่ายกลนี้สร้างขึ้นอย่างหยาบๆและเห็นได้ชัดว่าถูกวางเอาไว้ไม่นาน เหลียนต้าวเฟยยืนอยู่นอกค่ายกลเคลื่อนย้ายและร้องคำรามใส่ฉวี่ลี่กั๋ว
ฉวี่ลี่กั๋วผุดรอยยิ้มเยินยอ ลูบสองมือเข้าด้วยกัน “ท่านราชา ข้าน้อยพบเซียน ขั้นรูปธรรมหยางคนหนึ่ง เดิมทีเขาปฏิเสธแต่ข้าน้อยใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะทำให้ยินยอมได้ อย่างไรก็ตามด้วยสถานะสูงส่งของเขา จึงเพิ่มความระมัดระวัง อีกชั้น”
เหลียนต้าวเฟยเต็มไปด้วยใบหน้าร้อนใจและเม้มริมฝีปาก “เรามาที่นี่หลายวันแล้วและไม่สำเร็จสักครั้ง หากครั้งนี้ไม่สำเร็จอีก ข้าจะไม่เล่นด้วยแล้ว! มันไม่สนุกเหมือนที่เจ้าพูดเลยสักนิด มีเรื่องสนุกอะไรที่ข้าไม่เคยเล่นมาก่อนอีก?”
ฉวี่ลี่กั๋วยิ้มและรีบกล่าว “เมื่อท่านราชาได้ลิ้มรส ท่านจะรู้ว่าข้าน้อยไม่ได้โกหก เพียงแต่ข้าน้อยไม่มีหินวิญญาณมากพอให้กระตุ้นค่ายกลนี้”
เหลียนต้าวเฟยพึมพำ ลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะบีบหยดโลหิตมอบให้ฉวี่ลี่กั๋ว จากนั้นพึมพำกับตัวเอง “โลหิตของข้ามีค่ามาก ตอนนั้น…”
ฉวี่ลี่กั๋วไม่สนเหลียนต้าวเฟยและรับโลหิตอย่างตื่นเต้น หลังจากเก็บไปแล้วจึงกะพริบตาให้หลิวจินเปียว หลิวจินเปียวสงบนิ่งและกระตุ้นค่ายกลเคลื่อนย้ายตอนที่เหลียนต้าวเฟยไม่สนใจ แสงกะพริบวาบและทั้งสามคนหายไป
แสงค่ายกลกะพริบในหุบเขา ปรากฏสามคนขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นาน เหลียนต้าวเฟยเริ่มคำรามอีกครั้ง
“ทำไมถึงมีค่ายกลอีกแห่ง? ข้า…ข้าจะไม่เล่นแล้ว!” ฉวี่ลี่กั๋วทำการโน้มน้าวเหลียนต้าวเฟยอีก ครู่ต่อมามีแสงกะพริบวาบหนึ่งครา หุบเขาสงบนิ่งอีกครั้ง
พอเป็นแบบนี้ หลังจากเหลียนต้าวเฟยร้องคำราม แสงกะพริบวาบอีกหลายสิบแห่ง เหลียนต้าวเฟยร้องคำรามรุนแรงยิ่งขึ้น
“มีค่ายกลเคลื่อนย้ายกี่แห่งกัน? ข้าไม่เล่นแล้วจริงๆนะ ข้าไม่เล่นแล้ว!! เจ้ากำลังกลั่นแกล้งข้า พวกเจ้าทำเกินไปแล้ว! ข้าจะไปบอกอาจารย์!”
ดูเหมือนประโยคสุดท้ายจะได้ผล ฉวี่ลี่กั๋วร่างสั่นเทา แม้กระทั่งหลิวจินเปียว ยังต้องบิดเบี้ยว เขามองฉวี่ลี่กั๋วอย่างร้อนใจ ดูเหมือนประโยคสุดท้ายจะทำให้เขา กลัวตาย ในช่วงระยะเวลานี้ ทั้งสองคนได้ลืมข้อมูลที่เหลียนต้าวเฟยบอกไปแล้วว่า หวังหลินคืออาจารย์ของเขา
ฉวี่ลี่กั๋วตกตะลึงไปชั่วขณะ หลายวันมานี้เขาแทบลืมเรื่องเจ้าอสูรร้าย จึงรีบพูดขึ้นมา “นี่เป็นแห่งสุดท้ายแล้ว นี่เป็นแห่งสุดท้าย! จุดนี้ไม่จำเป็นต้องใช้หินวิญญาณ เมื่อเราเข้าไปจะได้เจอสาวน้อยนั่น”
ยามนี้ระลอกคลื่นดังกึกก้องอยู่นอกดาวเคราะห์และมีหวังหลินก้าวออกมา เขามองดาวเคราะห์และขมวดคิ้ว แววตากะพริบเย็นเยียบ
“เหลวไหล!!”