1744. ค้นหาวิญญาณดวงที่สาม
มองดวงจันทรากลางค่ำคืน สายลมอ่อนๆ พัดผ่านมาทำให้เรือนผมสีขาวของ หวังหลินพลิ้วไสวในสายลม สายลมอ่อนเสมือนฝ่ามือของหวานเอ๋อร์ลูบใบหน้าของหวังหลินเบาๆ
คืนนี้ ดวงดาวและจันทรากระจัดกระจาย เขาไม่อยากนอนหลับเพราะมีลี่มู่หวานอยู่ด้วย จิตใจหวังหลินสงบนิ่งราวกับไม่ได้อยู่คนเดียว
สายลมพัดผ่านลงไป จิตใจหวังหลินลงไปยังโลงศพด้วย มันพัดเรือนผมสีดำของลี่มู่หวานให้ลอยขึ้น สายลมผ่านไป
เรือนผมสีดำในโลงศพดูเหมือนอยากล่องลอยไปในท้องฟ้าเช่นกัน แต่ท้ายที่สุดมันก็ขาดความแข็งแรงและตกลงมา
จนกระทั่งแสงจันทราสาดส่องให้หวังหลินมองเห็นร่างแก่ชราหนึ่งห่างออกไป ร่างนี้ห่อหุ้มด้วยแสงสีฟ้าและด้านข้างเขาคือสตรีผู้หนึ่ง
นางคือ หลี่เฉียนเหมย
พ่อลูกคู่นี้มาถึงได้สักพักแล้ว ทั้งสองมองดูหวังหลินเข้าไปในความฝันและ เห็นน้ำตาหยดลงใส่ลี่มู่หวานจากเบื้องหน้าหวังหลิน สองพ่อลูกนั้นหันตัวกลับใต้ แสงจันทราและค่อยๆ ก้าวเดินออกไป
ทว่าร่างแต่ละคนมีความอ้างว้าง โดยเฉพาะสตรีข้างๆ
หวังหลินหลับตาและไม่เอ่ยคำใดออกมา ค่ำคืนนี้เป็นของเขาและลี่มู่หวาน ไม่มีใครอื่น
กลางคืนถูกขับไล่ด้วยดวงตะวันที่กำลังส่องขึ้น แสงอีกสีนอกจากแสงจันทราได้ปรากฏขึ้นมา ตอนนี้หวังหลินลืมตามองลี่มู่หวานข้างในโลงศพ สายตานี้เสมือนสายตาที่มองนางไปหนึ่งพันปี!
“หวานเอ๋อร์ รอข้า…” หวังหลินพึมพำพลางสะบัดแขนขวา เก็บโลงศพอย่างระมัดระวัง ใบหน้าหวังหลินเผชิญกับท้องฟ้าที่มีทั้งดวงตะวันและจันทรา ก่อนจะถอนหายใจยาว
หวังหลินดวงตาส่องสว่าง พึมพำกับตัวเอง “ถึงเวลาค้นหาวิญญาณดวงที่สามแล้ว! เซียนเต๋าสีรุ้งและผีเฒ่าจางน่าจะค้นพบเบาะแสบางอย่าง…”
ด้านนอกแดนสวรรค์นั้นเป็นไปตามที่หวังหลินคาดคิด หลังจากเจอเรื่องเต๋า แห่งสวรรค์ พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้ในการตามหาวิญญาณดวงที่สาม ตอนนี้กลุ่มที่อยู่ในทะเลเมฆากำลังเคลื่อนไหวอยู่ในค่ายกล น้ำเต้าบนศีรษะกำลังแผ่กระจายหมอกจำนวนมาก
หมอกนี้เสมือนเครื่องชี้ทางและทั้งสี่คนกำลังติดตามไปอย่างช้าๆ พวกเขาทะยานผ่านดวงดาวและแผ่นดินที่ลอยอยู่จนเคลื่อนทะยานเข้าหาดาราจักรทุกชั้นฟ้า
ผีเฒ่าจางติดตามไปด้วยสีหน้ามืดมน พวกเขาประคองความสมดุลและไม่ไปขัดขวางกันและกัน
ผ่านไปสักพัก น้ำเต้าด้านบนสี่ขุนพลจึงแผ่กระจายหมอกไปมากกว่าเดิม สายหมอกสั่นเทาและก่อเกิดเป็นร่างขนาดใหญ่
ร่างนี้ไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นอสูรดุร้ายคล้ายสุนัข มันเหมือนกิเลนแต่แตกต่างตรงที่สร้างขึ้นจากหมอก จมูกขยับราวกับกำลังดมกลิ่นบางอย่าง
ชั่วขณะต่อมาเจ้าอสูรพลันมองขึ้นไปและเผยสายตาดุดัน มันกระโจนออกไปจากศีรษะของสี่ขุนพลและพุ่งไปข้างหน้า
สี่ขุนพลมีท่าทีตื่นเต้นพร้อมกับติดตามไป ผีเฒ่าจางดวงตาส่องสว่างจนยากจะซ่อนความคาดหวังเอาไว้
เจ้าอสูรตัวยักษ์สูดดมและเคลื่อนที่ต่อไป ท้ายที่สุดได้มาถึงเบื้องหน้าแผ่นดิน รกร้างแห่งหนึ่งและเริ่มร้องคำราม
สี่ขุนพลรีบติดตามเข้าไปและร่อนอยู่บนแผ่นดิน ส่งสัมผัสวิญญาณห่อหุ้มแผ่นดินและเริ่มค้นหาอย่างละเอียด
ผีเฒ่าจางร่อนลงมาด้วยและส่งสัมผัสวิญญาณออกไป แต่ไม่นานก็ขมวดคิ้ว
แผ่นดินแห่งนี้รกร้างและเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง เมื่อนานมาแล้วมีชีวิตอยู่ที่นี่และมีคนธรรมดาอาศัยอยู่จำนวนมาก
ทว่าตอนนี้ทุกอย่างเลือนหายไปตามกาลเวลา ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่บนแผ่นดิน มีแต่กลิ่นอายของอสูรดุร้ายไม่กี่ตัวที่เหลืออยู่
สี่ขุนพลดวงตาส่องสว่างและมองหน้ากันเอง พอเป็นแบบนี้แล้วพลังทำลายล้างจึงห่อหุ้มแผ่นดิน พริบตาเดียวเกิดเสียงกรีดร้องโหยหวนเป็นชุด พายุเข้าสังหาร ทุกสิ่งมีชีวิตบนแผ่นดินแห่งนี้
หลังจากทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่นี่ กลุ่มควันโผล่ออกมาจากแผ่นดินและเข้าไปในปากอสูร หลังจากมันดูดซับ เจ้าอสูรจึงส่ายศีรษะและทะยานออกไป
“อาา ที่นี่ก็ไม่ใช่…”
“แม้ว่าจะไม่ใช่ที่นี่ แต่การที่เจ้าหมอกอสูรของราชันย์เทพอยู่ที่นี่เพื่อดมกลิ่นนั่นหมายความว่าวิญญาณดวงที่สามต้องใช้เวลาเกิดใหม่อยู่ที่นี่…”
“ยิ่งเจ้าหมอกอสูรดูดซับกลิ่นอายเกิดใหม่ของวิญญาณดวงที่สามมากขึ้น มันยิ่งค้นหาตำแหน่งได้แม่นขึ้นเท่านั้น มันกลืนกินไปแล้วหลายครั้ง จนใกล้ถึงเวลาแล้ว!”
สี่ขุนพลมองหน้ากันเองและออกไปจากแผ่นดินแห่งนี้ พวกเขาติดตามอสูรหมอกจนถึงขอบของทะเลเมฆา สถานที่แห่งนี้นำทางไปสู่ดาราจักรทุกชั้นฟ้า!
ผีเฒ่าจางติดตามอยู่ด้านหลัง จดจ้องหมอกอสูร ดวงตาส่องสว่าง
“ดูเหมือนวิญญาณดวงที่สามอยู่ในดาราจักรทุกชั้นฟ้า!! ข้าใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่นี่ หากวิญญาณดวงที่สามอยู่ในดาราจักรทุกชั้นฟ้าจริง มันจะเป็นคนหรือเป็นอสูร…”
อีกด้านหนึ่งของดาราจักรทุกชั้นฟ้าคือดาราจักรฟ้ากระจ่าง ก้อนเมฆสีรุ้ง เคลื่อนทะยานผ่านดวงดาวอย่างรวดเร็ว เซียนเต๋าสีรุ้งขมวดคิ้วพลางมองหยด ผลึกโลหิตในมือ
เขาค้นหาไปทั่วดาราจักรฟ้ากระจ่างยกเว้นดาวเบญจธาตุ เขาตรวจทุกตารางนิ้วของดาราจักร ทุกดาวเคราะห์ ทุกฝุ่นผง แต่ท้ายที่สุดกลับไม่พบเบาะแส
ขณะที่กำลังขบคิด เซียนเต๋าสีรุ้งเงยศีรษะขึ้นมา
เขาพบในภาพมายาสองชั้นว่าวิญญาณดวงที่สามนั้นล่องลอยมาที่ดาราจักร ฟ้ากระจ่าง เขาเพียงแค่ไม่รู้ว่ามันไปหยุดที่ดาราจักรฟ้ากระจ่างหรือไปต่อ
เป็นเพราะช่วงนาทีนั้นเองหวังหลินได้ขัดขวางภาพมายาของเขาและบังคับให้ตื่น
พอคิดเช่นนี้ เซียนเต๋าสีรุ้งจึงมืดมนขึ้น ความเกลียดชังที่มีต่อหวังหลินยิ่งเพิ่มพูน
‘แม้จะไม่มีภาพมายา ด้วยโลหิตทั้งหมดที่ข้ารวบรวมมาระหว่างสงครามของดินแดนชั้นนอกและดินแดนชั้นใน ข้ายังสามารถตามหาวิญญาณดวงที่สามได้! หากเขาไม่ได้อยู่ในดาราจักรฟ้ากระจ่าง ข้าจะไปค้นที่อัญเชิญนที! หากจำเป็นข้าจะค้นทั้งสี่ดาราจักร ข้าไม่เชื่อว่าวิญญาณดวงที่สามจะสามารถออกไปจากโลกถ้ำได้!’ เซียนเต๋าสีรุ้งมีท่าทีมืดมนพลางทะยานเข้าหาดาราจักรอัญเชิญนที
เขายังคงมองโลหิตในมือ โลหิตนี้ไม่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่เซียนเต๋าสีรุ้งรู้ว่าโลหิตมีชีวิตของคนในโลกถ้ำเอาไว้ หากมันเจอกับคนที่มาจากโลกถ้ำจะไม่เกิดอะไร แต่หากเจอกับคนนอกโลกถ้ำที่มาเกิดใหม่ในนี้ มันจะเปล่งประกายเจิดจ้า
ทว่าระยะของหยดโลหิตไม่กว้างนักและมีเพียงแค่หยดเดียว จึงเสียเวลาไปมาก อย่างไรก็ตามเขารอมานานแล้ว
ขณะที่ก้าวออกไป เซียนเต๋าสีรุ้งได้มาถึงดาราจักรอัญเชิญนทีและเริ่มค้นหาอย่างละเอียด
ด้วยการค้นแบบนี้ วิญญาณดวงที่สามจึงไม่สามารถซ่อนตัวได้เลย อีกไม่นานก่อนที่ความลับใหญ่หลวงที่สุดในโลกถ้ำจะถูกเปิดเผย!
หวังหลินก็กำลังค้นหาวิญญาณดวงที่สามเช่นเดียวกัน!
หวังหลินนั่งอยู่บนภูเขา ส่งสัมผัสวิญญาณเข้าห่อหุ้มแดนสวรรค์ เขาพบฉิงชุ่ยอยู่ในตำหนักไม้บนภูเขาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของแดนสวรรค์
ผีเสื้อสีแดงอยู่กับฉิงชุ่ยเช่นกัน สองพ่อลูกอาศัยอยู่ที่นั่นอย่างสงบ
ตอนนี้ฉิงชุ่ยกำลังยิ้มให้กับผีเสื้อสีแดง ชี้แนะแนวทางในการบ่มเพาะให้นาง นางซึ่งมีพรสวรรค์อยู่แล้วจึงเรียนรู้ได้มากมาย
“การบ่มเพาะเน้นไปที่อารมณ์ความรู้สึกและจินตนาการ จินตนาการคือทุกอย่าง…และ…” ฉิงชุ่ยพลันดวงตาส่องสว่างและมองไปขึ้นไปบนท้องฟ้า ในสายตามีความรู้สึกซับซ้อนแล่นวาบ ครู่ต่อมาจึงยืนขึ้น
“ผีเสื้อสีแดง ฝึกฝนด้วยตัวเองไปก่อน พ่อมีบางอย่างต้องทำ” เพียงเท่านั้นฉิงชุ่ยจึงก้าวเท้า เปลี่ยนกลายเป็นเงาหายวับไปจากห้อง
ผีเสื้อสีแดงมองตำแหน่งที่พ่อหายไปและเผยสีหน้ากังวล ขบคิดเล็กน้อยจึง ถอนหายใจ หลับตาและเริ่มบ่มเพาะอย่างสงบนิ่ง
ระลอกคลื่นดังขึ้นมาบนภูเขาที่หวังหลินอยู่ ฉิงชุ่ยก้าวเดินออกมาให้เห็น
“ศิษย์พี่ฉิงชุ่ย ช่วยข้าค้นหาวิญญาณที!” หวังหลินยืนขึ้นและคำนับฝ่ามือให้ฉิงชุ่ย
ฉิงชุ่ยขบคิดเงียบๆ จากนั้นมาอยู่ข้างหวังหลิน ท่าทีซับซ้อน ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยขึ้นเบาๆ “เจ้ารู้ตัวตนของข้า…”
หวังหลินมองฉิงชุ่ยและพยักหน้า
“ตอนที่อยู่ในดินแดนเจ็ดสี เจ้าไม่ได้ถามข้าแต่ข้าพบคำตอบด้วยตัวเอง ความจริงข้ารู้ว่าข้าเป็นเพียงแค่เศษวิญญาณที่ถูกสร้างขึ้นมาเท่านั้น…ขออภัยที่ไม่ได้บอกเจ้าเรื่องนี้…ข้าไม่อยากยอมรับตัวเอง” ฉิงชุ่ยหลับตาและนั่งลงเบื้องหน้าหวังหลิน
ฉิงชุ่ยพึมพำ “ลงมือเลย ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะใช้วิธีอะไร แต่ข้าจะช่วยเจ้าให้ดีที่สุด!”
“ข้ารู้เพียงศิษย์พี่ฉิงชุ่ยเป็นหนึ่งในเจ็ดเศษวิญญาณเท่านั้น ส่วนอีกหกคนข้าไม่มีเบาะแส…แต่ศิษย์พี่สบายใจได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะไม่ยอมให้สามวิญญาณ เข้าผสานและกลืนกินเจ็ดเศษวิญญาณได้!”
“เมื่อข้าค้นพบวิญญาณดวงที่สาม ข้าจะฆ่ามัน!” หวังหลินยื่นแขนขวาไปที่ จุดกลางหน้าผาก ใบเรือหน้าปีศาจลอยออกมา มันขยายออกไปจนเป็นขนาดใหญ่ เข้าครอบคลุมทั้งสองอยู่ด้านบน
ใบหน้าน่ากลัวดูดุร้ายและพุ่งใส่หวังหลินและฉิงชุ่ย มันอ้าปากและกลืนกินทั้งสองทันที!
พอทั้งสองถูกกลืนกิน ความคิดจิตใจจึงสั่นไหว ราวกับสายฟ้าระเบิดและนำพา จิตวิญญาณของทั้งคู่กลับไปยุคโบราณ เป็นตอนที่วิญญาณของราชันย์เทพสีรุ้งถูกแบ่งออกเป็นสามวิญญาณและเจ็ดเศษวิญญาณ!
เริ่มการค้นหาวิญญาณ!!!