1796. ความตั้งใจอันทรงพลัง
ตอนนี้หวังหลินอยู่ในความว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยกฎแห่งแผ่นดินเซียนดารามา หกปีแล้ว บนแผ่นดินเซียนดารานั้นทุกสิ่งทุกอย่างสงบสุขและไม่มีสงคราม ระหว่างเผ่าเทพและเผ่าโบราณไม่ได้มีข้อบาดหมางอะไรกันมากนัก
ช่วงปีนี้มีอัจฉริยะหลายคนเปล่งประกายทั่วแผ่นดินเทพ 72 แห่ง หนึ่งในนั้นมีชื่อว่าหยุนยี่เฟิง!
ปีนี้จักรพรรดิเทพซึ่งปกครองทั่วแผ่นดินเทพ 72 แห่งได้ออกมาจากการปิดด่านบ่มเพาะหลายหมื่นปี แผ่นดินครึ่งนึงถูกห่อหุ้มด้วยพลังปราณสวรรค์มหาศาล
ปีนี้เซียนบางคนจากโลกถ้ำได้เกิดใหม่ไปอย่างเงียบงัน แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาไปอยู่ไหน
สามเผ่าโบราณและแคว้นโบราณทั้ง 36 อาณาเขตไม่ได้มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นมากนัก พวกเขาผ่านปีนี้ไปอย่างสงบสุข
แคว้นทุกแห่งบนแผ่นดินเซียนดารามีขนาดเทียบเท่าโลกถ้ำหลายสิบแห่งรวมกัน มันใหญ่มากจนเซียนธรรมดาหลายคนไม่เคยออกไปจากแคว้นของตัวเอง
โดยเฉพาะแม่น้ำสวรรค์ที่อยู่คั่นกลางระหว่างเผ่าพันธุ์เทพและเผ่าพันธุ์โบราณ แม่น้ำสายนี้มีพลังลึกลับบางอย่างและมีอสูรทรงพลังหลายตัวอาศัยอยู่ มีเพียงเซียนทรงพลังถึงกล้าเข้าไป กระนั้นก็ไม่สามารถเข้าไปได้ลึกมากเพราะมีม่านพลังกั้นป้องกันการรุกราน!
ปีนี้ผ่านไปอย่างเงียบๆ เช่นนี้
ท่ามกลางแคว้น 72 แห่งของเผ่าเทพ หนึ่งในเก้าแคว้นจากแม่น้ำสวรรค์ที่มีอนาคตไกลที่สุดคือ แคว้นกระทิงสวรรค์! หากแคว้นนี้ถูกย่อส่วนไปหลายเท่าจะมองเห็นมังเป็นรูปทรงเหมือนกระทิง!
ดังนั้นจึงมีชื่อว่ากระทิงสวรรค์!
แคว้นแห่งนี้ถูกควบคุมและอยู่ไกลจากเมืองหลวงของแคว้นมิ่งสวรรค์ ในเวลาเมื่อนานมาแล้วมันถือว่าเป็นแคว้นชั้นนอก มันอยู่ทางทิศตะวันออกของแผ่นดิน เซียนดาราพร้อมกับอีกแปดแคว้น ก่อตัวเป็นแคว้นฝั่งทิศตะวันออก!
แคว้นทิศตะวันออกมีเก้าแคว้น สิบสามกองกำลังโดยมีสำนักตะวันม่วงเป็นผู้นำ ส่วนสำนักตงหลินเป็นสำนักที่ลึกลับที่สุด นอกจากนี้ยังมีสำนักกุ้ยยี่ สำนักมหาวิญญาณซึ่งกลายเป็น 21 สำนักที่มีชื่อเสียงที่สุดบนแคว้นทิศตะวันออก
นอกจากเก้าสำนักสิบสามกองกำลังแล้ว ยังมีสำนักเล็กๆ อยู่บางส่วนแต่ก็ไม่สามารถเทียบชั้นกับเหล่า 21 สำนักได้ ซึ่งคงไม่ต้องกล่าวถึงสำนักตะวันม่วงที่ลือกันว่ามีหนึ่งในเก้าตะวันอีกด้วย
แคว้นกระทิงสวรรค์ตกอยู่ใต้อิทธิพลของสำนักมหาวิญญาณและสำนักกุ้ยยี่ สำนักเจ็ดเต๋านั้นได้ถูกสร้างขึ้นจากการควบคุมของสำนักกระทิงสวรรค์
ณ เทือกเขาสีดำที่ปกคลุมไปด้วยป่าไม้ มีชั้นหมอกห่อหุ้มรอบเขาและยากจะเห็นอสูรตัวใดที่นั่น
ภายในเทือกเขามีเพียงยอดเขาที่สูงที่สุดและอยู่อย่างโดดเดี่ยว ทั้งยังมี หมอกหนาแน่นที่สุดอยู่โดยรอบยอดเขา ที่นั่นคือตำแหน่งของสำนักเจ็ดเต๋า ตอนที่โลกถ้ำปิดลง ซูต้าวได้ผนึกสำนักเจ็ดเต๋าเอาไว้ หลายปีผ่านไปสำนักเจ็ดเต๋าจึงตกต่ำลง ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่ที่นี่และเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย
ที่นี่คือ ตำแหน่งหลังจากออกมาจากโลกถ้ำ
หยุนยี่เฟิง ฟ่านชานลิ่วหรือใครก็ตามซึ่งมีสายโลหิตแผ่นดินเซียนดาราที่ออกมาจากโลกถ้ำจะปรากฏตัวที่นี่หมด พวกเขามองบ้านเกิดอันคุ้นเคยด้วยสายตาประหลาดก่อนจะจากไป
วันหนึ่งในปีที่หก หากมีสายตาที่สามารถทะลุหมอกหนาแน่นเข้าไปได้คงมองเห็นตำหนักหลายแห่งของสำนักเจ็ดเต๋า ท่ามกลางตำหนักเหล่านั้นมีตำหนักขนาดใหญ่แห่งหนึ่งและนั่นคือห้องโถงหลักของสำนักเจ็ดเต๋า ทั้งยังเป็นสถานที่ที่ราชันย์เทพสีรุ้งใช้ปิดด่านบ่มเพาะ
ในวันนี้ด้านนอกตำหนักที่อยู่ในภูเขา ร่างหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา เป็นชายหนุ่มชุดดำ แต่ถึงแม้จะดูอ่อนเยาว์แต่เขามีสายตาที่ผ่านโลกมานานแล้ว
เขาคือ ซวนลั่ว
ซวนลั่วมองตำหนักของสำนักเจ็ดเต๋าที่ซ่อนอยู่ในหมอกและนั่งลงอย่างช้าๆ
‘หวังหลิน ทุกคนได้ไปเกิดใหม่แล้ว แต่ข้าไม่สามารถควบคุมได้ว่าพวกเขาจะไปเกิดใหม่เมื่อใด บางทีเพียงไม่กี่ปี หรือบางทีคงอีกหลายปีก่อนจะปรากฏตัว…’
‘แต่ทั้งหมดปลอดภัย’ ซวนลั่วถอนหายใจพลางมองไปยังตำหนัก คล้ายมองทะลุความว่างเปล่าเข้าไปในตำหนักและเห็นหวังหลินที่กำลังพยายามออกมาจากที่นั่น
‘มีเวลาเหลือน้อยกว่าสี่ปี ศิษย์เอ๋ย อาจารย์ทำทุกอย่างที่ทำได้ไปหมดแล้ว…ตอนนี้ทั้งหมดขึ้นอยู่กับเจ้า…’ ซวนลั่วหลับตาลง กลางหน้าผากมีแสงกะพริบ สีแดงวาบขึ้นมา แสงนี้เพื่อให้มั่นใจว่าหวังหลินไม่หลงทาง
ด้านความว่างเปล่าที่คั่นกลางระหว่างโลกถ้ำและแผ่นดินเซียนดารา หวังหลินหน้าซีดเผือด โคจรพลังบัญชาโบราณในร่างกายเพื่อต่อต้านแรงกดดันบ้าคลั่งที่โผล่ออกมาจากทุกทิศทาง
แรงกดดันเหล่านี้ทรงพลังเกินกว่าคำอธิบายได้แล้ว ถ้าไม่มีอสูรยุงที่เคลื่อนไปข้างหน้าต่อไป หวังหลินคงหยุดชะงักลง แม้ตอนนี้ราชายุงจะเคลื่อนไหวช้ามากและต้านทานแรงกดดันอยู่ บางครั้งมันก็ส่งเสียงร้องอย่างเงียบงัน
หวังหลินดวงตาแดงฉาน แก่นแท้ในร่างใช้ไปหมดแล้วและไม่มีทางฟื้นคืน หนทางเดียวในการต่อต้านกฎแห่งแผ่นดินเซียนดาราในตอนนี้คือร่างบัญชาโบราณ
เขาไม่เห็นร่างศพมาเกินกว่าหนึ่งปีแล้ว ดูเหมือนคงจะหายากมากที่จะมีคนมาได้ไกลขนาดนี้
มังกรโลหิตหายไปนานแล้ว แม้กระทั่งอักขระสีแดงที่สร้างขึ้นกลางหน้าผากก็ดูซีดเซียวจนแทบมองไม่เห็น
เจ็ดปีที่ผ่านมาเป็นเรื่องยากสำหรับหวังหลินที่สุด โดยเฉพาะเขาที่ต้องปกป้องภรรยาด้านหลังไปด้วย ทุกวันเขาต้องเผชิญกับความเจ็บปวดยิ่งมากขึ้น
แต่หวังหลินไม่เสียใจ!
หนึ่งเดือน สองเดือน สามเดือน…พริบตาเดียวผ่านไปอีกหนึ่งปี ในปีที่แปดนั้น แรงกดดันเพิ่มขึ้นในทันที ตลอดทั้งความว่างเปล่าได้เปลี่ยนเป็นของแข็งกดทับใน ร่างหวังหลิน โลหิตไหลออกจากมุมปาก ทัศนวิสัยพร่ามัว เขาเข้าใจว่าตัวเองกำลังจะสลบไป
หวังหลินพยายามยกแขนขวาขึ้นมาวางใส่ศีรษะเจ้าราชายุงที่พยายามเคลื่อนไปข้างหน้า ราชายุงอยู่กับเขามาแปดปีและหวังหลินได้เห็นว่าที่นี่คือบ้านจริงๆ ของบรรพชนราชายุง เห็นได้ชัดว่าราชายุงปรับตัวให้เข้ากับที่นี่ได้ดีกว่าหวังหลิน
อย่างไรก็ตามมันไม่ได้เกิดที่นี่ บางทีหลังจากผ่านไปอีกนานหลายปีมันคงปรับตัวได้อย่างสมบูรณ์ แต่ตอนนี้มันไม่สามารถเข้าไปสู่ส่วนลึกของความว่างเปล่าได้
ราชายุงเหนื่อยเกินกว่าจะเข้าไปด้วยกำลัง มันจำเป็นต้องผสานกับกฎของแผ่นดินเซียนดาราให้มากขึ้นเพื่อวิวัฒนาการอีกหลายครั้งจนบรรลุสภาวะเหมือนบรรพชน
“ไม่ต้องไปข้างหน้ากับข้าหรอก…ในเมื่อที่นี่คือบ้านเจ้า เจ้าก็ควรอยู่ที่นี่…เจ้าอยู่กับข้ามากกว่าสองพันปีแล้ว วันนี้เจ้า…ไป…”
ราชายุงตัวสั่นเทาและร้องคำราม เสียงคำรามแผ่กระจายไปยังความว่างเปล่าและเต็มไปด้วยการขัดขืน เป็นครั้งแรกที่มันไม่ฟังคำสั่งหวังหลิน มันไม่ต้องการจากไป มันต้องการใช้พลังทั้งหมดของมันเพื่อพาหวังหลินไปให้ไกลขึ้นอีกนิดก็ยังดี แม้นั่นจะหมายถึงความตาย มันก็ต้องการส่งหวังหลินไปให้ไกลมากที่สุด!
หวังหลินยิ้มออกมา แม้เขาจะทุกข์ทนกับเจ็บปวดอย่างมหาศาลแต่มีความสุขมาก เขาส่ายศีรษะและยืนขึ้นช้าๆ ท่าทีเรียบง่ายเช่นนี้กลับยากยิ่งสำหรับเขา
จังหวะที่ลุกขึ้นมา ดวงตาเผยประกายแสงที่หายไปนานแล้ว ร่างกายส่งเสียงปะทุดังกึกก้อง พลังบัญชาโบราณระเบิดออกมาเต็มที่ ทำให้เขามีพลังในการทะยานไปข้างหน้าชั่วคราว
แขนขวาสร้างผนึก หวังหลินไม่ยอมให้ราชายุงปฏิเสธ จากนั้นวางแขนไว้ บนศีรษะมัน เมื่อการเคลื่อนไหวของราชายุงถูกจำกัด หวังหลินจึงกระโจนออกไปและทะยานไปข้างหน้า
“ไปซะ!! นี่คือบ้านเกิดเจ้า อย่าติดตามข้า!” หวังหลินเอ่ยเสียงหนักแน่น เขาสะบัดแขนให้อสูรยุงที่เหลือเก้าตัวลอยไปหาราชายุง
ซึ่งทำให้ระยะห่างระหว่างหวังหลินและราชายุงเพิ่มขึ้นมหาศาล ด้านหลัง หวังหลินมีเสียงร้องแหลมดังกึกก้องจากราชายุง เป็นเสียงร้องแห่งความสิ้นหวังจากเด็กน้อยที่ถูกพลัดพรากจากครอบครัว
จิตใจหวังหลินรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดจากเสียงร้องไห้ แต่ก็ไม่หยุดชะงัก ใช้ความพยายามทั้งหมดทะยานไปข้างหน้า เขารู้ว่าเวลานี้โอกาสรอดชีวิตเหลือน้อยกว่า หนึ่งในสิบ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วทำไมถึงลากราชายุงไปกับเขาด้วย?
ราชายุงทำลายโซ่ตรวนออกมาและพุ่งหาด้วยสายตาแดงฉาน มันไม่ต้องการทิ้งหวังหลิน แม้จะตายที่นี่ก็ต้องตายข้างเจ้านาย
ฝ่ามือที่หวังหลินวางเอาไว้บนราชายุงมีสิบผนึกที่หยุดยั้งมันไม่ให้เคลื่อนที่ข้างหน้าต่อไป
การหยุดยั้งนี้ทำให้ระยะห่างระหว่างราชายุงและหวังหลินเพิ่มขึ้นมหาศาล ไม่ว่ามันพยายามแค่ไหนก็ไม่สามารถตามหาเจ้านายเจอได้
เสียงร้องไห้โศกเศร้าดังกึกก้องในความว่างเปล่าและแผ่กระจายออกไปไกล หวังหลินพยายามเคลื่อนที่ไปข้างหน้าต่อไปแต่ยังได้ยินเสียงร้องไห้ของเจ้าราชายุง เขามองกลับไปชั่วครู่ก่อนจะกัดฟันแน่นเดินทางต่อไป
หลังจากไล่ตามอยู่สักพัก ราชายุงยังไม่สามารถตามหาหวังหลินเจอ มันสั่นเทาจากแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นและหยุดลงอย่างช้าๆ แต่มันไม่ยอมแพ้ มันหันตัวกลับมาหาอสูรยุงอีกเก้าตัว มันกำลังจะผสานกับกลิ่นอายของที่นี่ให้มากขึ้นและรีบวิวัฒนาการกลับไปเป็นร่างบรรพชน มีเพียงเท่านั้นจึงจะทำให้เคลื่อนไหวได้รวดเร็วและตามหาเจ้านายเจอได้!
ตอนนี้ถึงปีที่เก้าแล้ว!
หวังหลินแยกทางจากอสูรยุงมาหนึ่งปี ร่างหวังหลินมาถึงขีดจำกัดแล้ว เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างหนักหน่วงพร้อมกับใช้ความพยายามทั้งหมดปกป้องภรรยาที่อยู่ด้านหลัง ดวงตาทื่อลงแต่ยังมีความตั้งใจอันทรงพลังอยู่ข้างใน
ความตั้งใจนี้คือเจตจำนงฝืนลิขิตฟ้าที่เขามีมานานแล้ว!
สองพันปีก่อนตอนที่เขายังเป็นเด็กหนุ่มคนธรรมดา เขาปีนเขาก้าวขึ้นไปบนสำนักเหิงยั่วด้วยร่างที่มีแต่โลหิต แต่เขาไม่เคยยอมแพ้ หลังจากผ่านไปอีกสองพันปี เขายังเป็นหวังหลินคนเดิมที่ดันทุรัง!