1817. กระทิงเขียว
พอมองหวังหลินและราชายุงที่หายไปไกลลิบตา ตู้ฉิงเผยสีหน้าขมขื่น เขาต้องการตบหน้าตัวเองและระงับความหวาดกลัวในใจพลางมุ่งหน้าไล่ให้ทันด้วยความเร็วสูงสุด
‘อ้าก เขามีสมบัติและแก่นแท้มากมาย แม้แต่อสูรก็ยังพิเศษ…มีพื้นหลังแข็งแกร่งและยังสร้างร่างแก่นแท้ขึ้นมาได้…เขาเป็นเซียนที่ไม่ควรไปล่วงเกินหรือเทียบเคียงได้…’ ตู้ฉิงบ่นกับตัวเองต่อไปแต่ยังรู้สึกผิด
‘บัดซบ ทำไมข้าถึงด้อยกว่า…ข้า…เทียบไม่ได้จริงๆ!’ ตู้ฉิงรู้สึกอนาถใจมากยิ่งขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท่องทะยานอยู่ครึ่งวันก็ยังตามไม่ทันหวังหลิน
‘เขาเป็นอัจฉริยะแห่งสวรรค์ ดุจศิษย์หลักของเหล่ายอดสำนัก ดังนั้นข้าจึงเทียบไม่ได้…แต่ข้าตู้ฉิงได้ระดับบ่มเพาะและสมบัติทั้งหมดมาด้วยตัวเอง แม้เขาจะดีกว่าข้า แต่ข้าพนันว่าเขาได้รับมาจากมหาชั้นฟ้าคนนั้น…ฮึ่ม เขาก็แค่โชคดี’ พอตู้ฉิงคิดเช่นนี้จึงรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
หากรู้ถึงตัวตนและต้นกำเนิดของหวังหลิน และรู้ว่าสองพันปีของหวังหลิน หนักหนาสาหัสแค่ไหน จิตใจเขาคงอยู่ไม่เป็นสุข หากเขาเกิดในโลกถ้ำและโชคดีได้เจอทันหลาง เขาก็ยังคงไม่สามารถออกมาจากโลกถ้ำได้เหมือนหวังหลินด้วยเวลา สองพันปี!
พริบตาเดียวครึ่งเดือนก็ผ่านไป ช่วงครึ่งเดือนนี้หวังหลินหยุดหลายครั้งเพื่อรอให้ตู้ฉิงตามมาให้ทัน ใช้เวลาบินอยู่ครึ่งเดือนราชายุงยังคงมีจิตใจสูงส่งและไม่เผยท่าทีเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย หลังจากมันผ่านการปรับเปลี่ยนโครงสร้างไปหลายครั้ง ความเร็วของมันเพิ่มระดับขึ้นไปอย่างน่าหวาดกลัวจนแม้แต่ตู้ฉิงก็ไล่ตามไม่ทัน
ขณะที่มันบินไปด้วยนั้น มันสามารถดูดซับกลิ่นอายของแผ่นดินเซียนดาราและบ่มเพาะได้เหมือนเซียนคนหนึ่ง จึงทำให้มันยิ่งบินได้เร็วมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้มันเร็วยิ่งกว่าหวังหลินทะยานด้วยตัวเองหลายเท่า
ตู้ฉิงอยู่ด้านหลังและตกอยู่ในสภาวะย่ำแย่ ตลอดช่วงครึ่งเดือนนี้เขาเหาะเหินอย่างต่อเนื่องโดยไม่ได้พัก ทุกครั้งที่เห็นหวังหลินและอสูรที่เขากลัวกำลังรอ เขาจึงรู้สึกหดหู่
พอมองราชายุง สายตาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ เขาเจออสูรมากมายหลายตัวในชีวิตแต่ไม่เคยเจอตัวใดมีความเร็วระดับนี้
‘อา แค่ไม่เอาประทับสีทองออกมาก่อนก็ถือว่าโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว ตอนนี้เมื่อดูเขาให้ชัดเจน ดูเหมือนเขาป้องกันไม่ให้ข้าไล่ทันแต่ก็จงใจให้ข้าไล่ตาม…เขาช่างโหดเหี้ยมเกินไป!’ ตู้ฉิงยิ้มอย่างขมขื่น
เวลาผ่านไปอีกหลายวัน เมื่อรู้สึกเกือบมาถึงขีดจำกัดแล้ว สำนักมังกรฟ้าได้ปรากฏขึ้นห่างออกไปไกล
ตู้ฉิงมองสำนักมังกรฟ้าก่อนจะหันมาทางหวังหลินที่สงบนิ่งและไม่เหนื่อยหอบเลยแม้แต่น้อย จากนั้นมองอสูรด้านล่างที่ดูเหมือนบินได้ไม่รู้จักเหนื่อย ตู้ฉิงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
จังหวะที่ทั้งสองเข้ามาใกล้ เหล่าศิษย์ทั้งหมด ของสำนักมังกรฟ้าจึงโผล่ออกมา สามผู้อาวุโสที่ไม่โดนผนึกจึงลอยขึ้นบนท้องฟ้าด้วย
เดิมทีพวกเขาคิดว่าบรรพชนจับคนผู้นั้นและกลับมาแล้ว แต่พอได้เห็นบรรพชนกำลังหอบหายใจขณะที่หวังหลินดูสงบนิ่ง พวกเขาได้แต่ตกตะลึงและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“พวกเจ้ายืนหาพระแสงอะไร? ออกมาทักทายสหายข้า นี่คือสหายสนิทของข้าและเขาช่วยเราไว้อย่างมาก ข้าจึงเชิญเขามาที่นี่เพื่อเอ่ยคำขอบคุณ” สายตาของตู้ฉิงทำให้ทุกคนในสำนักมังกรฟ้ากระจายตัวกันทันที
“สหายเซียนหวัง ได้โปรด ได้โปรด…” ตู้ฉิงยิ้มและคำนับหวังหลิน
ท่าทีที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ทำให้สีหน้าท่าทางของศิษย์ในสำนักทั้งหมดเปลี่ยนแปลงตาม ทว่าแต่ละคนหวาดกลัวบรรพชนอยู่ในใจอย่างลึกล้ำ ดังนั้นจึงไม่มีใครทำลาย ความเงียบสงบ พวกเขาได้แต่เฝ้าดูบรรพชนเชิญชวนคนที่โหดเหี้ยมคนนั้นเข้าไปยังหลังภูเขา
ชายวัยกลางคนที่สูญเสียแขนไปสองข้างตอนนี้ฟื้นฟูมาดีแล้ว ดวงตาพลันส่องสว่าง ‘มีบางอย่างผิดปกติ นิสัยของบรรพชนนั้นต้องบอกได้ว่าเป็นคนที่อาฆาตแค้นอย่างยิ่ง อธิบายได้อย่างเดียวคือ คนลึกลับแซ่หวังคนนั้นอาจเป็นคนที่ทำให้บรรพชนหวาดกลัวจนต้องดูแลเขาเหมือนแขก’
‘บรรพชนอาจจะสู้กับเขามาแล้วและเทียบไม่ติด…’ อีกสองผู้อาวุโสมองหน้ากันเอง มองเห็นควมหวาดกลัวของแต่ละฝ่าย
ตู้ฉิงพาหวังหลินไปหลังภูเขา แม้ที่นี่จะถูกทำลายไปแล้วเช่นกัน ภูเขายังอยู่และถ้ำข้างในยังครบถ้วน
ในถ้ำหรูหราเป็นอย่างยิ่ง ไข่มุกราตรีขนาดเท่าศีรษะนับไม่ถ้วนกำลังส่องแสงสว่างขึ้นในถ้ำดุจดวงดารา ข้างในยังมีหลายห้องเช่นห้องหลอม ห้องปรุงยาและ ห้องปิดด่านบ่มเพาะ มีทุกอย่างที่เซียนต้องการ
“สหายเซียนหวัง ที่นี่เรียบง่ายแต่ข้าหวังให้ท่านอดทนรอจนกว่าสำนักจะสร้างใหม่เสร็จสิ้น จากนั้นท่านจะได้เปลี่ยนไปพักผ่อนที่ดีกว่านี้” ตู้ฉิงฝืนยิ้ม เขาคิดว่าที่นี่ยอดเยี่ยมแล้ว พื้นดินเป็นหินทะเลตะวันออกซึ่งเพิ่มกลิ่นอายของโลกมารวมกันที่นี่ ไข่มุกราตรีก็ไม่ธรรมดา พวกมันจำลองเป็นท้องฟ้าดวงดารา เพื่อให้ได้สัมผัสความกว้างใหญ่ไพศาลของโลกใบนี้
ห้องปรุงยาก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน ทุกอย่างที่นี่คือสิ่งที่เขาขโมยมาทั้งหมด
“ข้ารับได้” หวังหลินมองไปรอบๆ และนั่งลง มองดูตู้ฉิงและเอ่ยขึ้น
“สหายเซียนตู้ ข้ามาจากอีกแคว้นหนึ่ง ข้าสงสัยว่าสายเพลิงปฐพีกิ่งก้านหลักอยู่ที่ใดในแคว้นกระทิงสวรรค์?” แคว้นกระทิงสวรรค์นั้นกว้างใหญ่เกินไป ดังนั้นหวังหลินจึงไม่สามารถค้นหาสายเพลิงหลักได้ในชั่วระยะเวลาอนสั้น เขาคงต้องใช้เวลามากเพื่อตามหา
พอตู้ฉิงได้ยินเช่นนี้ เขาจึงเข้าใจเจตนาของหวังหลิน หลังจากขบคิดเล็กน้อยจึงนั่งลงตรงข้ามหวังหลินและเอ่ยปาก
“แคว้นกระทิงสวรรค์ครอบครองธาตุอัคคีและมีสายเพลิงปฐพีมากที่สุด ลือกันว่าสายเพลิงปฐพีเชื่อมต่อกันเป็นค่ายกลเอาไว้ข่มกระทิงสวรรค์ ตำนานเล่าว่า กระทิงสวรรค์ถูกบรรพชนเทพสังหาร ร่างกายของมันถูกทำให้เป็นแผ่นดินแผ่นแคว้น วิญญาณดั้งเดิมถูกข่มด้วยเปลวเพลิง”
“นี่เป็นเพียงข่าวลือ หลายคนค้นหามาหลายปีแต่ก็ไร้เบาะแส”
“ทว่ายังมีอีกข่าวลือ สายเพลิงปฐพีไม่ได้ถูกบรรพชนเทพวางเอาไว้แต่เป็นสายโลหิตของกระทิงสวรรค์…สายเพลิงหลักที่เจ้ามองหาน่าจะเป็นสายที่ใหญ่ที่สุดทะลุผ่านทั้งแคว้นกระทิงสวรรค์”
“สำนักมหาวิญญาณมีความเกี่ยวข้องกับสายเพลิงปฐพี!” พอตู้ฉิงเอ่ยประโยคสุดท้าย น้ำเสียงพลันเงียบลง สะบัดแขนขวาปรากฏเขตอาคมขึ้นมาผนึกพื้นที่
ตู้ฉิงกระซิบ “สำนักมหาวิญญาณเป็นหนึ่งในเก้าสำนักสิบสามกองกำลัง พวกเขามีผู้เชี่ยวชาญและวิชาลึกลับหลายอย่าง พอพูดถึงสำนักนี้เราจึงต้องระมัดระวังไว้ก่อน”
“ข้ามีเพลิงเป็นหนึ่งในสามแก่นแท้และมีสัมผัสที่รุนแรงต่อเพลิงปฐพี ทุกครั้งที่ข้าเข้าไปยังสำนักมหาวิญญาณ เพลิงในร่างกายข้าถูกกดทับเอาไว้ ราวกับมีเจตจำนง ทรงพลังที่ทำให้เพลิงทั้งหมดของข้าต้องยอมจำนน”
“ตามการวิเคราะห์ของข้าแล้ว นั่นน่าจะเป็นตำแหน่งที่เพลิงปฐพีสายหลัก ของแคว้นกระทิงสวรรค์ตั้งอยู่ อาจมีคนที่มีแก่นแท้เพลิงทรงพลังยิ่งอยู่ในสำนัก มหาวิญญาณ”
“และข้ายังรู้จักบรรพชนของสำนักมหาวิญญาณ มีชื่อว่ากระทิงเขียว อีกทั้งยังมีระดับบ่มเพาะสูงมาก เขาเองก็เหมือนเจ้าและมีร่างแก่นแท้เช่นกัน!” พอตู้ฉิงพูดถึงกระทิงเขียว ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
หวังหลินหรี่ตาและจดจำชื่อนี้เอาไว้
“ด้วยระดับบ่มเพาะเช่นข้าจึงมีคุณสมบัติพอจะกลายเป็นผู้อาวุโสนอกของ สำนักมหาวิญญาณได้เท่านั้น ข้าเคยมีบรรพบุรุษที่เป็นผู้อาวุโสภายในของสำนัก มหาวิญญาณมาก่อน ถึงจะมีความสัมพันธ์เช่นนั้น ตำแหน่งของข้าก็ยังได้เป็นได้แค่ ผู้อาวุโสนอก”
“สหายเซียนหวังมีสมบัติที่มหาชั้นฟ้ามอบให้ ดังนั้นเจ้าควรจะได้รับการดูแลเป็นถึงแขกผู้มีเกียรติ แต่หากเจ้าส่งผลกระทบต่อสายเพลิงปฐพีหลัก เช่นนั้น…” ตู้ฉิงพูดแฝงความนัย
หวังหลินมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เขารู้จักแค่สองคนในสำนักมหาวิญญาณเท่านั้น
“เจ้าเคยได้ยินศิษย์สองคนในสำนักมหาวิญญาณชื่อ ‘ฟ่านชานเมิ่ง’ และ ‘ฟ่านชานลิ่ว’ หรือไม่? ” หวังหลินมองตู้ฉิง
“ฟ่านชานเมิ่ง!!” ตู้ฉิงสีหน้าเปลี่ยนไป
“ข้าได้ยินชื่อ ‘ฟ่านชานเมิ่ง’ นางเป็นศิษย์หลักของสำนักมหาวิญญาณและเป็นหนึ่งในสองอัจฉริยะของสำนัก! สหายเซียนรู้จักนางหรือ?”
“ข้าเคยได้ยินชื่อนาง” หวังหลินขบคิดและเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“แล้วสำนักกุ้ยยี่เล่า? สำนักนั้นก็อยู่ในแคว้นกระทิงสวรรค์ เทียบกับสำนัก มหาวิญญาณแล้วเป็นเช่นไร?” ระดับบ่มเพาะของคางเหรินไม่ได้สูงมากดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเทียบด้านความรู้กับตู้ฉิงได้ หวังหลินไม่ได้รู้ข้อมูลที่เขาได้มาจากคางเหรินมากนัก
“สำนักกุ้ยยี่แข็งแกร่งมากและตอนนี้ดูเหมือนจะข่มสำนักมหาวิญญาณ ได้เล็กน้อย ระดับในเก้าสำนักสิบสามกองกำลังอาจจะเปลี่ยนแปลง หลายปีที่ผ่านมามีศิษย์ชื่อหยุนยี่เฟิงปรากฏตัวในสำนักกุ้ยยี่ ระดับบ่มเพาะของเขาสูงส่งยิ่งและมีพรสวรรค์มากมาย เขาถือเป็นอันดับหนึ่งในชนรุ่นใหม่!”
“ข้าเคยติดต่อกับเขา ถือว่าเป็นคนที่อัศจรรย์มาก!” ตู้ฉิงคิดตอนที่หยุนยี่เฟิงวาดกระบี่ ศิษย์สำนักมหาวิญญาณหลายคนถูกบังคับให้ต้องล่าถอย
“พูดถึงหยุนยี่เฟิง ข้าเพิ่งคิดออกหนึ่งเรื่อง เขาบอกว่ามีคนที่บ่มเพาะมาได้แค่ สองพันปีและมีระดับบ่มเพาะจนหยั่งไม่ถึง แม้แต่เขาเองก็ไม่กล้าวาดกระบี่ต่อหน้า คนผู้นี้! แม้แต่สี่อัจฉริยะของแผ่นดินตะวันออกก็ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะถูกเรียกว่าอัจฉริยะต่อหน้าคนผู้นี้!”
“ตอนนั้นเรื่องนี้ถือเป็นข่าวใหญ่ มีข้อสงสัยหลายเรื่องแต่สำนักมหาวิญญาณกลับเงียบ กระทั่งสำนักกุ้ยยี่ก็ไม่ชี้แจง”
“ตอนนี้ผ่านมาหลายปีและมีโอกาสที่คำพูดนั้นเป็นเรื่องโกหกถึงแปดในสิบส่วน ข้าไม่เชื่อว่าคนคนนี้จะมีตัวตน…” ขณะที่ตู้ฉิงเอ่ยขึ้นมา เขาไม่ได้สังเกตว่าสายตา หวังหลินส่องสว่างไปชั่วขณะ
“คนที่บ่มเพาะได้เพียงสองพันปีและทำให้หยุนยี่เฟิงไม่กล้าวาดกระบี่ ต้องน่าเคารพมากแค่ไหน…”
“หากคนแบบนั้นมีตัวตนอยู่จริงๆ เช่นนั้นทำไมถึงไม่มีชื่อเสียงไปแล้ว…เขาคงถูกมหาชั้นฟ้ารับเป็นศิษย์…” ขณะที่ตู้ฉิงพูดเช่นนั้น เขาพลันหยุดคำพูดลงและดูเหมือนจำอะไรได้บางอย่าง ดวงตากะพริบมองมาที่หวังหลิน
รูม่านตาหดลงทันทีและความคิดบ้าๆ ผุดขึ้นมาในใจ ความคิดนี้ทำให้เขาอ้าปากค้างและทำให้สายตาที่มองหวังหลินเริ่มเต็มไปด้วยความคลุมเครือ
“ในเมื่อแคว้นกระทิงสวรรค์มีสายเพลิงปฐพี เช่นนั้นแคว้นรอบด้านสักแห่งก็ต้องมีสายอัสนีด้วยใช่หรือไม่?” หวังหลินหลีกเลี่ยงหัวข้อที่ตู้ฉิงหยิบยกขึ้นมา