440. เหนือขั้นเทวะ
“เหนือระดับขั้นเทวะ…” ซือถูหนานหยุดและมองไปที่หวังหลิน
เขาตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ขอบเขตเหนือขั้นเทวะไม่ใช่สิ่งที่เซียนส่วนใหญ่รู้นั่นก็เพราะมีคนน้อยมากที่ไปถึงขอบเขตเหล่านั้น”
“ขั้นเทวะเป็นจุดยอดและในเวลาเดียวกันมันก็เป็นประตูบานหนึ่ง เซียนส่วนใหญ่หยุดที่ประตูบานนี้ ไม่อาจบ่มเพาะต่อไปได้ก่อนที่อายุขัยจะสูญสิ้นไป”
“ทว่าเมื่อทะลวงผ่านธรณีประตูและเตะเข้ากับขอบเขตถัดไป อายุขัยของเจ้าจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว แม้ว่าจะไม่ได้นานเท่าฟ้าดินแต่เพิ่มขึ้นมากมาย ข้าได้รับความเข้าใจบางส่วนของขอบเขตต่อไปก่อนที่จะหนีเข้าไปในลูกปัด นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าสามารถรอดชีวิตมาหลายหมื่นปีได้”
“แต่ไม่ได้หมายความว่าชีวิตของข้าจะเป็นอมตะ หากเวลาของข้ามาถึงและข้ายังไม่ได้ทะลวงขอบเขต ข้ายังคงตายอยู่ดี”
“ไม่ใช่ว่าไม่มีใครเลยที่สามารถหลีกหนีวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ของสวรรค์ได้ แต่ส่วนใหญ่เป็นเซียนระดับต่ำซึ่งยากเกินไปกว่าจะบรรลุขั้นเทวะให้หลีกพ้นวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ วัฏจักรนี้ให้กำเนิดพลังอำนาจที่แตกต่างกันจำนวนมากขึ้นอยู่กับระดับบ่มเพาะของเหล่าเซียน นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมข้าถึงบอกว่าเซียนระดับต่ำมีเวลามากในการหลีกเลี่ยงวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ด้วยการช่วยเหลือจากเซียนระดับสูง”
หวังหลินพยักหน้า เขานึกถึงตอนที่ช่วยลี่มู่หวานหลบให้พ้นผู้ส่งสาส์นแห่งสวรรค์
ซือถูหนานสูดหายใจลึกและเผยร่องรอยความเสียดาย “ถัดจากขั้นเทวะเป็นสามขอบเขตทลายสวรรค์”
ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้น “สามขอบเขตทลายสวรรค์?”
“ใช่แล้ว ซูซาคุรุ่นแรก เย่หวู่โยวบอกข้าเรื่องสามขอบเขตของเซียนอมตะหลังจากที่ได้รับรางวัลจากสมาพันธ์เซียน หากเขาไม่บอกข้าก็คงไม่รู้จนกว่าข้าจะกลายเป็นซูซาคุคนต่อไป” ซือถูหนานถอนหายใจขณะรื้อฟืนอดีต
“ขอบเขตแรกคือส่องสวรรค์(窺涅) ขอบเขตสองคือชำระสวรรค์(凈涅) และขอบเขตที่สามคือทลายสวรรค์(碎涅
) ”
หวังหลินสูดหายใจลึกจากนั้นขมวดคิ้วถามขึ้น “หลังจากสามขอบเขตทลายสวรรค์เล่า? หรือนั่นเป็นจุดสูงสุด?”
ซือถูหนานส่ายศีรษะ “มันจะง่ายได้ยังไง? สามขอบเขตทลายสวรรค์นับว่าเป็นก้าวที่สองของเหล่าเซียนเท่านั้น อย่างไรก็ตามคนที่อยู่สามขอบเขตทลายสวรรค์ถือได้ว่ามีอำนาจในสมาพันธ์เซียนได้แล้ว มีน้อยคนที่จะก่อกวนพวกเขา มีข่าวลือว่าพวกตาเฒ่าในสมาพันธ์เซียนสามารถทะลวงผ่านขอบเขตทำลายสวรรค์ไปแล้ว”
หวังหลินขบคิดจากนั้นมองทางซือถูหนานและถามขึ้น “ท่านเป็นขั้นส่องสวรรค์ใช่ไหม?”
ซือถูหนานยิ้มอย่างขมขื่น “มันจะง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร? มีสองด่านกั้นระหว่างขั้นเทวะและการกลายเป็นขั้นส่องสวรรค์ซึ่งก็คือขั้นชำระหยินหยาง”
“ขั้นชำระหยินหยางเกี่ยวพันถึงการเปลี่ยนแปลงในเขตแดน มันไม่เหมือนกับการเปลี่ยนจากนามธรรมไปเป็นรูปธรรมแต่กลับลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น ข้าไม่สามารถอธิบายได้มากนักแต่หลังจากเขตแดนของเจ้าผ่านขั้นชำระหยินหยางไปได้เจ้าก็จะกลายเป็นขั้นส่องสวรรค์”
“ก่อนที่ข้าจะถูกบังคับให้ซ่อนในลูกปัด ข้าสัมผัสกับชายขอบขั้นชำระหยินหยางไปแล้ว แม้ข้าจะไม่สามารถฝึกฝนขณะที่จองจำไว้ ความเข้าใจเขตแดนของข้าได้เพิ่มขึ้น ดังนั้นข้าจึงเสร็จสิ้นการชำระหยินไป เมื่อข้าผ่านขั้นชำระหยาง ข้าเพียงต้องหาสถานที่เพื่อปิดด่านฝึกตนให้กลายเป็นขั้นส่องสวรรค์”
ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้นและเอ่ยถาม “เช่นนั้นจูเซว่จื่อระดับบ่มเพาะอะไร? เขาต้องผ่านขั้นชำระหยินหยางก่อนขั้นส่องสวรรค์ใช่ไหม?”
ดวงตาซือถูหนานแฝงการดูถูกและจากนั้นเอ่ยขึ้น “หืม? ขั้นเทวะระดับปลายเท่านั้น ไม่ต้องคิดว่ามันจะกลายเป็นขั้นส่องสวรรค์เลย ข้ากลัวว่าการบรรลุด่านชำระหยินหยางก็ยังไม่มีคุณสมบัติพอด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามเขาถือว่าเป็นขั้นเทวะที่พิเศษมาก แม้จะยังอ่อนแอกว่าขั้นชำระหยินหยางก็ยังไม่ใช่คนที่เซียนเทวะระดับปลายด้วยกันจะเปรียบได้”
ดวงตาหวังหลินวาวโรจน์ “ผนึกซูซาคุจากสมาพันธ์เซียน!”
ซือถูหนานเผยแววตาชื่นชม “ใช่แล้ว เขามีฐานะเป็นเซียนขั้นเทวะและถือได้ว่าเป็นเทวะชั้นแนวหน้าเพราะควบคุมวิชาพิเศษจากสมาพันธ์เซียนได้”
“เย่หวู่โยวได้รับวิชาแข็งแกร่งมาหลังกลับมาจากสมาพันธ์เซียนซึ่งเรียกขานกันว่าผนึกซูซาคุ หากไม่นับความจริงข้อนึงที่มันกินพลังชีวิตทุกครั้งที่ใช้งานก็ถือว่าทรงพลังและอัศจรรย์อย่างยิ่ง ยากมากที่จะต่อกรกับซูซาคุรุ่นปัจจุบันเว้นเสียแต่ว่าจะมีเซียนขั้นเทวะที่ผ่านด่านชำระหยินหยางแล้วเท่านั้น”
“แต่ว่าวิชาที่สมาพันธ์เซียนให้มาต่างก็ถูกจัดอันดับเป็นเหมือนสมบัติสวรรค์ ผนึกซูซาคุเป็นเพียงวิชาคุณภาพต่ำแต่มันยังเพิ่มพูนพลังของคนที่ถือครองตำแหน่งได้อย่างมหาศาล”
“น่าเสียดายที่ผนึกซูซาคุสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวเมื่อควบคุมผลึกดาวเซียน เมื่อควบคุมทั้งสองแล้วความแข็งแกร่งจะเพิ่มขึ้นมากมายนัก”
“วิชาซูซาคุที่แต่ละรุ่นเรียนก็คือสิ่งที่ซูซาคุรุ่นแรกศึกษาจากผนึกซูซาคุ ไม่เพียงแต่ผนึกซูซาคุจะช่วยเพิ่มความเร็วการบ่มเพาะ แต่เมื่อมีผลึกดาวเซียนด้วยจะทำให้เพิ่มความสอดคล้องระหว่างเจ้าและผนึกจนบรรลุความแข็งแกร่งของเซียนขั้นเทวะได้รวดเร็วขึ้นอีก”
หวังหลินขบคิด ดวงตาสว่างไสวพลันถามออกมา “ท่านกล่าวก่อนหน้านี้ว่าสมบัติสวรรค์แบ่งเป็นหลายระดับด้วยหรือ?”
“แน่นอนสิ สมบัติสวรรค์นั้นต้องการพลังปราณสวรรค์เพื่อใช้งานได้แบ่งออกเป็นระดับต่ำ กลางและสูง!” สายตาซือถูหนานเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “อีกทั้งมีข่าวลือว่าสมบัติสวรรค์ที่เหนือขึ้นไปอีกหนึ่งระดับนั้นแข็งแกร่งมากและต้องเป็นขั้นทลายสวรรค์เป็นอย่างน้อยถึงจะใช้มันได้ ข้าคิดว่าลูกปัดฝืนลิขิตเป็นสมบัติแบบนั้น”
หวังหลินสัมผัสหน้าผากตัวเอง เขาครุ่นคิดและนำกระบี่สวรรค์ออกมา พลางมองซือถูหนานและเอ่ยขึ้น “ตรวจสอบได้ไหมว่ากระบี่นี้ระดับอะไร!”
หลังเห็นกระบี่สวรรค์ ดวงตาซือถูหนานส่องสว่าง เขาโบกแขนขวาและกระบี่ลอยเข้าหาเขา ซือถูหนานถือกระบี่และสัมผัสด้วยแขนซ้ายค่อยๆวิเคราะห์
หวังหลินสงบท่าที เขาเชื่อใจซือถูหนานมากไม่เช่นนั้นคงไม่ให้เขาตรวจสอบกระบี่สวรรค์
หลังจากนั้นไม่นานซือถูหนานลืมตาขึ้นโดยพลัน เขาเติมพลังปราณสวรรค์ใส่กระบี่จนเต็มทำให้มันเรืองแสง แสงนี้สว่างทรงพลังมากกว่าตอนที่หวังหลินใช้มันหลากหลายเท่า
ซือถูหนานกระซิบ “กระบี่ดี!”
เขากวัดแกว่งกระบี่อย่างลวกๆ
ตู้มมมม! ตู้มมมม! ตู้มมมม!
เกิดเสียงระเบิดสั่นสะเทือนสวรรค์ออกมาจากกลางอากาศ จากนั้นมีรอยแยกราวกับบาดแผลขนาดใหญ่ปรากฎขึ้นในท้องฟ้า
ลมหนาวอันโหดร้ายออกมาจากรอยแยกและในพริบตาทั้งพื้นดินแข็งค้างทันที
“กระบี่ดี!!” ซือถูหนานสัมผัสกระบี่ เขาหันศีรษะมาหาหวังหลินและถามขึ้น “เจ้าได้กระบี่นี้มาจากไหน?”
“ดินแดนสวรรค์ มันเป็นของสหายเก่าคนหนึ่ง” สายตาหวังหลินเยือกเย็นตลอดเวลา
“นี่คือสมบัติสวรรค์ระดับกลาง น่าเสียดายที่วิญญาณกระบี่ข้างในไม่อาจหลอมเข้ากับกระบี่ได้อย่างสมบูรณ์ดังนั้นพลังของมันจึงถูกจำกัด นอกจากนี้มันไม่ควรมีแค่เล่มเดียว ข้ารู้สึกถึงบางสิ่งขาดหายไปตอนที่กวัดแกว่งมัน มันควรมีถึงสี่เล่ม เมื่อทั้งหมดรวมเข้าด้วยกันจะเป็นเหมือนสมบัติสวรรค์ระดับสูง!”
“น่าเสียดายนัก เมื่อสมบัติสวรรค์มาถึงระดับกลางมันจะต้องมีสัญลักษณ์วิญญาณ ซึ่งไม่ใช่สิ่งเดียวกับดวงวิญญาณแต่เป็นวิชาหนึ่งที่ใช้กับสมบัติ หากไร้มันแล้วเราไม่สามารถกระตุ้นพลังเต็มที่ได้”
“กระบี่เยี่ยมทีเดียว!” ซือถูหนานชอบมันมากจนเกือบไม่อยากปล่อยมันไป
“สมบัติสวรรค์ระดับกลางหรือ?” หวังหลินขมวดคิ้วบาง เขาคิดว่ามันคงเป็นสมบัติสวรรค์ระดับสูงเสียอีก
ดวงตาซือถูหนานเบิกกว้างและเอ่ยด้วยความไม่พอใจ “อะไร? สมบัติสวรรค์ระดับกลางไม่พอสำหรับเจ้าหรือ? ทั้งจักรวาลไม่ได้มีสมบัติสวรรค์ระดับกลางมากมายนักและเหล่าเซียนสามารถหล่อหลอมขึ้นไปถึงสมบัติสวรรค์ระดับต่ำเท่านั้น ส่วนใหญ่แล้วสมบัติสวรรค์ระดับกลางทั้งหมดตอนนี้มาจากยุคก่อนสวรรค์ล่มสลายแทบทั้งสิ้น”
“สมบัติสวรรค์จำนวนมากที่เหล่าเซียนมีต่างก็เป็นระดับต่ำ มีน้อยนิดที่เป็นระดับกลาง เมื่อเจ้าออกไปจากที่นี่เจ้าจะได้รู้ว่าสมบัติสวรรค์ระดับกลางหายากแค่ไหน เพียงชิ้นเดียวก็เพียงพอจะเป็นจุดเริ่มต้นแห่งสงครามได้แล้ว!”
สีหน้าหวังหลินเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เขาคิดถึงตอนที่อยู่ในดินแดนสวรรค์แล้วเห็นกระบี่เซียนหลิงเทียนโฮวและคนอื่นๆต่อสู้กันเพื่อกระบี่สวรรค์ราวกับคนบ้า
แน่นอนว่าระดับของคนเหล่านี้อย่างน้อยก็ขั้นเทวะ ดังนั้นคำพูดของซือถูหนานจึงกล่าวได้ถูกต้อง
“กระบี่สวรรค์ระดับกลางเป็นของหายากแต่ระดับสูงหายากยิ่งกว่า ข้าฝึกเซียนมานานและเดินทางไปหลายดาวเซียนแต่กลับไม่เคยเจอสมบัติสวรรค์ระดับสูงสักชิ้น เจ้าโชคดีจริงๆเจ้าหนู” ซือถูหนานพ่นลมหายใจ
ซือถูหนานยกศีรษะขึ้นและถามออกมา “เจ้ามีวิชาของกระบี่เล่มนี้ไหม?”
หวังหลินขบคิดและตอบออกมา “ข้ามีเบาะแสบางอย่าง แต่น่าเสียดายที่ไม่อาจค้นหามันได้”
ซือถูหนานรีบถาม “งั้นรึ? เล่าให้ข้าฟังสิ”
หวังหลินส่ายศีรษะ “หลายสิ่งหลายอย่างในอดีตจำไม่เป็นต้องนำมันกลับมา”
ซือถูหนานยิ้มจากนั้นมองหวังหลิน “ขอกระบี่เล่มนี้ให้ข้าได้ไหม?”
หวังหลินมองซือถูหนาน “ท่านจริงจังใช่ไหม?”
ซือถูหนานลังเลเล็กน้อยจากนั้นถอนหายใจและโยนกระบี่คืนหวังหลิน “ช่างเถอะ หากมันเป็นของคนอื่นข้าก็แค่ขโมยมันมา แต่หากมันเป็นของเจ้า ข้ารู้สึกว่ามันน่าอายเกินไปหน่อย”
หวังหลินยิ้ม เขารับกระบี่และพูดขึ้น “กระบี่เล่มนี้ไม่ใช่ของข้า ไม่เช่นนั้นการให้ท่านไปคงเป็นเรื่องดี”
ซือถูหนานพ่นลมหายใจ “ถ้าหากไม่ใช่ว่ากระเป๋าข้าหายไปและข้าไม่มีอะไรอยู่เลยตอนนี้ ข้าคงไม่สนมันหรอก ข้ามีสมบัติสวรรค์ระดับต่ำสองชิ้นอยู่แล้ว”
ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้นและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จูเซว่จื่อมีสมบัติสวรรค์มากมายนัก!”
“ไม่เพียงแต่สมบัติสวรรค์ของจูเซว่จื่อทั้งหมดจะเป็นระดับต่ำ พวกนั้นต่างก็เป็นซูซาคุรุ่นแรกรวบรวมมาทั้งนั้น ข้ารู้สึกละอายเกินไปที่จะขโมยมา” ซือถูหนานเผยใบหน้าสงสาร
“ซือถู ท่านคิดว่าสมบัติชิ้นนี้มีระดับอะไร?” หวังหลินขบคิดจากนั้นตบกระเป๋าและกับดักอสูรปรากฎ เขาโยนกับดักอสูรออกไปทำให้ราชรถสังหารเทพปรากฎด้านหน้าเขา
ดวงวิญญาณของราชรถรีบปรากฎขึ้นพร้อมกับดวงตาดุร้ายและเริ่มร้องคำราม
ซือถูหนานตกตะลึงเมื่อเห็นราชรถแต่จากนั้นดวงตาเริ่มส่องประกายเจิดจ้า