501. ดินแดนล่มสลายแห่งทวยเทพ
เทียนหยุนสะบัดแขนเสื้อและเมฆเจ็ดสีปรากฎขึ้น ก้อนเมฆห่อหุ้มรอบหวังหลินและพาเขาเข้าไปในสำนักหลัก
หวังหลินอยู่ในก้อนเมฆขณะที่มันเคลื่อนผ่านท้องฟ้าสีคราม ภูเขาและแม่น้ำใต้เท้าเขากระพริบผ่านไป
หลังผ่านไปเวลาไม่กี่ลมหายใจ ก้อนเมฆเจ็ดสีผ่านกองกำลังหลายแห่งของสำนักชะตาสวรรค์และมาถึงนอกสำนักหลัก
สิ่งที่ปรากฎด้านหน้าหวังหลินคือโลกที่โออ่าสูงส่งมากกว่าดินแดนสวรรค์ ภูเขาสามลูกยื่นออกมาเหนือก้อนเมฆ
ภูเขาที่อยู่ตรงกลางเป็นสีขาวหิมะ เมื่อแสงอาทิตย์กระทบกับภูเขามันเกิดแสงเจิดจ้าพร่ามัวทำให้ใครต่อใครที่มองมารู้สึกวิงเวียน
มีพื้นที่สีเขียวกระจายไปทั้งภูเขาทำให้มันดูงดงามมากขึ้นอีกระดับ!
ภูเขาแห่งนี้ไม่มีถนน มันเป็นสีขาวหิมะล้วน หิมะนี้คือหิมะเก้าภูติซึ่งจะไม่ละลายเป็นเวลาหมื่นปี เป็นไปไม่ได้ที่คนทั่วไปจะเข้าใกล้เพราะเมื่อเข้ามาใกล้หิมะในระยะหนึ่งพันฟุตร่างกายจะแข็งค้างโดยสมบูรณ์
ขณะที่หวังหลินอยู่ภายในเมฆเจ็ดสี เขาสามารถสัมผัสกลิ่นอายหนาวเย็นที่เคลื่อนไหวนอกก้อนเมฆได้อย่างชัดเจน
นอกจากภูเขาที่อยู่ใจกลางซึ่งเป็นสีขาวล้วน ยังมีภูเขาอีกสองลูกด้านข้างเป็นสีดำ
เทียบกับภูเขาสีขาวล้วนที่อยู่ตรงกลางแล้ว ภูเขาสีดำกลับให้สัมผัสทรงพลังที่แตกต่างกัน เกล็ดหิมะสีดำตกลงบนภูเขาทั้งสองทีละจุดราวกับไม่มีที่สิ้นสุด
มองไกลๆแล้วฉากเบื้องหน้าเขาดูไม่เหมือนความเป็นจริง ราวกับมีใครสักคนใช้พลังแห่งฟ้าดินวาดภาพแม่น้ำ ภูเขาสีขาวและสีดำออกมา
ขณะที่หวังหลินมองสำนักหลักของสำนักชะตาสวรรค์ด้วยสายตาพินิจวิเคราะห์ ดวงตาค่อยๆสงบนิ่งลงจากการตื่นตกใจทีแรก
เทียนหยุนโบกแขนเสื้อและก้อนเมฆเจ็ดสีรอบตัวทั้งสองพลันหายไป รัศมีเย็นเฉียบพุ่งเข้ามาและพยายามแทรกเข้าร่างกายหวังหลิน
หวังหลินใบหน้าปกติขณะพลังปราณสวรรค์ในร่างเคลื่อวไหสร้างม่านแสงนอกร่างกาย รัศมีเย็นเฉียบหมุนวนรอบม่านแสงเล็กน้อยก่อนจะเลือนหายไป
เทียนหยุนเอามือไพล่หลังขณะมองไปที่ภูเขาทั้งสามลูกและเอ่ยถาม “หวังหลิน เจ้าคิดว่าสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างไร?”
หวังหลินขบคิดเล็กน้อยจากนั้นเอ่ยช้าๆ “ที่นี่มีกลิ่นอายแห่งความเย็นรุนแรงมากและเป็นสถานที่ที่ดีในการบ่มเพาะที่ต้องการพลังความเย็นและพลังหยิน”
เทียนหยุนยิ้มบาง “แค่นั้นหรือ?”
หวังหลินก้มศีรษะลงต่ำและเอ่ยอย่างเคารพ “ศิษย์ไม่มีความรู้เพียงพอที่จะเห็นสิ่งใดอื่น”
เทียนหยุนส่ายศีรษะจากนั้นมองหวังหลินด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม “ข้ามักจะตัดสินว่าวิชาต้องห้ามวิชาใดที่ศิษย์แต่ละคนจะได้ศึกษา แต่หากเจ้าสามารถมองทะลุความลึกลับของภูเขานี้ได้ อาจารย์จะทำลายกฎและให้เจ้าเลือกว่าวิชาไหนที่เจ้าต้องการด้วยตัวเอง หวังหลินเช่นนี้ดึงดูดเจ้าไหม?”
หวังหลินเงยศีรษะขึ้นมองไปที่เทียนหยุนด้วยใบหน้าอ่อนโยน “เมื่ออาจารย์สั่งมา ศิษย์ไม่กล้าทำตามได้อย่างไร!?” เขาชี้ไปที่ภูเขาสีดำด้านซ้ายและเอ่ยขึ้น “ภูเขาลูกนี้เป็นสีดำสนิท แม้แต่หิมะที่ตกลงไปก็เป็นสีดำ ทว่าหิมะดำนี้ไม่ได้หนาวเย็น ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับหิมะขาวที่อยู่ตรงกลางแล้วมันให้บรรยากาศอันน่าประหลาด”
เทียนหยุนยิ้มขณะที่มีท่าทางปกติ “โอ้? ว่าต่อไป”
หวังหลินชี้ไปที่ภูเขาด้านขวา “ภูเขาลูกนี้ประหลาดยิ่งกว่า ข้าสามารถตรวจจับร่องรอยแห่งชีวิตจากมันได้ แม้ว่าแทบทุกสิ่งทุกอย่างจะมีชีวิต นี่เป็นครั้งแรกที่ศิษย์สัมผัสถึงชีวิตจากภูเขา”
เทียนหยุนยังคงสงบนิ่ง “หมดแล้วหรือ? หากหมดแล้วเจ้ายังไม่มีสิทธิ์เลือกวิชาต้องห้ามจากอาจารย์ได้”
หวังหลินยิ้มบางขณะส่ายศีรษะ “อาจารย์ ภูเขาสองลูกนี้เป็นของปลอม!”
หลังกล่าวเช่นนั้น แววตาเทียนหยุนปรากฎท่าทีตกใจ เขามองหวังหลินอีกครั้งก่อนจะหัวเราะออกมา พลันโบกแขนเสื้อและทั้งสองก็เข้าหาภูเขาตรงกลางด้วยความเร็วปานสายฟ้า
‘ความแข็งแกร่งทางจิตใจของเด็กคนนี้เหนือกว่าคนอื่นไปไกลมาก การที่สามารถพบเบาะแสในวิชาของข้าด้วยระดับขั้นแปลงวิญญาณระดับกลางนับว่าเป็นเรื่องหาได้ยากยิ่ง!’
หวังหลินมีท่าทีปกติแต่จิตใจสั่นสะท้าน เมื่อเขาเห็นภูเขาทั้งสาม ความทรงจำเก่าแก่จากเทพโบราณตู่ซือปรากฎในจิตใจ
นั่นเป็นสมบัติที่ตู่ซือได้หล่อหลอมไปเก้าครั้งและเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาทำ สมบัตินี้คือตรีศูล
ตู่ซือค้นคว้าหาวัตถุดิบจำนวนมากจนในที่สุดก็หล่อหลอมมันสำเร็จ
เขาพึงพอใจกับสมบัติชิ้นนี้มากแต่มันมีแต่รูปร่างทางกายภาพเท่านั้น มันไม่มีวิญญาณ ดังนั้นตู่ซือจึงหยดโลหิตเทพโบราณบางส่วนของตนลงไปจากนั้นโยนมันเข้าหาดาวเคราะห์ใหญ่ดวงหนึ่งและตรีศูลเปลี่ยนไปเป็นภูเขาสามลูกแทงทะลุสวรรค์ชั้นฟ้า ด้วยวิธีการนี้ตรีศูลจึงกลายเป็นภูเขาและค่อยๆสร้างวิญญาณภูเขาขึ้นมา หลังจากนั้นเขาก็จากไป
จากแผนของตู่ซือ เมื่อเขาฝึกฝนวิชาของตัวเองจนเสร็จสิ้นเขาจะกลับมารับสมบัติกลับไป ถึงตอนนั้นภูเขาควรจะถือกำเนิดขึ้นและเขาจะมีสมบัติระดับสูง
ภูเขาสามลูกที่เกิดจากตรีศูลแทบเหมือนกันกับภูเขาสามลูกที่หวังหลินกำลังมองอยู่ตอนนี้
แต่เขาทิ้งความคิดนี้ไปทันทีว่ามันเป็นตรีศูล เพราะเขาพึ่งจะบอกออกไปว่าภูเขาสองลูกเป็นของปลอม
“อย่างไรก็ตามด้วยระดับบ่มเพาะของเทียนหยุนสูงส่งเทียมสวรรค์ หากเขาซ่อนมันไว้คงเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะมองออกด้วยระดับบ่มเพาะตอนนี้” หวังหลินสะบัดความคิดของตัวเองออกไปเมื่อมาถึงที่ตีนเขา
“หวังหลิน อาจารย์จะรอเจ้าที่นี่ เจ้าไม่สามารถใช้เคลื่อนที่พริบตาได้ และยิ่งเจ้าตื่นขึ้นเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งได้รางวัลดีขึ้นเท่านั้น! มันไม่ยากที่ระดับบ่มเพาะของเจ้าจะเดินทางร้อยก้าว แต่ร้อยก้าวสู่ยอดเขาขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเจ้าแล้ว ร้อยก้าวสู่ยอดนั้นเป็นสิ่งที่อาจารย์เรียกว่า ดินแดนล่มสลายแห่งทวยเทพ!” เทียนหยุนหันกลับมาและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเบื้องหน้าหวังหลิน
หวังหลินเงยศีรษะขึ้นมองยอดภูเขาสีขาว หิมะจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังตกลงมา หากมองขึ้นไปนานๆจะรู้สึกถึงภาพมายากระบี่สีขาวอันแหลมคมกำลังตกลงมา
หลังจากถอนสายตา หวังหลินไม่ได้ขึ้นภูเขาไปทันทีแต่นั่งฝึกฝน หลังเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูปเขาลืมตาขึ้น ดวงตาสงบนิ่งโดยสิ้นเชิง
หวังหลินยืนขึ้นและเริ่มเดินขึ้นไปสู่ยอดทีละก้าว
สายลมหอนอันหนาวเหน็บและหิมะเย็นเสียดแทงลึกถึงกระดูก หวังหลินเดินขึ้นไป ความหนาวเย็นก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นและสายลมหอนก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆและพัดบนตัวหวังหลินต่อไป
เมื่อก้าวเท้าไปบนหิมะขาวจะไม่มีรอยเท้าหลงเหลืออยู่ ทั้งภูเขาราวกับผลึกสีขาวขนาดใหญ่ หากคนธรรมดามีสมบัติที่ปกป้องจากความหนาวเย็นได้คงไม่มีทางที่จะไปต่อไป เพราะไม่มีสถานที่ให้พวกเขาได้ตั้งหลัก
แต่สำหรับหวังหลิน เท้าของเขาไม่เคยแตะภูเขาเลย เขาลอยอยู่เหนือผิวภูเขาอยู่สามนิ้วขณะที่ก้าวขึ้นไป
เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้วิชาเคลื่อนย้ายที่นี่ แต่เมื่อเทียนหยุนพูดว่าเป็นการทดสอบนั่นหมายความว่าการเคลื่อนย้ายพริบตาหมายถึงบททดสอบล้มเหลว
ซึ่งเป็นเหตุผลที่หวังหลินไม่ได้ใช้เคลื่อนที่พริบตาแต่เดินขึ้นสู่ภูเขาทีละก้าวด้วยท่าทีสงบนิ่ง
เสียงหอนของสายลมอันหนาวเหน็บดังขึ้นเต็มสองหูของเขา เกล็ดหิมะสีขาวเจิดจ้าสะท้อนอยู่ด้านหน้า นอกร่างกายหวังหลินคือรัศมีเยือกเย็นที่พยายามแทรกเข้าหาเขาอย่างต่อเนื่องและด้านล่างฝ่าเท้าคือผิวน้ำแข็งที่หากร่อนลงไปอาจจะล้มคะมำลงได้
แม้กระทั้นการทดสอบเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่หวังหลินไม่อาจรับมือได้ ตอนที่อยู่ในดินแดนเทพโบราณเขาผ่านสถานที่เช่นนี้มาหลายแห่ง
เวลาค่อยๆผ่านไปอย่างเชื่องข้า ขณะที่เขาใกล้ถึงยอด กลิ่นอายเยือกเย็นก็ยิ่งรุนแรงขึ้นและแสงรอบตัวหวังหลินส่องสว่างมากขึ้น เมื่อเขาอยู่ห่างจากยอดหนึ่งร้อยเก้า หวังหลินหยุดลงและไม่ได้เคลื่อนที่ข้างหน้าต่อไป
เขาสูดหายใจลึกและขณะที่จะปลดปล่อยออกมา พลันเกิดเสียงแตกร้าวหลายชุด ลมหายใจถูกแช่แข็งกลายเป็นจุดน้ำแข็งห่างจากจมูกเขาสามนิ้วและเกิดเสียงแตกร้าว
ในเวลาเดียวกันกลิ่นอายเย็นเฉียบพุ่งเข้าใส่ปากและจมูกของเขา กลิ่นอายนี้ค่อยๆเลือนหายไปด้วยการช่วยเหลือของพลังปราณสวรรค์ในร่างกาย
หวังหลินเงยศีรษะขึ้น ห่างจากยอดภูเขาหนึ่งร้อยก้าวมีหอคอยแห่งหนึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะ หอคอยแห่งนี้ปลดปล่อยแสงเจ็ดสีและดูงดงามอย่างมาก
“ดินแดนล่มสลายแห่งทวยเทพ!” ดวงตาหวังหลินเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น หลังขบคิดชั่วครู่เขาก็ลอยตัวลง เป็นครั้งแรกที่ตั้งแต่มาถึงที่สองเท้าก้าวไปบนภูเขา
ขณะที่สองขาสัมผัสกับภูเขา หวังหลินรู้สึกเหมือนไม่มีแรงเสียดทานเลย ดวงตาเยือกเย็นขณะพ่นลมหายใจหนาวเหน็บและเท้าขวาก้าวไปข้างหน้าตามปกติ
แต่เกิดเสียงตู้ม เท้าขวาหวังหลินกระแทกพื้นดินลึกลงไปหนึ่งนิ้วตั้งหลักเอาไว้
ชั่วขณะนั้นรัศมีหนาวเย็นรุนแรงเกินจินตนาการออกมาจากพื้นดิน รัศมีเยือกเย็นนี้หนาวเย็นมากกว่าที่หวังหลินเคยเจอมาหลายเท่า มันแทรกเข้าสู่ร่างกายเขาผ่านฝ่าเท้าและพุ่งเข้าหน้าอกผ่านเส้นโลหิต
แต่ขณะที่รัศมีเยือกเย็นแล่นผ่านร่างกายหวังหลิน สัมผัสวิญญาณพลันออกมาจากวิญญาณดั้งเดิม เมื่อสัมผัสวิญญาณกวาดผ่านร่างกาย รัศมีเยือกเย้นสงบนิ่งลงอย่างประหลาดและเคลื่อนตัวกลับผ่านฝ่าเท้าเข้าสู่ภูเขาตามเดิม
“รัศมีเยือกเย็นนี้ไม่ได้หนาวไปกว่าหัวใจของข้า หากมันไม่สามารถแช่แข็งหัวใจของข้าได้ มันจะแข่แข็งวิญญาณข้าและร่างกายข้าได้อย่างไร? น่าขัน!” หวังหลินเยาะเย้ยขณะก้าวเท้าเข้าไปอีกข้าง
ใบหน้าของเขากลายเป็นสิ่งที่เย็นเยียบที่สุดบนภูเขา สายลมหนาวเย็นที่ห่างจากเขาสามนิ้วพลันหายไปพร้อมกับหิมะที่อยู่ห่างจากศีรษะเขาสามนิ้วหายไปด้วย
หวังหลินประทับฝ่าเท้าลงบนภูเขาขณะที่เดินตรงเข้าหายอดทีละก้าว ทีละก้าว