526. ชายชุดดำ
มีเพลิงปิศาจกระพริบในดวงตา เสื้อผ้าพริ้วสะบัดโดยไร้แรงลมพร้อมกับเศษเสี้ยวกลิ่นอายปิศาจแพร่เข้าสู่อากาศ
เมื่อโอวหยางฮัวเห็นสิ่งนี้จึงอดไม่ได้ที่จะตกใจ เขาสูดลมหายใจอันหนาวเหน็บขเ้าไปขณะก้าวถอยหลังและพึมพำกับตัวเอง “ลือกันว่าครั้งแรกที่คนต่างถิ่นสัมผัสกับผลึกวิญญาณปิศาจจะเกิดพลังปิศาจในร่างกาย!”
พลังปิศาจที่หลงเหลือในผลึกวิญญาณปิศาจนั้นทำให้ร่างกายเขารู้สึกปลอดโปร่ง ความรู้สึกนี้ทำให้เกิดอาการเสพติดอย่างบอกไม่ถูก
ดวงตาหวังหลินหรี่เล็กและเพลิงปิศาจในดวงตาเลือนหายไป จากนั้นกลิ่นอายปิศาจรอบตัวเขาก็หายไปด้วยราวกับไม่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น
“ปราณสวรรค์ที่เต็มไปด้วยพลังปิศาจนี้แปลกประหลาดเกินไป หลังดูดซับพลังจะก่อเกิดกลิ่นอายของมันเอง ข้ารู้สึกได้บางเบาว่ากลิ่นอายนี้สามารถรวมเข้ากับพลังปราณสวรรค์และทำให้เพิ่มระดับบ่มเพาะขึ้นไปอีก แต่ตอนนี้พลังปิศาจมีน้อยเกินไปและไม่อาจทดสอบได้” หวังหลินขบคิดอยู่ชั่วขณะก่อนจะตบกระเป๋า พลันขวดมากกว่าสิบลอยออกมาร่อนลงไปที่เท้าของโอวหยางฮัว
โอวหยางฮัวสั่นเทาจากนั้นตรวจสอบขวดแต่ละชิ้นก่อนจะเก็บกลับไป ตอนนี้เขาตื่นเต้นอย่างมาก
“ท่านไปได้แล้ว ข้าจำเป็นต้องบ่มเพาะที่นี่ เมื่อถึงวันพรุ่งนี้ข้าจะออกไปเอง!” หวังหลินกล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่ง เขาไม่รบกวนโอวหยางฮัวอีกต่อไปขณะเริ่มสัมผัสผลึกวิญญาณปิศาจที่พึ่งเกิดขึ้นในร่างกาย
โอวหยางฮัวพยักหน้ารวดเร็ว จากนั้นคำนับฝ่ามือให้หวังหลินด้วยท่าทีเคารพก่อนจะจากไป
ในไม่นานพื้นที่แห่งนี้ก็เงียบสนิท แต่มีเสียงหัวเราะออกมาจากกองไฟที่อยู่ห่างไกลเป็นพักๆ
หวังหลินเพ่งสมาธิบนตันเถียนของตัวเองตลอดเวลา เขากำลังสัมผัสผลึกวิญญาณปิศาจ
“หากข้ามีสิ่งนี้จำนวนมาก แม้ข้าจะไม่สามารถรวมมันกับพลังปราณสวรรค์ได้มันก็ยังกลายเป็นพลังอีกสายนึง มีเซียนอย่างน้อยพันคนที่เข้ามาที่นี่และข้าเชื่อว่าเป้าหมายของทุกคนคือผลึกวิญญาณปิศาจ”
“การสังหารระหว่างเซียนด้วยกันเองอาจจะเป็นการขโมยผลึกวิญญาณปิศาจที่อยู่ข้างในกันและกัน ข้าเพียงไม่รู้ว่าผลึกวิญญาณปิศาจนี้มีผลลัพธ์อื่นอีกไหม”
“พลังปิศาจต้องมีวิธีใช้แบบอื่น ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางที่จะเกิดการนองเลือดทุกครั้งที่มาที่นี่”
“ข้ากลัวว่ายังมีความลับที่ข้าไม่รู้ซ่อนอยู่ข้างใน เมื่อข้าพิสูจน์ความลึกลับทั้งหมดนี้ได้ข้าจึงจะตัดสินใจทิศทางในอนาคตของข้า ห้าร้อยปีไม่ได้ยาวนานแต่ก็ไม่สั้นจนเกินไป ถึงอย่างนั้นหากการดูดซับผลึกวิญญาณปิศาจมากขึ้นสามารถช่วยเพิ่มระดับบ่มเพาะของข้าได้ ข้าอาจจะลงมือเข้าไปฆ่าล้างเหมือนตอนที่อยู่ในทะเลปิศาจด้วย!”
แสงเยือกเย็นกระพริบในตาหวังหลินและเขาเลียริมฝีปากตนเอง
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆและตอนนี้กลายเป็นเวลายามดึก แม้ว่ากองไฟยังไม่มอดดับทว่าชาวบ้านส่วนใหญ่กลับบ้านตนเองกันเกือบหมดแล้ว
มีเพียงสตรีและเด็กๆที่เข้าไปพักผ่อน ขณะที่บุรุษทั้งหมดคว้าอาวุธแตกต่างกันและรวมตัวกันที่ทางเข้าหุบเขา
โอวหยางฮัวอยู่ในกลุ่มพวกนั้นด้วย ดวงตาเคร่งเครียดจ้องออกไปนอกหุบเขา
ไม่นานหลังจากนั้นเขาหันตัวกลับมองไปที่พื้นที่ส่วนลึกรูปทรงน้ำเต้าข้างในหุบเขาซึ่งเป็นจุดที่หวังหลินกำลังบ่มเพาะอยู่
“ข้าหวังว่าค่ายกลนี้จะสามารถต้านทานวิญญาณปิศาจเหล่านี้ได้ และหวังว่าจะขอยืมมือท่านเทพสูงสุดคนนั้น…” โอวหยางฮัวถอนหายใจ เหตุผลที่เขาเชิญชวนหวังหลินเข้าไปในหุบเขานอกจากการที่ไม่สามารถหยุดเขาได้แล้วก็เพราะค่ายกลอ่อนแออย่างมาก เขาไม่มั่นใจว่าค่ายกลยังสามารถรับมือได้หรือไม่ซึ่งเป็นเหตุผลที่เขาทำทั้งอย่างเพื่อให้หวังหลินอยู่ต่อ เขากระทั่งเล่าความลับหลายอย่างให้ฟังและแม้แต่แลกเปลี่ยนกับผลึกวิญญาณปิศาจซึ่งเป็นหัวใจของหมู่บ้าน
โอวหยางฮัวมีเหตุผลที่ทำเรื่องทั้งหมด เมื่อตอนที่ชาวบ้านเผชิญอันตราย หวังหลินคงจะยื่นมือเข้ามาช่วย
เขามองชาวบ้านรอบๆตัวเองก่อนจะถอนหายใจและเอ่ยขึ้นมา “ข้าคงไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้วกับสิ่งที่เราต้องทำในคืนวิญญาณปิศาจนี้ หากเราสามารถยื้อคืนนี้ไปได้ เมื่อนั้นทุกอย่างจะปลอดภัย!”
หวังหลินพลันลืมตาขึ้นทันทีขณะที่กำลังบ่มเพาะและเงยศีรษะขึ้นมองไปบนฟ้า แม้ว่าท้องฟ้ายังคงมืดมิด สำหรับหวังหลินมันมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย
ในความมืดมิดนี้มีรัศมีสีม่วงจุดหนึ่งและมีการระเบิดพลังปิศาจด้วยความแข็งแกร่งแตกต่างกันกระจายข้ามผ่านเส้นขอบฟ้า
หุบเขาแห่งนี้ไม่ใช่เป้าหมายของมัน เป็นเพียงสถานที่ที่ถูกผ่านไปเท่านั้น
เมื่อจ้องไปบนท้องฟ้า หวังหลินเผยใบหน้ามุ่งมั่น เขากดมือบนหน้าผากตนเองและวิญญาณดั้งเดิมหลุดออกจากร่าง จากนั้นลอยออกไปจากหุบเขาผ่านค่ายกลและตรงเข้าไปในท้องฟ้า
วิญญาณดั้งเดิมพุ่งเข้าหาทิศทางที่เกิดพลังปิศาจพุ่งพล่านออกมาโดยไม่หยุดชะงัก
ยิ่งเขาเข้าไปใกล้ก็ยิ่งมีแรงกดดันจากพลังปิศาจออกมามากขึ้น พลังปิศาจนี้มีขอบเขตกว้างมากจนไม่อาจเห็นได้ว่ามันสิ้นสุดลงที่ไหน
ระหว่างทาง พื้นดินทั้งหมดที่พลังปิศาจผ่านไปจะแห้งแล้งและเหล่าสัตว์ต่างกรีดร้องโหยหวนก่อนจะกลายเป็นโครงกระดูกสีขาว
เมื่อเห็นสิ่งนี้หวังหลินขมวดคิ้วเบาๆ
ในชั่วขณะหากมองไปที่ดินแดนวิญญาณปิศาจจากเบื้องบน จะเห็นรัศมีสีม่วงกระจายออกมาจากตำแหน่งศูนย์กลาง ระยะของมันกว้างมากและกว้างจนเทียบได้กับทั้งพื้นที่ดินแดนวิญญาณปิศาจทั้งหมด
เสี้ยววิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินรีบถอยออกมาหลังจากกำลังตรวจสอบ ทว่าขณะนั้นวิญญาณของเขาพลันหยุดชะงักทันที เขากระจายสัมผัสวิญญาณออกมาและแทงลุกเข้าไปในคลื่นพลังปิศาจ
เขาเห็นได้ว่าในความลึกของคลื่นพลังปิศาจนี้ นอกจากคลื่นพลังอันไร้ที่สิ้นสุดแล้วยังมีคนข้างในหนึ่งคน!
คนผู้นี้สวมชุดคลุมสีดำ ท่าทางเย็นชา ริมฝีปากบางและโดยรวมดูชั่วร้ายอย่างมาก ตอนนี้เขามีกระบี่สีดำในมือและเมื่อกวัดแกว่งกระบี่พลันเกิดกลิ่นอายประหลาดรอบๆมัน
ในขณะเดียวกันเขาก็กำลังดูดซับพลังปิศาจจำนวนมากอย่างบ้าคลั่ง
จังหวะที่สัมผัสวิญญาณของหวังหลินกวาดผ่านไป ชายคนนั้นค่อยๆเงยศีรษะขึ้นและมองมาทางหวังหลินก่อนจะเผยรอยยิ้มเยือกเย็นสุดขั้ว
“ระดับบ่มเพาะของเจ้าไม่เลวนักที่จะตรวจพบการคงอยู่ของข้าได้ ตอนแรกข้าต้องการให้เจ้าประหลาดใจ!” ชายชุดดำชี้กระบี่และเอ่ยออกมา “การพบข้าเป็นโชคร้ายของเจ้าแล้ว แม้เจ้าจะส่งผลึกวิญญาณปิศาจมามันก็ไร้ประโยชน์ เจ้าคือเหยื่อของข้า!”
วิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินมองคนผู้นั้นด้วยสายตาเย็นชาและเหาะเหินกลับไปโดยไม่ได้เอ่ยคำพูดสักคำ ชายชุดดำไม่หยุดชะงักแต่เผยรอยยิ้มดูถูก
“เป็นแค่เซียนขั้นแปลงวิญญาณระดับกลาง ไม่ว่าเจ้าจะมาจากสำนักอะไร วันนี้เจ้าจะตายแน่นอน! หลังดูดซับผลึกวิญญาณปิศาจ ข้าน่าจะใกล้เคียงความต้องการใจการเข้าเมืองปิศาจฟ้า” ดวงตาเขาปรากฎความร้อนแรง
ในหุบเขา วิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินกลับเข้ามาและดวงตาเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น
“เขาคือเซียนบนดาวเทียนหยุนคนแรกที่ข้าพบที่นี่ ทั้งยังขั้นแปลงวิญญาณระดับปลายสูงสุด แต่มันไม่ง่ายที่จะสังหารข้า!”
นอกหุบเขา คลื่นพลังปิศาจพุ่งพล่านราวกับคลื่นยักษ์ถาโถมเข้าหาหุบเขา ค่ายกลที่ล้อมรอบหุบเขาพลันส่องสว่างขึ้นคล้ายกำลังต้านแรงกดดันพลังปิศาจ
แต่แรงกดดันของพลังปิศาจไม่ได้เกิดแค่ครั้งเดียว มันกินเวลาอยู่ชั่วขณะ แสงรอบหุบเขาเริ่มกระพริบและเผยอาการที่ไม่สามารถทนอยู่ได้นานนัก
แม้ว่าในหุบเขายังคงเงียบเชียบแต่กลับเกิดความตึงเครียดขึ้นมา
บุรุษวัยผู้ใหญ่ทั้งหมดกำลังยืนอยู่ที่ทางเข้าหุบเขาและกำอาวุธของตนเอง ฝ่ามือชุ่มเหงื่อและจ้องทางเข้าหุบเขาด้วยความตั้งอกตั้งใจ ลมหายใจแต่ละคนได้ยินชัด
โอวหยางฮัวยืนอยู่ด้านหน้าทุกคน เขายกมือขึ้นและกำลังร่ายคาถาด้วยภาษาซับซ้อนเพื่อประคับประคองค่ายกล
คืนวิญญาณปิศาจเกิดขึ้นทุกสามเดือน และด้วยที่โอวหยางฮัวอยู่มานาน ปกติเขามั่นใจในค่ายกล แต่วันนี้กลับรู้สึกไม่ง่ายนัก ค่ายกลอ่อนแออย่างมากเนื่องด้วยหวังหลิน ดังนั้นเขาจึงไม่คิดว่าจะสามารถต้านทานวิญญาณปิศาจในคืนนี้ได้
เมื่อค่ายกลถูกทำลาย ทุกชีวิตในหุบเขาจะถูกเหล่าวิญญาณปิศาจกลืนกิน
ขณะที่คลื่นพลังปิศาจกระแทกเข้ากับค่ายกล ค่ายกลดูเหมือนไม่สามารถทนอยู่ได้อีกต่อไปและปรากฎรอยร้าวขึ้น
ชั่วขณะนี้พลันเกิดเสียงดังสนั่น ชัดเจนว่ามีบางอย่างกำลังทุบค่ายกลจนเกิดรอยร้าวขึ้น!
ผู้คนในหุบเขารู้สึกถึงพลังการกระแทกนี้ได้ เหล่าสตรีและเด็กๆหลายคนตื่นขึ้นด้วยอาการตกใจ
ห่างจากหุบเขาออกไปไกล บุรุษในชุดคลุมสีดำสะบัดกระบี่และพ่นโลหิตออกไปทุกที่ อสูรสีดำสนิทยาวหนึ่งเมตรและมีหนึ่งเขาปรากฎออกมา แทบในจังหวะที่มันปรากฎก็ถูกชายชุดดำผ่าครึ่งทันที
หลังจากสังหารอสูร ชายชุดดำสูดหายใจเข้าและพลังปิศาจสายหนึ่งออกมาจากร่างอสูรลึกลับเข้าไปในร่างเขา
ความรู้สึกสบายเติมเต็มร่างกายทันที หลังจากนั้นไม่นานนักดวงตาส่องสว่างขึ้นและจ้องไปที่หุบเขาที่อยู่ห่างไกล เขาเผยรอยยิ้มโหดเหี้ยมขณะกวัดแกว่งกระบี่และโยนเข้าหาหุบเขาแห่งนั้น
ร่างชายชุดดำลอยขึ้นกลางอากาศและร่อนลงบนกระบี่พุ่งตรงเข้าไป
ข้างในหุบเขา หวังหลินยืนขึ้นพลางก้าวเท้าและเปลี่ยนเป็นควันเมฆสีเขียวก่อนจะปรากฎตัวด้านหน้ากลุ่มของโอวหยางฮัว
การปรากฎตัวของเขาเงียบมากจนทำให้ใบหน้าของชาวบ้านเปลี่ยนไปมหาศาลและก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
โอวหยางฮัวเผยใบหน้าเปี่ยมความสุขและรีบเอ่ยขึ้น “ท่านเทพสูงสุด ช่วยเราด้วย!”
ขณะที่เขาพูดจบ น้ำเสียงของชายชุดดำพร้อมกับกระบี่เหินดังออกมา
“การล่าเริ่มต้นขึ้นแล้ว!”