570. เสียงพิณ
ฉากเหตุการณ์จากอดีตแล่นผ่านสมองของหวังหลิน กระบวนการนี้เป็นไปอย่างเชื่องช้ามาก หวังหลินจัดระเบียบความทรงจำนี้ผ่านการนั่งอยู่ในลานกว้าง ความทรงจำที่เขาใช้ศาสตร์สังหารเทพได้สำเร็จค่อยๆแล่นผ่านจิตใจพร้อมกับมองหาความคล้ายคลึงระหว่างนั้น
ผ่านไปสักพัก หวังหลินถอนหายใจ หลังจากสังเกตการสร้างพลังสังหารได้สำเร็จอย่างละเอียด ดูเหมือนว่าทั้งหมดเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญและไม่มีสิ่งใดคล้ายคลึงกัน
“แม้ว่าจะมีอยู่สิ่งหนึ่ง…วันที่ข้าฆ่าซือหม่าหยาน มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น…ตอนนั้นข้าลงมือด้วยความโกรธและสามารถสร้างเส้นพลังสังหารขึ้นมาได้…” สายตาหวังหลินสว่างวาบและหม่นหมองลงอีกครั้ง
“อย่างไรก็ตามนี่มันไม่สมเหตุสมผล เพราะมีเส้นพลังสังหารที่สร้างขึ้นตอนที่ข้าสงบนิ่งด้วย มีพลังสังหารที่สร้างขึ้นจากพวกทหารปิศาจแต่เป็นคนไหนก็ยากจะบอกได้”
หวังหลินครุ่นคิดอยู่นานแต่เขายังไม่สามารถพบอะไรได้ คิ้วค่อยๆขมวดเป็นปม
“ฝึกฝนศาสตร์สังหารเทพเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักๆที่ข้าเข้ามาที่นี่ ข้าเรียนรู้วิชานี้เพื่อต่อกรกับต้าวเสิน ต้าวเสินแข็งแกร่งมากข้าจำเป็นต้องใช้มันจำนวนมากเข้าต่อต้าน…ตอนนี้ข้ามีเม็ดยาวิญญาณโลหิต ข้ามีโอกาสรอดมากขึ้นเมื่อใช้สองสิ่งนี้รวมกัน แต่ว่าข้ามีเม็ดยาวิญญาณโลหิตอยู่จำกัดดังนั้นความสำคัญยังอยู่ที่ศาสตร์สังหารเทพ!”
หวังหลินครุ่นคิด เขาฝึกฝนศาสตร์สังหารเทพมาหลายปีแล้วและการสร้างพลังสังหารเส้นแรกหมายถึงเขาบรรลุขั้นแรกแล้ว ทว่าการจะเชี่ยวชาญวิชานี้กลับยากยิ่งขึ้นไปอีก
“ข้ารู้สึกเหมือนกับมีความลับบางอย่างเกี่ยวกับศาสตร์สังหารเทพ แต่จำนวนที่ข้ามีถือว่าน้อยเกินไปที่จะทดสอบ” หวังหลินยกฝ่ามือขวาขึ้นมา ควันสีเทาห้าสายหมุนระหว่างนิ้วของเขา
“มีเพียงแค่ห้าสาย…นับรวมกับที่กำลังผนึกเหยาซีเชว่ มันก็มีเพียงหกสายเท่านั้น!”
หวังหลินถอนหายใจ เขายังไม่สามารถมองทะลุศาสตร์สังหารเทพไปได้ หวังหลินยังคงงุนงงกับวิธีการสร้างพลังสังหารที่เกิดขึ้นนี้
เขาคิดอยู่หลายเหตุผลแต่ว่าเหตุผลพวกนี้ใช้ได้เพียงแค่หนึ่งสถานการณ์เท่านั้น
“ดูเหมือนว่าข้าต้องทดสอบอีกเยอะมากเพื่อโอกาสในการเข้าใจความลึกลับของศาสตร์สังหารเทพ!” สายตาหวังหลินเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นและจิตสังหารเปล่งออกมาจากดวงตา
หวังหลินขบคิดเล็กน้อยก่อนจะกระจายสัมผัสวิญญาณออกมาและพบว่าคนรับใช้สองคนที่ดูแลการอยู่อาศัยของเขากำลังอยู่ด้านหลังภูเขา
ทั้งสองคนหวาดกลัววิชาของหวังหลินจากก้นบึ้งจิตใจ ดังนั้นจึงไม่กล้าอยู่ใกล้ๆหวังหลิน ทว่าคำสั่งของท่านแม่ทัพเป็นสิ่งที่ต้องทำตาม ดังนั้นจึงตัดสินใจเฝ้าระวังอยู่ทางเข้าลานกว้างและไม่ยอมให้ใครเข้าไป
หวังหลินกวาดสัมผัสวิญญาณผ่านทั้งสองคนและส่งข้อความออกไป
หลังจากนั้นไม่นานคนรับใช้สองคนเดินเข้ามาในลาน พวกเขาหยุดห่างจากหวังหลินไปสามฟุตและกล่าวอย่างเคารพ “ขอคารวะท่านรองแม่ทัพหวัง!”
“ข้าจะออกไปข้างนอก พวกเจ้าทั้งสองนำทางไปหน่อย!”
ทั้งสองคนตกตะลึงแต่รีบพยักหน้า
หวังหลินเคลื่อนร่างอย่างรวดเร็วออกไปข้างหน้าหลายฟุตทันที สองคนรับใช้แทบติดตามในจังหวะเดียวกันแต่มีคนหนึ่งลังเลเล็กน้อยก่อนจะถามขึ้นอย่างนอบน้อม “ท่านรองแม่ทัพหวัง เราควรจะเตรียมม้าศึกไหม?”
“ไม่จำเป็น!” เพียงกระพริบตา หวังหลินเคลื่อนตัวอ้อมภูเขาและออกจากลานกว้าง
ทั้งสามคนออกมาจากคฤหาสน์แม่ทัพโม่โดยมีหวังหลินอยู่ด้านหน้า คฤหาสน์แม่ทัพโม่ตั้งอยู่ในมุมฝั่งตะวันออกของเมืองฮ่องและเป็นสถานที่ค่อนข้างเงียบ หวังหลินเดินออกมาตามถนน
หวังหลินไม่ได้เดินเร็วมาก เขามองรอบๆและค่อยๆเดินไปสู่ถนนสายหลักของเมืองฮ่อง มีแม่น้ำแห่งหนึ่งใกล้ๆซึ่งมีคนจำนวนมากและร้านค้าเต็มสองข้างถนน ดูมีชีวิตชีวา
เสียงดังจอแจออกมาจากเหล่าสตรีและบุรุษที่เดินบนถนน เสื้อผ้าในดินแดนวิญญาณปิศาจเป็นเรื่องเปิดกว้างโดยเฉพาะเสื้อผ้าของอิสตรี ไม่ใช่แค่มีสีสันเท่านั้นแต่ยังเผยเนื้อหนังและยั่วยวนสายตาอีกด้วย
ทุกสิ่งทุกอย่างด้านหน้าทำให้อารมณ์ความเครียดของหวังหลินจากหลายวันผ่อนให้ผ่อนคลายขึ้น เขาเดินบนถนนราวกับคนธรรมดา พลังปราณสวรรค์ในร่างกายค่อยๆซ่อนไว้อย่างแนบเนียนราวกับแม่น้ำกำลังเหือดแห้ง
ระหว่างทางบางครั้งหวังหลินจะหยุดลงที่ร้านค้าด้านนอก บางครั้งก็เข้าไปและบางครั้งก็จากไป แต่ครั้งที่เขาเข้าไปมักจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ
หวังหลินราวกับคนที่เดินผ่านไปในเมืองต่างแดนแห่งนี้
ลักษณะของหวังหลินไม่ได้หล่อเขาแต่เพราะเขาเป็นเซียนจึงให้ความรู้สึกสุขุมนุ่มลึก ทำให้เหล่าสตรีในฝูงชนบางครั้งก็วางสายตามที่หวังหลินที่เดินผ่านไป
หวังหลินดูคล้ายกับปราชญ์ชุดขาว ส่วนคนรับใช้ทั้งสองคนด้านหลังนั้นในสายตาของคนอื่นๆกลับดูเหมือนผู้คุ้มกัน
ทว่าหวังหลินยังมีกลิ่นอายที่รู้สึกราวกับแตกต่างจากคนที่นี่อย่างมาก ดังนั้นจึงไม่มีทางที่เขาจะเป็นคนของที่นี่จริงๆทำให้ความรู้สึกเศร้าจางๆกระจายออกมา
ท่ามกลางเหล่าผู้คนบนถนน มีบุรุษและสตรีหลายคู่กำลังพูดคุยและหัวเราะไปด้วยกัน เปรียบกับหวังหลินแล้วตัวเขาช่างโดดเดี่ยวยิ่งนัก…
ขณะที่เดินไปตามฝูงชน เสียงรอบๆดูเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของโลกอีกใบ บุรุษและสตรีหลายคู่ดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของมิติและเวลาอื่น ไม่มีสิ่งใดที่เขาคุ้นเคยหรือเชื่อมต่อกับหวังหลิน
ความรู้สึกคลุมเครือปรากฏในใจและหวังหลินจึงถอนหายใจออกมา ถนนสายนี้ยาวมากแต่เขาไม่ต้องการเดินเล่นอีกแล้ว
เวลากำลังเข้าสู่ยามสายๆ และขณะที่กำลังจะจากไปพลันเกิดเสียงพิณที่แฝงด้วยความเศร้างจางๆเข้าสู่รูหูของเขา…ความเศร้าจางๆและเสียงพิณอันประหลาดนี้เหมาะกับอารมณ์ของหวังหลินอย่างมากและทำให้เขาหยุดลง
หวังหลินเดินไปตามเสียงพิณอย่างช้าๆ ห่างไปไม่ไกลจากถนนมีแม่น้ำอยู่หนึ่งสาย นี่คือแม่น้ำชั้นในของเมืองปิศาจฟ้า
มีเรือหลายลำอยู่บนแม่น้ำและเสียงพิณกำลังดังออกมาจากหนึ่งในเรือเหล่านั้น
หวังหลินยืนอยู่ข้างแม่น้ำอย่างเงียบๆ ฟังเสียงพิณที่กำลังบรรเลง ด้วยสายตาของเขาหวังหลินสามารถเห็นสตรีนางหนึ่งกำลังดีดพิณอยู่บนเรือ…
สตรีนางนี้เผยแต่ด้านหลังของนางเท่านั้น…
แผ่นหลังของนางราวกับเสียงเพลงจากพิณ มันเผยความเศร้าจางๆและความโดดเดี่ยว ห่างจากนางไม่ไกลมีผู้คนเยาว์วัยกำลังหัวเราะและดื่มด่ำ เสียงหัวเราะดังกว่าเสียงพิณที่อยู่ข้างๆเสียอีก…
หวังหลินมองเรือลำนั้นอย่างเงียบๆ ขณะที่เสียงพิณเข้าสู่โสตประสาท หวังหลินรับรู้ถึงเสน่ห์ของเสียงและพบกับความคุ้นเคยอย่างช้าๆ ตอนนี้เขากำลังนึกถึงหุบเขาอันสงบเงียบบนดาวซูซาคุ บ้านของเขากับลี่มู่หวาน…
เสียงพิณของหวานเอ๋อจากวันเวลาสงบสุขเมื่อตอนนั้นยังคงเด่นชัดในหวังหลิน
เสียงพิณของหวานเอ๋อยังแฝงความเศร้า แต่หวังหลินเมื่อตอนนั้นไม่ได้เข้าใจมัน ความเศร้านี้เจือจางมากและชั่วกาลนาน
หลังจากที่หวานเอ๋อจากไป หวังหลินไม่เคยได้ยินเสียงพิณนั้นอีกครั้งเลย วันนี้ต้องขอบคุณที่ได้ยินเสียงพิณแบบเดียวกัน ความเศร้าในใจของเขาค่อยๆหวนกลับมาอย่างช้าๆ
ก่อนลี่มู่หวานจะจากไป หวังหลินรู้สึกว่านางอยู่กับเขามาตลอดและรู้สึกต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่นางรอคอยมาหลายร้อยปี นี่มันไม่ใช่ความรัก…
ทว่าหลังจากหวานเอ๋อจากไป บางครั้งหวังหลินก็คิดถึงลี่มู่หวานขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ในช่วงเวลาแบบนั้นหัวใจของเขาเจ็บปวดอย่างที่สุดราวกับเขาได้เข้าสู่โลกแห่งความโดดเดี่ยวอ้างว้าง
ในโลกใบนี้ อารมณ์ความคิดนิ่งเฉยในตัวค่อยๆตื่นขึ้นมา
ราวกับเป็นน้ำขมๆหนึ่งถ้วยในใจหวังหลิน มันเกิดระลอกคลื่นที่ไม่อาจจางหายไปได้โดยง่าย เขาคิดถึงเสมอตอนที่นางตื่นตระหนกเมื่อเจอกันครั้งแรก…
แม้จะเห็นได้ชัดว่าเสียงพิณนี้เป็นของปลอม หวังหลินยังคงรู้สึกว่าหวานเอ๋อค่อยๆเดินออกมาจากความว่างเปล่าเข้าหาเขาและกำลังสวมกอด…
ราวกับเขาและลี่มู่หวานอยู่หลังหุบเขา…รอคอยตะวันขึ้น…
หลังจากคนที่สูญเสียสิ่งที่ต้องการมันที่สุด ทั้งยังเป็นคนที่ต้องการให้กลับมา
ช่วงระยะเวลาหลายปีหลังจากหวานเอ๋อจากไป หวังหลินคิดถึงนางขึ้นมาอีกครั้งและอีกครั้ง ทำให้นางสำคัญมากขึ้นและมากขึ้นไปอีก ตอนนี้นางสลักอยู่ในใจเขาและกินเวลาจนกระทั่งสิ้นสุดลง…
วันนี้กำลังเข้าสู่ช่วงสาย ก่อนที่ฟ้องฟ้าจะมืดสนิท แสงดาวดวงหนึ่งพลันปรากฏในท้องฟ้า หลายสิ่งมิอาจจินตนาการพลันปรากฎในดินแดนวิญญาณปิศาจ ไม่มีใครรู้ว่าแสงดาวหรือแสงจันทรามาจากไหน นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญก็คือแสงดาวดวงนี้พร้อมกับเสียงพิณได้แตะโดนความทรงจำที่หวังหลินผนึกเอาไว้ตลอดมา
แสงดาวประทับในสายตาหวังหลินพร้อมกับเสียงพิณกำลังเคลื่อนออกไป เกิดความรู้สึกหนึ่งค่อยๆควบแน่นในใจเขา นี่เป็นความรู้สึกโดดเดี่ยวและมันคงอยู่ในใจเขาเป็นเวลานาน
เสียงพิณเบาลงและเบาลงขณะที่หวังหลินยกมือขึ้นจับระหว่างคิ้วของตน ราวกับเขากำลังจับลี่มู่หวานที่อยู่ข้างในลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า หวังหลินพึมพำ “หวานเอ๋อ เรายังคงพบกันอีก…นี่เป็นคำสัญญาของข้า…”
เรือลำนั้นค่อยๆจากไปและสตรีนางนั้นเลือนหายไปด้วยเช่นกัน
ขณะที่เสียงเพลงแทบหายไปโดยสิ้น สตรีนางนั้นดูเหมือนจะสังเกตบางสิ่งได้และหันกลับมา นางมองมาที่ริมแม่น้ำแต่มันมืดเกินไป ทว่าในความมืดมิดนั้นนางยังเห็นร่างโดดเดี่ยวที่กำลังเดินจากไปอย่างช้าๆ
บนเรือ นางถอนหายใจและเริ่มขยับมือบรรเลงเพลงเศร้าอีกครั้ง…แม้ว่าจะมีแสงอยู่บนเรือ สำหรับนางทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมืดมิดเสมอไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืน
ฝ่ามือราวกับหยกของนางเคลื่อนไหวอยู่ในความมืด เสียงหัวเราะที่ดังออกมาจากเรือแตกสลายอย่างรวดเร็วด้วยเสียงพิณของนาง
นางนั่งอยู่บนหัวเรือ ไม่มีแสงใดในดวงตาของนาง แต่ชั่วขณะนั้นนางราวกับเป็นดอกบัวที่กำลังเบ่งบานในโคลนตม…ทว่าการเบ่งบานนี้ไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีใครให้ความสนใจ…
เสียงพิณยังคงดังสะท้อนไปทั่วบริเวณ แต่กลับไม่มีใครตั้งใจฟัง…แม้จะมีคนฟัง นางก็ไม่อาจมองเห็น…