618. การเปลี่ยนแปลงใหม่ อสูรสายฟ้าเขาเงิน
หวังหลินจ้องสายตาไปที่อสูรวิญญาณ หลังจากสัญลักษณ์โลหิตรูปที่สามประทับบนเจ้าอสูรวิญญาณ มันปลดปล่อยกลิ่นอายน่าหวาดกลัวใส่หวังหลิน
ร่างกายมันสั่นเทารุนแรง แสงสีแดงในดวงตามันยิ่งรุนแรงยิ่งกว่าเดิมทั้งยังขยายออกไปสามนิ้วจากดวงตา
หวังหลินมองอสูรอย่างเยือกเย็น แม้ว่าจะดูสงบนิ่งแต่สายตากำลังกระพริบวาบ หินหยกข้อมูลการปลดปล่อยผนึกได้พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนแล้ว
พลังอำนาจส่วนใหญ่ของราชรถสังหารเทพอยู่ในวิญญาณอสูร ผนึกโลหิตวิญญาณดั้งเดิมแต่ละชิ้นสามารถกระตุ้นให้อสูรวิวัฒนาการได้
หากผนึกไม่ได้ปลดปล่อยออกมาตอนที่แรงกระตุ้นถึงขีดสุด เมื่อนั้นอสูรวิญญาณจะระเบิดและตายทันที ทว่าหากปลดปล่อยผนึกเร็วเกินไป วิวัฒนาการจะถูกขัดขวางและไม่สามารถบรรลุพลังขีดสุดได้ในอนาคต
ความจริงแล้วไม่มีตัวไหนในสามราชรถสังหารเทพเคยถูกใช้มาก่อนที่ผู้สร้างจะตาย ตามแผนดั้งเดิมของเขา ราชรถนี้ทั้งสามตัวนี้จะเยี่ยมยอดหลังจากถูกกระตุ้นได้หนึ่งครั้ง
นั่นเป็นเหตุผลที่หวังหลินต้องปลดปล่อยผนึกเมื่อพัฒนาการของมันบรรลุถึงขีดจำกัด จากนั้นพลังอำนาจของราชรถสังหารเทพถึงจะเทียบได้กับชื่อของมัน!
ตามแผนเดิมของผู้สร้าง เขากำลังจะออกไปรวบรวมวัตถุดิบทั้งหมดและจากนั้นหาคนที่มีระดับจักรพรรดิเทพเพื่อช่วยกระตุ้นพวกมันในครั้งแรก สิ่งนี้จะเป็นการรับประกันว่าจะไม่มีความเสียดายอันใดกับราชรถสังหารเทพ!
ในหินหยก เขากระทั่งอ้างว่าหากไม่ใช่คนที่มีระดับเช่นจักรพรรดิเทพจะไม่สามารถกระตุ้นราชรถทั้งสามตัวให้สมบูรณ์แบบได้
อสูรวิญญาณหดเล็กลงอย่างต่อเนื่องและกลิ่นอายในร่างกายของมันยิ่งน่าหวาดกลัว เดิมทีมีสายลมอยู่ในพื้นที่ราบ แต่ตอนนี้ราวกับสายลมไม่กล้าเข้ามาที่นี่ ท้องฟ้าเริ่มค่อยๆมืดและไม่ใสกระจ่างเหมือนก่อน
หินทรายเท่าเมล็ดข่าวกำลังสั่นไหวอยู่บนพื้นราวกับมีพลังลึกลับบางอย่างกำลังเขย่าพวกมัน
สายตาหวังหลินส่องสว่างดุจคบไฟ กลิ่นอายของอสูรวิญญาณเบื้องหน้าทะลุความแข็งแกร่งของเซียนขั้นเทวะระดับต้นไปเรียบร้อย มันค่อยๆบรรลุถึงขั้นเทวะระดับกลางและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หลังผ่านไปอีกหลายลมหายใจ ร่างเจ้าอสูรหดลงจากหนึ่งพันฟุตมาเหลือหนึ่งร้อยฟุต ทว่าดวงตาสีแดงของมันในตอนนี้เปล่งประกายออกมาจากแววตาเจ็ดฟุตและมีหมอกอ่อนๆล้อมรอบดวงตาของมัน
หวังหลินขมวดสายตา จากนั้นฝ่ามือสร้างผนึกและแสงสีดำปรากฏภายในฝ่ามื ดวงตาดุจสายฟ้าจดจ้องเจ้าอสูรวิญญาณ
ชั่วขณะนั้นแสงสีดำจากดวงตาอสูรพลันถอนกลับ ทันใดนั้นกลิ่นอายทำลายล้างใกล้คลุ้มคลั่งเริ่มเพิ่มภายในร่างกายมันทันที!
การเพิ่มขึ้นนี้รวดเร็วมากเกินไป ราวกับมีทรงกลมพองตัวอยู่ในร่างอสูร หวังหลินลดสายตาจ้องมองเจ้าอสูรอย่างละเอียดถี่ยิบ เขาชี้ไปที่มันและตะโกน “ผนึกที่สอง จงเปิด!”
แสงสีดำลอยอกมาในชั่วขณะที่กลิ่นอายอสูรบรรลุถึงจุดสูงสุด มันร่อนลงบนร่างอสูรทันที พริบตาหลังจากนั้นเจ้าอสูรหยุดการสั่นเทาและกลิ่นอายทำล้างล้างรอบตัวมันเสถียรขึ้น มันเงยศีรษะขึ้นมาและส่งเสียงกู่ร้องคำรามให้กับท้องฟ้า
เสียงคำรามดังสนั่นออกมาจากท้องฟ้าและประกายสายฟ้าตกลงมา มันไม่ใช่ทัณฑ์สวรรค์แต่ว่าถูกสร้างขึ้นโดยเจ้าอสูรตัวนี้
สายฟ้าตกลงมาจากท้องฟ้าและร่อนลงบนร่างอสูรวิญญาณ สายฟ้าเชื่อมเข้าด้วยกันอย่างต่อเนื่องก่อเกิดเป็นสายเส้นหนึ่ง
ร่างอสูรวิญญาณถูกล้อมรอบด้วยทรงกลมสายฟ้า มันค่อยๆนอนลงและในไม่นานนักเปลี่ยนกลายเป็นอสูรคล้ายกิเลน
อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่กิเลนแต่เป็นอสูรที่หาได้ยากยิ่งกว่ากิเลนในแดนสวรรค์ มันคืออสูรสายฟ้า! เขาสีเงินหนึ่งเขาค่อยๆเจาะออกมาจากศีรษะภายใต้ผลของสายฟ้านี้
หวังหลินเผยสายตาแฝงความผิดหวังเมื่อเห็นเขาสีเงิน จากนั้นถอนหายใจและเคลื่อนไปข้างหน้า ฝ่ามือวาดออกมากลางอากาศ สัญลักษณ์โลหิตชิ้นที่สี่เสร็จสมบูรณ์ หวังหลินคว้าสัญลักษณ์โลหิตและมุ่งตรงไปที่อสูรสายฟ้า
“จากข้อมูลของหินหยก หากผนึกที่สองบนราชรถตัวที่สองได้ถูกกระตุ้นอย่างยอดเยี่ยม เขาสีทองควรปรากฏ…” หวังหลินเข้าใกล้อสูรสายฟ้าทันที มุ่งตรงผ่านสายฟ้าและกดสัญลักษณ์โลหิตเข้าใส่ระหว่างคิ้วของอสูรวิญญาณตรงๆ
เวลาที่เขาเลือกคือสิ่งที่หินหยกกล่าวถึง ชั่วจังหวะที่อสูรวิญญาณพัฒนาร่างไปเป็นอสูรสายฟ้าคือช่วงจังหวะในการประทับตราชีวิตของมัน มันคือช่วงเวลาเฉพาะที่ผู้สร้างได้ทิ้งไว้เพื่อวางตราประทับลงบนอสูร
สัญลักษณ์โลหิตประทับระหว่างคิ้วของอสูร ขณะที่มันร่อนลงไปถึง พลันเกิดแสงสีทองกระพริบขึ้นมา หวังหลินตื่นตะลึงแต่เมื่อมองใกล้ๆแล้วไม่มีแสงสีทองอันใดอีกเลย
หลังจากสัญลักษณ์โลหิตชิ้นที่สี่ถูกประทับลงไป อสูรสายฟ้าไม่ได้มองหวังหลินด้วยสายตาศัตรูอีกต่อไป แต่ว่าก็ไม่มีความเป็นมิตรด้วยเช่นกัน หลังจากมันมองหวังหลิน มันหายตัวกลับเข้าไปในราชรถสังหารเทพ
หวังหลินยื่นมือขวาออกไปและเก็บราชรถสังหารเทพกลับเข้าไปในกระเป๋า สายตาส่องสว่างขึ้นและคิดออกมา ‘แสงกระพริบสีทองนั่นไม่ใช่ว่าสายตาข้าแย่หรอกนะ แต่ทำไมมันถึงเกิดขึ้นแบบนั้นกัน…แม้มันจะเป็นเขาเงินก็ยังแข็งแกร่งเพียงพอจะต่อกรกับเซียนขั้นเทวะระดับกลางได้! แม้คนที่นี่จะต่อกรได้ง่าย แต่กับเซียนที่บรรลุขั้นเทวะระดับกลางจะง่ายดายปานนั้นหรือ? พวกเขายังมีวิชาอันทรงพลังไม่ก็สมบัติแข็งแกร่งหรือไม่ก็ทั้งคู่!’
“แม้ข้าจะไม่กล้าพูดว่าข้าสามารถเอาชนะขั้นเทวะระดับกลางได้ด้วยขั้นเทวะระดับต้นของข้า…แต่เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะสังหารข้าได้! หากข้าเจอกับเซียนขั้นเทวะระดับกลางที่มีวิชาและสมบัติอ่อนกว่าข้า ขังยังสามารถฆ่าเขาได้!”
“ส่วนเซียนขั้นเทวะระดับปลาย…ถือว่ายากเกินไป!” หวังหลินถอนหายใจ
“ไม่ว่าจะเป็นจูเซว่จื่อหรือชายชราชุดดำคนนั้น ทั้งคู่่ต่างบรรลุขั้นเทวะระดับปลาย แม้ข้าจะใช้อสูรสายฟ้า ข้ากลัวว่าข้าจะไม่สามารถต่อต้านพลังอำนาจของเซียนขั้นเทวะระดับปลายได้ โชคดีที่ข้ามีปราณกระบี่ของหลิงเทียนโฮว ข้าจึงสามารถเผชิญหน้าได้สักคนหนึ่ง ข้าไม่มีอะไรต้องกลัว!”
หวังหลินก้าวเท้าไปข้างหน้าและเคลื่อนที่พริบตากลับเข้าไปในหอคอย
“เรื่องเหตุผลว่าทำไมเซียนขั้นเทวะระดับปลายได้ถึงแข็งแกร่งทรงพลังขนาดนั้นก็เพราะพวกเขาอยู่ปลายสุดของขั้นแรก! โดยเฉพาะเซียนขั้นเทวะระดับปลายสูงสุดที่ถือได้ว่าเป็นจุดสูงสุดของพวกที่อยู่ในขั้นแรก มีเพียงคนที่มีระดับบ่มเพาะคล้ายกันเท่านั้นที่จะสามารถประมือเท่ากันได้ในการต่อสู้ พวกคนที่เป็นเซียนขั้นเทวะรดับกลางไม่สามารถต่อต้านได้เลย…เว้นแต่จะมีสมบัติฝืนลิขิตฟ้าที่สุดยอดอย่างเช่นปราณกระบี่ของหลิงเทียนโฮวหรือวิญญาณที่สี่จากธงวิญญาณพันล้านดวง!”
“แม้ตอนนั้นวิญญาณดวงที่สี่ยังถูกจูเซว่จื่อจับไว้ได้ แต่อาจารย์ตุ้นเทียนก็ยังตาย…”
“ตอนนั้นชายชราที่อยู่ใต้หอคอยมารกล่าวไว้ว่าวิชาสายลม สายฝน สายฟ้าคือวิชาที่อ่อนแอที่สุดของเขา นั่นควรจะเป็นเรื่องเท็จ…”
หวังหลินนั่งสมาธิอยู่ในหอคอยพร้อมกับขบคิด
“หากข้ามีพลังสังหารมากกว่าหนึ่งล้านเส้น ธงวิญญาณหนึ่งพันล้านดวง ราชรถสังหารเทพ และแม่น้ำอเวจี…ข้าสามารถเอาชนะเซียนขั้นเทวะระดับปลายได้หรือไม่…” หวังหลินขบคิดอย่างเงียบเชียบ
“ไม่มั่นใจ…แต่ว่าด้วยปราณกระบี่ของหลิงเทียนโฮว หากเซียนขั้นเทวะระดับปลายก่อกวนข้าจริงๆ ข้าคงไม่มีทางเลือกที่จะใช้ปราณกระบี่!” สายตาหวังหลินเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น
“ตอนนี้ข้าไม่จำเป็นต้องหลอมสามกระบี่ที่ข้าได้จากสิบสองกระบี่ กระบี่ทั้งสามเล่มนี้เป็นสิ่งไร้ค่าเมื่ออยู่กับเจ้าของคนเดิม ข้าศึกษาพวกมันมาครั้งนึงก่อนหน้านี้และดูเหมือนมันจะมีความสามารถอีกอย่างซ่อนอยู่ภายใน แต่ความสามารถนี้จำเป็นต้องรวมการโจมตีเข้าด้วยกันเพื่อใช้งาน” หวังหลินตบกระเป๋าและกระบี่สามเล่มจากโม่หยาง ซื่อจู และฮ่ายจูลอยออกมา
กระบี่สามเล่มนี้ปลดปล่อยกลิ่นอายจิตวิญญาณอันรุนแรง หวังหลินพ่นพลังดั้งเดิมออกมาพลันเปลี่ยนเป็นสายหมอกสีเขียวล้อมรอบกระบี่ทั้งสามเล่ม จากนั้นหลับตาและเพ่งสมาธิในการปรับแต่งพวกมัน
พริบตาเดียวอีกสามเดือนได้ผ่านไป วันนี้มีแสงหลายเส้นปรากฏตัวในท้องฟ้าห่างจากเผ่าหลอมวิญญาณไปห้าหมื่นลี้ เป้าหมายของพวกเขาเห็นได้ชัดว่าเป็นเผ่าหลอมวิญญาณ!
ท่ามกลางคนเหล่านี้มีอยู่หนึ่งคนสวมเสื้อคลุมสีทองเรืองแสงสีทองสว่างไสว คนคนนี้ไม่ได้ดูแก่นักและใบหน้าปลดปล่อยสัมผัสความเย่อหยิ่งอันเย็นชา
มีอยู่หนึ่งคนที่ติดตามเขา คนคนนี้เป็นชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีขาวดุจหิมะ เขารูปร่างหน้าตาดีแต่ใบหน้าตอนนี้เต็มไปด้วยความขมขื่น มองไปที่เผ่าหลอมวิญญาณด้วยความลังเลที่ซ่อนอยู่ในดวงตา
ชายชุดสีทองมองเด็กหนุ่มและพ่นลมหายใจเย็น “เจ้ากำลังคิดเรื่องอะไร ฉวี่หยุนซาน?”
ชายหนุ่มขุดขาวคือคนที่เข้ามาดินแดนวิญญาณปิศาจพร้อมกับหวังหลิน จ้าวสำนักรุ่นเยาว์ของสำนักซวนหยวน ฉวี่หยุนซาน!
ตอนที่เขาเข้ามาในดินแดนวิญญาณปิศาจ เขามีผู้อาวุโสระดับบ่มเพาะสูงส่งหลายคนปกป้อง ทว่าตอนนี้เขาอยู่ตัวคนเดียว
เมื่อได้ยินคำพูดของชายชุดทอง ร่างฉวี่หยุนซานสั่นเทาและเขากล่าวอย่างเคารพ “ครับ ผู้น้อยนี้…”
ก่อนกล่าวจบ ชายชุดทองขัดจังหวะและพ่นลมหายใจเย็น “ไม่ต้องอธิบาย เมื่อเจ้าเข้าร่วมกับกองกำลังเซียนของเรา เจ้าต้องเชื่อฟังคำสั่ง หากไม่ใช่ว่าข้าให้หน้าน้องสาวของเจ้า เจ้าคิดหรือว่าจะมีโอกาสดีดีในการได้คุณความดีเหมือนการมาจับตัวหวังหลินเช่นนี้!?”
ฉวี่หยุนซานเงียบลงและพยักหน้า เขาคิดขึ้นกับตัวเอง ‘ข้าไม่รู้ว่าหวังหลินจะอยู่ในเผ่าหลอมวิญญาณแห่งนี้…และหวังหลินจากสำนักชะตาสวรรค์ก็เป็นคนคนเดียวกัน…อาห์ ข้าคิดมากเกินไป ไม่มีทางที่ทั้งสองจะเป็นคนคนเดียวกันได้’
“ท่านบรรพชนกระทั่งส่งองครักษ์เทพเพื่อจงใจมาจับตัวหวังหลินคนนี้ การเดินทางครั้งนี้ไม่มีอันตรายแต่เจ้าต้องระมัดระวังและไม่ปล่อยให้หวังหลินหนีรอดไปได้!” หลังจากชายชุดทองกล่าวจบ สายตาหันไปหาชายวัยกลางคนชุดสีดำที่อยู่ด้านหลังกลุ่ม
ชายคนนี้เป็นคนธรรมดา ใบหน้าสงบนิ่งตลอดเวลาราวกับไม่มีสิ่งใดในโลกสามารถทำให้ท่าทางเขาเปลี่ยนไปได้
เส้นด้ายค่อยๆกระจายออกมาจากร่างเขาและดูเหมือนรวมเข้ากับสิ่งรอบด้าน กลิ่นอายเขาเลือนหายไปอย่างสิ้นเชิง คนทั่วไปไม่สามารถตรวจจับการคงอยู่ของเขาได้เลย
การที่สามารถหลอมกับฟ้าดินและรวมเข้ากับความว่างเปล่าได้นั่นหมายถึงระดับบ่มเพาะของคนผู้นี้บรรลุขั้นเทวะระดับต้นไปแล้ว แต่ว่าระดับบ่มเพาะขั้นเทวะของเขาประหลาดเล็กน้อย ไม่มีพลังดั้งเดิมอยู่ในวิญญาณดั้งเดิม
หวังหลินที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ในหอคอยพลันลืมตาขึ้นมา ลำแสงสว่างเจิดจ้าออกมาจากดวงตา
“ฉือซาน เรามีแขก พาพวกเขามาที่นี่!”