64. กระจายตัว
มังกรคำถามก้องที่พั่วหนานจื่อและโจมตีเขา
พั่วหนานจื่อแสยะยิ้ม เขากลับด้านกระบี่ “เดรัจฉาน ยับยั้งตัวเองซะ!”
ร่างมังกรสั่นสะท้านและสูญหายไปอย่างรวดเร็ว มันกลับร่างกลายเป็บกระบี่อย่างไม่เต็มใจและหยุดหอนคำราม
หลิวเหวินจวี่และหญิงชรามองหน้ากันและถอนหายใจเธอพูดขึ้น “ก็ดี ศิษย์สำนักเหิงยั่วทั้งหลายจงฟังคำสั่งติดตามข้าออกจากภูเขา” ด้วยคำพูดนี้เธอหันไปมองรอบๆและถอนหายใจขึ้นอีกคราก่อนจะเหาะไปบนอากาศ
พั่วหนานจื่อขมวดคิ้ว “สำนักซวนต้าวกำลังรับสมัครศิษย์เพิ่ม ถ้าใครต้องการเข้าร่วม สามารถอยู่ที่นี่ต่อได้”
ใบหน้าผู้อาวุโสขั้นสร้างลำต้นทั้งหมดประหลาดใจ นอกจากสองคนที่อยู่ถัดจากหญิงชรา อีกแปดคนที่เหลือไม่ได้ตามเธอไป
หลิวเหวินจวี่ก็ประหลาดใจเช่นกันเขาต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่ในที่สุดก็จบลงด้วยความเงียบถอนหายใจครานึงจากนั้นส่ายหน้าและยืนถัดจากหญิงชรา
หญิงชราหักห้ามความโกรธในใจและตะโกนขึ้น “ทุกคนต่างมีเส้นทางของตัวเอง ถ้าใครไม่ต้องการตามเรามา ข้าก็ไม่บังคับ”
ในเหล่าผู้อาวุโสทั้งหมดยุคของฮวงหลงต่างลังเลเล็กน้อยในที่สุดนอกจากฮวงหลง ต้าวซิ่วและชายชราใบหน้าแดงก็ไม่มีผู้อาวุโสคนอื่นเคลื่อนไหวเพียงสามคนที่ย้ายมายืนอยู่ฝั่งผู้อาวุโสขั้นแตกหน่อทั้งสอง
เหล่าศิษย์สายในทั้งหมดมีเพียงสิบคนที่เหาะมาอยู่ฝั่งผู้อาวุโสขั้นสร้างลำต้น หวังจัวลังเลอยู่นานเขาไม่กล้ามองไปที่ต้าวซิ่วขณะที่ยกเท้าขึ้นและวางลงไปเหมือนเดิมนั่นแปลว่าเขาไม่ได้ตามไปด้วย
แม่นางโจวลังเลชั่วครู่แต่ก็ไม่ได้ติดตามไปเช่นกันส่วนแม่นางซิ่วเธอเห็นหวังจัวไม่เคลื่อนไหวดังนั้นเธอจึงดึงร่างตัวเองไว้แล้วมองไปทางเขาหวังเฮ่าเดินเข้าไปเรียบร้อยแล้ว เขายิ้มและพูดกับหวังหลิน “พี่ไท้จูข้าไม่ได้ไปไหนไกล ข้าวางแผนไว้ว่าจะกลับบ้านและช่วยพ่อข้าไม่ต้องห่วงนะพี่ไท้จู ข้าจะดูแลครอบครัวท่านให้ดี”
หวังหลินลังเลเขามีความลับหลายอย่างและหากเขาเข้าร่วมสำนักซวนต้าวอาจจะมีอันตรายที่คาดไม่ถึงมากมาย ดังนั้นหลังจากครุ่นคิดอยู่พักนึงเขาจึงเริ่มเคลื่อนไหว
ขณะนั้น สายตาของพั่วหนานจื่อหรี่เล็กมองไปที่หวังหลิน พูดขึ้นทันที “หวังหลิน เจ้าอยู่ต่อ!”
หวังหลินตกตะลึงและพูดอย่างเคารพ “ท่านผู้อาวุโสพั่วหนานจื่อ ทำไมผู้น้อยต้องอยู่ต่อ?”
พั่วหนานจื่อเชิดหน้าขึ้นและพูด “ถ้าข้าบอกให้เจ้าอยู่เจ้าก็ต้องอยู่ มีคำถามอะไร?!”
หลิวเหวินจวี่ลังเลและพูดขึ้นทันที “ท่านพั่วหนานจื่อ หวังหลินคนนี้เป็นหัวหน้าศิษย์ของสำนักเหิงยั่วดังนั้นข้าอยากจะขอร้องให้ท่านอย่าให้เขาลำบากใจเลยและให้ออกมากับพวกเราเถอะ” เขาได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับหวังหลินมาเล็กน้อยและสังเกตเขาไม่นานนักเขาไม่เต็มใจยอมแพ้ศิษย์ขั้นสร้างลำต้นในอนาคตแน่ๆ
พั่วหนานจื่อฮึดฮัดและพูดกับหวังหลิน “สำนักเหิงยั่วเหลือเพียงแค่ชื่อเจ้าต้องการตามพวกมันไปพเนจรรอบโลกอย่างนั้นหรือ? ถ้าเจ้าเข้าร่วมสำนักซวนต้าว อนาคตเจ้าจะสว่างไสวมากกว่านี้เจ้าตัดสินใจเลือกสิ่งที่เจ้าต้องการเถอะเจ้าคงไม่ต้องการข่าวลือกระจายไปวงกว้างหรอกกระมัง? ใช่มั้ย? ข่าวลือที่ว่าสำนักซวนต้าวไม่เพียงแต่ขโมยภูเขาแต่ก็ได้ศิษย์ไปด้วย”
พั่วหนานจื่อมั่นใจ เว้นแต่ว่าหวังหลินจะปัญญาอ่อน เขาคงไม่ติดตามสำนักเหิงยั่วไป
หวังหลินลังเลเล็กน้อยโดยไร้คำพูด เขาคารวะด้วยสองมือ ทะยานไปในอากาศและยืนอยู่ถัดจากฮวงหลง
พั่วหนานจื่อหรี่ตา “ไอ้เด็กเนรคุณ!”
หลิ่วเหวินจวี่และหญิงชรามองหวังหลินอย่างครุ่นคิดพวกเขารออยู่นานแต่หลังจากเห็นศิษย์ทั้งหมดของเหิงยั่วก้มหัวลงหญิงชราถอนหายใจและพูดขึ้น “ก็ดี ไปกันเถอะ”
พูดเช่นนี้เธอก็เหาะออกไปห่างไกล อีกสิบคนที่ติดตามเธอมีสีหน้าขมขื่น
ผู้คนของสำนักเหิงยั่วติดตามผู้อาวุโสขั้นแตกหน่อสองคนและบินออกห่างสำนักเหิงยั่วราวกับสุนัขไร้บ้าน
ระหว่างทาง ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมา นอกจากความโกรธที่พวกเขาสัมผัสได้จากการสูญเสีย
หลังจากเหาะเป็นเวลานานจนท้องฟ้ามืดลง ลิ่วเหวินจวี่และหญิงชราได้ถกเถียงกันชั่วขณะก่อนที่จะถึงพื้นบนข้างภูเขาลูกหนึ่ง
หญิงชราถอนหายใจขึ้น เธอมองไปผู้คนรอบๆนอกจากผู้อาวุโสขั้นแตกหน่อสองคน ทุกคนที่เหลือต่างอยู่ขั้นรวบรวมลมปราณมีเพียงสี่คนจากรุ่นฮวงหลง และสิบสองคนจากรุ่นหวังหลินเธอยิ้มอย่างขมขื่นและบังคับตัวเองให้ใจเย็นลง “พวกเจ้าไม่ควรเสียใจแค่เพราะสำนักเหิงยั่วพบเจอภัยพิบัตินี้สิ่งพวกนี้มักจเปลี่ยนแปลงโลกผู้ฝึกเซียนอยู่เสมอวันนี้เขาขโมยภูเขาเหิงยั่วจากพวกเราไปแต่ว่าครั้งที่ข้าและบรรพบุรุษลิ่วเข้าถึงขั้นผลิดอก เราจะนำมันกลับคืนมา!”
ในสองผู้อาวุโสขั้นสร้างลำต้นคือผู้อาวุโสช่างกวนคนที่ติดตามสังเกตหวังหลินในโถงหลักไม่กี่วันก่อนเขาไอออกมาเสียงแหบแห้งและพูดขึ้น “บรรพบุรุษหวังพูดถูกความทุกข์ที่เรารู้สึกตอนนี้ จะเป็นจิตวิญญาณต่อสู้อันสูงส่งในภายหน้าเราต้องสลักความอัปยศนี้ไว้ในใจของเรา เมื่อเราประสบความสำเร็จในอนาคตพวกเราจะนำภูเขากลับคืน!”
ผู้อาวุโสขั้นสร้างลำต้นอีกคนที่มีร่างกายและใบหน้าใหญ่เต็มไปด้วยความกังวลและมองไปที่เหล่าศิษย์ที่เหลือ “เมื่อภัยพิบัติย่างกรายเข้ามา ทุกคนต่างเหาะเหินไปคนละทางในที่สุดเหลือเพียงพวกเจ้าที่ติดตามเรามาจากสำนักเหิงยั่ว” เขาถอนหายใจ
ในเหล่าศิษย์สายในที่ติดตามมา นอกจากพี่จ้างและลิ่วซง หวังหลินไม่รู้จักใครคนอื่นเลย แต่พวกเขากลับดูคุ้นเคย
ยังมีอ้วนน้อย คนที่เขาเจอข้างนอกสุสานดาบอีกด้วย
ลิ่วเหวินจวี่สูดหายใจลึกและพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ไม่มีแหล่งพักพิงในอดีตอีกแล้วสิ่งสำคัญตอนนี้คือหาสถานที่ที่เป็นบ้านให้กับสำนักของเราหลายปีก่อนข้าได้สร้างบ้านหลังหนึ่งบนภูเขาเหมือนงูห่างจากที่นี่หนึ่งพันกิโลเมตร ตอนนี้ข้าจะไปอาศัยที่นั่น”
หญิงชราลังเลเล็กน้อย เธอพยักหน้าและพูดขึ้น “นั่นก็ดี เราจะไปที่นั่น พวกเราต้องปิดประตูฝึกฝนและเข้าถึงขั้นผลิดอกภายในร้อยปี”
ลิ่วเหวินจวี่จ้องมองเขาพูดกับสองผู้อาวุโสขั้นสร้างลำต้น “ช่างกวน และซ่งอวี่พวกเจ้าทั้งสองคุ้มกันขณะที่ข้าและบรรพบุรุษหวังฟื้นฟูพลังปราณเพื่อใช้ในการตั้งค่ายกลจากนั้นพวกเราจะมารับตัวพวกเจ้าเข้าไป”
ช่างกวนและซ่งอวี่รีบทำสิ่งที่พวกเขาบอก
ลิ่วเหวินจวี่หยิบหยกเขียวออกมาสองสามชิ้นโยนไปบนอากาศและมันเริ่มส่องแสงสีเขียวฝ่ามือเขาสร้างเป็นผนึกหลายอย่างและทันใดนั้นหยกเขียวก็สั่นขึ้นสร้างเป็นโดมแสงเขียวปกคลุมทุกอย่างในระยะยี่สิบเมตร
หลังจากนั้นเขาก็นั่งขัดสมาธิและถือหินวิญญาณในมือเพื่อเร่ิมฟื้นฟู หญิงชราทำสิ่งเดียวกันและเริ่มฟื้นฟูพลังปราณของเธอด้วย