641. คู่รักเซียนเมฆาสวรรค์ หวังเว่ย ฮู่จวน
รูม่านตาหวังหลินหดเล็กและมองลงไปในประเป๋า หวังหลินแบ่งเศษสัมผัสวิญญาณตนเองเข้าไปในกระเป๋าและพบว่าม้วนคัมภีร์ลึกลับที่เขาเจอในดาวซูซาคุพลันเปิดขึ้นมาเอง แสงสีม่วงกำลังออกมาจากคัมภีร์ก่อเกิดเป็นเงาสตรีร่างหนึ่ง ร่างของนางงดงามอย่างยิ่งเผยแผ่นหลังให้หวังหลิน นางกำลังกระซิบเบาๆ
“ลงไป…”
หวังหลินไม่คุ้นเคยกับร่างงดงามในม้วนคัมภีร์เท่าไหร่ ตอนที่อยู่บนดาวซูซาคุ ขณะที่หวังหลินต่อกรกับอสูรที่บรรชนลำดับสามปลดปล่อยออกมา ร่างนางที่อยู่ในม้วนคัมภีร์กลับปรากฏตัวและควบคุมอสูรพวกนั้น
หวังหลินงุนงงกับม้วนคัมภีร์เล่มนี้มาเสมอ หลังจากที่บรรลุขั้นเทวะ หวังหลินนำออกมาดูตอนอยู่ในเผ่าหลอมวิญญาณและไม่มีความคืบหน้าใดๆ
แม้หวังหลินได้ประทับสัมผัสวิญญาณบนม้วนคัมภีร์แล้ว เขาก็ไม่อาจควบคุมมันได้
ขณะนี้ร่างในม้วนคัมภีร์ปรากฏขึ้นอีกครั้ง หวังหลินส่งข้อความทางสัมผัสวิญญาณออกไป
“ลงไปในหลุมลึกนี้น่ะหรือ?”
ร่างนั้นกระซิบเบาบางอีกครั้ง “ลงไป…”
ดวงตาหวังหลินส่องสว่างขึ้นและถอนสัมผัสวิญญาณออกมา เขามองลงไปในหลุมลึกซึ้งมืดสนิทและไม่อาจเห็นแสงสว่างใดๆข้างในได้
หลังขบคิดชั่วขณะ หวังหลินถอนสายตาออกมาและไล่ตามหลังโจวยี่
“หรือจะมีบางอย่างในหลุมลึกที่สัมพันธ์กับม้วนคัมภีร์…” หวังหลินไล่ตามหลังโจวยี่พลางคิดไปด้วย
เสียงโจวยี่ดังออกมาข้างหน้า “มีพลังลึกลับสายหนึ่งอยู่ในหลุมนั่นซึ่งส่งผลกระทบต่อจิตใจ หากจิตใจไม่แข็งแกร่งพอจะตกลงไปข้างใน”
โจวยี่ย้ำเตือนอีกครั้ง “อย่ามองลงไปอีกและเหาะเหินต่อไป!”
หวังหลินพยักหน้าและเพ่งสมาธิ ขณะที่เหาะเหินผ่านทางเดินยาว แรงดึงดูดจากในหลุมเปลี่ยนจากรุนแรงเป็นอ่อนกำลัง
หลังผ่านไปไม่รู้เวลา กระบี่สวรรค์โจวยี่หยุดชะงักทันทีและหวังหลินหยุดด้วยเช่นกัน พวกเขามาถึงส่วนตะวันออกของทางเดินแล้วและเส้นทางด้านหน้าพวกเขากลับมืดสนิท
“ระวังตัวเอาไว้ หลุมนั่นมีบางอย่างแปลกประหลาด!” ขณะที่โจวยี่ส่งเสียงออกมา หมอกสีม่วงสายหนึ่งออกมาจากหลุมและล้อมรอบไปทั่วบริเวณ
น้ำเสียงโจวยี่กลายเป็นเลือนลางเมื่ออยู่ในสายหมอก
ดวงตาหวังหลินเยือกเย็น การปรากฏตัวของหมอกนี้ช่างประหลาดเกินไป ไม่เพียงแต่จะขัดขวางระยะมองเห็นมันยังจำกัดสัมผัสวิญญาณให้มีระยะน้อยกว่าสามสิบฟุตอีก ตอนที่หวังหลินยื่นออกไปให้ไกลกว่านั้น สัมผัสวิญญาณจะหายไปราวกับถูกหมอกกลืนกิน
แม้จะมีระยะสามสิบฟุตแต่สิ่งที่หวังหลินเห็นด้วยสัมผัสวิญญาณกลับเป็นภาพเบลอ
ในขณะเดียวกันแรงดึงดูดจากในหลุมยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเมื่อสายหมอกโผล่ออกมา ทว่าแรงดึงดูดนี้ไม่มีผลกระทบต่อหมอกซึ่งเป็นเรื่องน่าประหลาดอย่างยิ่ง
แสงกระบี่กระพริบวาบในสายหมอกด้านหน้าหวังหลินและจากนั้นกระบี่สวรรค์ของโจวยี่พลันลอยขึ้นไป มันล้อมรอบหวังหลินเป็นวงกลม โจวยี่ส่งข้อความสัมผัสวิญญาณออกมา
“ช่างเถอะ หวังหลินขึ้นมา ข้าจะพาเจ้าไปเอง หมอกนี้ประหลาดเล็กน้อย ข้ากลัวว่าด้วยความแข็งแกร่งของเจ้ามันอาจจะมีอันตราย!”
หวังหลินก้าวขึ้นไปบนกระบี่สวรรค์โดยไม่เสียเวลา ปราณสวรรค์จากกระบี่ใต้ผ่าเท้าหวังหลินพรั่งพรูขึ้นมาและไหลผ่านในร่างกายหวังหลิน
“ทำพลังของเจ้าให้มั่นคง เพ่งสมาธิและอย่าปล่อยให้ปราณสวรรค์เล็ดลอดออกมาได้!” คำพูดของโจวยี่ดังก้องในจิตใจหวังหลิน หวังหลินทำตามที่โจวยี่พูดทันที ปราณสวรรค์ในร่างกายสั่นสะท้าน หลุดออกจากเส้นชีพจรก่อเกิดเป็นม่านปราณสวรรค์วาววับ!
ไม่เพียงแต่ม่านนี้จะบรรจุปราณสวรรค์มันยังบรรจุปราณกระบี่เข้าไปด้วย ตัวม่านกระจายออกมาและผลักหมอกออกไป ก่อให้เกิดอุโมงค์ในสายหมอกราวกับมีมือยักษ์คู่หนึ่งเปิดออกมา
โจวยี่เปลี่ยนเป็นลำแสงพร้อมกับนำพาหวังหลินเหาะเหินผ่านสายหมอกสีม่วงไปด้วย ขณะที่กระบี่สวรรค์ลอยผ่าน หมอกม่วงพลันถูกผลักออกไป ตอนที่ม่านพลังปราณเกิดขึ้นมันไม่ได้ผลักออกไปไกลนัก แต่เมื่อมีปราณกระบี่อันทรงพลังจากกระบี่สวรรค์จึงทำให้หมอกม่วงเลือนหายไป
กระบี่สวรรค์เร็วมาก เร็วเสียจนหวังหลินรู้สึกถึงลมแรงๆตีพัดเข้าใบหน้า หมอกม่วงดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นมังกรม่วงผ่านมุมอับสายตาในชั่วอึดใจ
หลังผ่านไปสักพัก กระบี่สวรรค์หันเอียงขึ้นไปและเริ่มบินหมุนเกลียว หวังหลินโคจรปราณสวรรค์ในร่างเพื่อติดแน่นกับกระบี่ให้มั่นโดยไม่ถูกโยนออกไปได้
“กลิ่นอายของวิญญาณกระบี่รุ่นสุดท้ายเพียงแค่อยู่ข้างหน้า หวังหลินเจ้าจงตั้งมั่นตัวเองให้แน่น ข้ากำลังจะใช้ความเร็วสูงสุด!” หลังโจวยี่กล่าวจบ เขาให้เวลาหวังหลินเตรียมตัวไม่กี่วินาที จากนั้นเร่งความเร็วขึ้น
มันเร็วเสียจนเริ่มสร้างภาพติดตา ราวกับเป็นการเคลื่อนที่พริบตา หวังหลินยืนอยู่บนกระบี่สวรรค์และรู้สึกเหมือนกับมีภูเขาหนึ่งแสนลูกผ่านตาไป หวังหลินแทบลืมหายใจและกุมพลังปราณสวรรค์เอาไว้
หากเป็นการเคลื่อนที่พริบตาของจริงก็คงดีและหวังหลินคงไม่ต้องรู้สึกเช่นนี้ ทว่านี่ไม่ใช่การเคลื่อนที่พริบตาแต่เป็นการเร่งความเร็วเทียบเท่าการเคลื่อนที่พริบตา!
ม่านพลังปราณสวรรค์บิดเบือนและสร้างขึ้นใหม่จนติดกับร่างหวังหลิน กระบี่สวรรค์เร่งความเร็วเหนือจิตนาการจริงๆ
หวังหลินเห็นได้ว่าหมอกรอบตัวเขาเปลี่ยนกลายเป็นทะเลหมอก มันคือภาพมายาที่เกิดจากการเคลื่อนที่เร็วเกินไป
ความรู้สึกเช่นที่เกิดขึ้นในตอนที่เขาพึ่งเข้าสู่โลกแห่งเซียนใหม่ๆเมื่อหลายร้อยปีก่อนได้ปรากฏขึ้นในใจ สิ่งนี้ทำให้หวังหลินค่อนข้างละอาย
“นี่คือกระบี่สวรรค์และวิญญาณกระบี่ของจริง! แม้กระบี่สวรรค์ของข้าจะมีความแข็งแกร่งนี้แต่วิญญาณกระบี่ก็ยังไม่แข็งแกร่งเพียงพอให้ใช้พลังได้เต็มที่ เจ้าฉวี่ลี่กั๋วมีพฤติกรรมชอบทรยศ เจ้าปิศาจนี้แกล้งอ่อนแอแต่หวาดกลัวความแข็งแกร่ง มันจะไม่สามารถหนีรอดไปจากข้าได้!”
ตอนนี้หมอกม่วงเริ่มหมุนปั่นและเริ่มขยายตัวออก จากนั้นแรงดึงดูดทรงพลังได้โผล่ออกมาจากหลุมลึกไร้ก้นบึ้งที่เดียวกับสายหมอกโผล่
ในทันทีที่แรงดึงดูดอันทรงพลังออกมา แต่เดิมที่สายหมอกไม่ได้รับผลกระทบจากแรงดึงดูดกลับถูกดูดเข้าไปในหลุมลึก
แรงดึงดูดจากหลุมยิ่งรุนแรงขึ้นและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆทำให้สายหมอกดูดเข้าไปอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก้อนกรวดบนผนังก็ถูกดูดเข้าไปด้วย
ณ ทางเดินที่ห่างออกไปอีกมีกระบี่เล่มยักษ์ติดอยู่บนพื้น มันเริ่มสั่นเทาและเริ่มเคลื่อนออกจากพื้นทีละนิด ในที่สุดเกิดเสียงดังปัง! ถูกดึงออกจากพื้นและเข้าไปหาหลุมลึกเนื่องจากแรงดึงดูด
ตอนที่กระบี่สวรรค์โจวยี่บินเข้าไปหา หวังหลินจดจำสัมผัสคุ้นเคยของกระบี่สีทองเล่มยักษ์ที่กำลังมุ่งหน้าเข้าไปในหลุมลึกได้
โจวยี่หันกลับมาโดยไม่ลังเลและเปลี่ยนเข้าหาหลุมลึกตรงใส่กระบี่ยักษ์ แรงดึงดูดข้างในและแรงดึงดูดข้างนอกหลุมลึกแตกต่างกันอย่างมาก ตอนที่โจวยี่เหาะเข้าไปในหลุมนั้นถึงกลับทำให้มีความเร็วมากกว่าแสงเสียอีก
พริบตาเดียวพวกเขาก็จับกระบี่ทองเล่มยักษ์ได้ หวังหลินเผยสายตาเด็ดเดี่ยวตอนอยู่บนกระบี่สวรรค์และจับกระบี่ยักษ์ได้ทันที
ทว่าแรงดึงดูดของหลุมลึกได้ห่อหุ้มรอบกระบี่ยักษ์ไว้แล้ว ตอนที่หวังหลินคว้ากระบี่มันจึงเหมือนกับเขากำลังขโมยสมบัติจากหลุมลึกและต่อสู้กับพลังดึงดูด ขณะที่หวังหลนคว้าจับมันจึงเกิดแรงดึงอันทรงพลัง ร่างหวังหลินไม่มั่นคงชั่วขณะและหลุดออกจากกระบี่สวรรค์ทันที
ในช่วงเวลาวิกฤต หวังหลินสูดหายใจลึกและใช้แม่น้ำอเวจีล้อมรอบทันที ภายใต้การควบคุมของเขา แม่น้ำอเวจีจึงเริ่มหมุนเกลียวรุนแรงก่อเกิดเป็นวังวนโดยที่หวังหลินเป็นจุดศูนย์กลาง แรงดึงดูดบนหวังหลินอ่อนกำลังลงและจากนั้นหวังหลินดึงกระบี่ในทันที กระบี่ยักษ์หยุดตกเข้าไปในหลุมและถูกดึงกลับมาอย่างช้าๆ
โจวยี่ส่งเสียงคำรามแฝงวิชาวิญญาณกระบี่เอาไว้ด้วย กระบี่ปลดปล่อยแสงกระพริบและโจวยี่จึงดึงหวังหลินที่กำลังมุ่งหน้าเข้าหาหลุมทันที
หวังหลินรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังถูกแยกออกเป็นสองส่วน กระบี่ยักษ์ในมือขวาราวกับมีน้ำหนักไร้ขีดจำกัดขณะเดียวกันหวังหลินยืนอยู่บนกระบี่สวรรค์โดยที่เส้นเลือดปูดพองอยู่บนใบหน้า
ขณะที่โจวยี่พุ่งขึ้นออกไป กระบี่ยักษ์ก็ถูกดึงขึ้นมาอย่างช้าๆเช่นกัน สายตาหวังหลินเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น หวังหลินต้องไม่ปล่อยมันไป เขากลัวว่าหากปล่อยมันไปตอนนี้จะไม่เห็นกระบี่เล่มนี้อีกเลยตลอดชีวิต
ขณะที่โจวยี่พุ่งขึ้นไป กระบี่ที่หวังหลินจับเอาไว้ก็ค่อยๆลอยขึ้นเช่นกัน สีทองบนกระบี่หลุดลอกออกทั้งหมดเผยให้เห็นกระบี่สีดำสนิท
อัญมณีที่เหลืออยู่บนด้ามกระบี่ต่างแตกสลายไปหมดและถูกดูดเข้าไปในหลุมลึก
โจวยี่ร้องคำรามเพิ่มพลังกระบี่สวรรค์ กระบี่ยักษ์ถูกดึงขึ้นมาหลายสิบฟุต หวังหลินใช้ปราณสวรรค์มากขึ้นและทำให้แม่น้ำอเวจีหมุนเร็วมากขึ้น แรงดึงดูดอ่อนลงอย่างต่อเนื่องจนในที่สุดโจวยี่ก็พุ่งออกมาจากหลุมลึกพร้อมกับหวังหลิน!
ชั่วขณะที่พวกเขาพุ่งออกมา หวังหลินร้องคำราม กระบี่ยักษ์ถูกดึงขึ้นและตกลงใส่มือหวังหลิน!
มีคำตื้นๆสลักบนกระบี่ไว้ว่า “มั่งคั่ง!”
ขณะที่ถือเจ้ามั่งคั่งนั้นความทรงจำหลายอย่างจากอดีตได้แล่นผ่านจิตใจหวังหลิน เขาสูดหายใจลึกและก่อนที่จะมีเวลามองมัน โจวยี่ได้ดึงเขาลงมาทางเดินใกล้ๆ
โจวยี่ให้ความเร็วมากอย่างยิ่งเคลื่อนผ่านทางเดิน หวังหลินส่งข้อความสัมผัสวิญญาณให้โจวยี่เพื่อให้เขานำทางไปที่ทางออกในเหวนรก ซึ่งจะออกไปที่แคว้นปิศาจอัคคี!
หวังหลินถือกระบี่มั่งคั่งในมือและมองมันอย่างละเอียดก่อนจะเก็บใส่กระเป๋า เพียงแค่ชำเลืองมันก่อนหน้านี้ก็ทำให้หวังหลินพบเบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับกระบี่ หากระดับบ่มเพาะหวังหลินไม่สูงส่งเพียงพอเขาคงไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้แต่ตอนนี้หวังหลินบรรลุขั้นเทวะแล้วมันจึงต่างกัน
อย่างไรก็ตามตอนนี้ไม่ใช่เวลามาศึกษามัน หวังหลินจึงเก็บใส่กระเป๋า เตรียมตัวศึกษามันอย่างละเอียดหลังจากออกไปจากเหวนรกได้
“การเดินทางมาเหวนรกครั้งนี้เสร็จสมบูรณ์ น่าเสียดายที่ข้าไม่มีเบาะแสว่าป้ายสิทธิ์ลึกลับนั้นอยู่ที่ไหน…” หวังหลินเริ่มคิด
ณ ภายในกระเป๋าของหวังหลิน เจ้าอสูรยุงลืมตาของมันขึ้นและเผยสายตาสงสัย ปกติแล้วตอนที่มันอยู่ในกระเป๋า มันไม่ควรจะสามารถสัมผัสสิ่งที่อยู่ภายนอกได้เว้นแต่จะใช้วิชาอัศจรรย์ แต่ขณะนี้เองมันกลับสัมผัสถึงกลิ่นอายหลายอย่างที่ทำให้มันรู้สึกคุ้นเคยอย่างยิ่ง
หลังจากลังเลเล็กน้อย เจ้าอสูรยุงยังไม่สามารถค้นพบอะไรได้ มันมองไปยังเจ้าคางคกสายฟ้าที่ยังหลับสนิท นอนบนหลังเจ้าคางคกและหลับตาลง
ด้วยความเร็วของโจวยี่ พวกเขาจึงใกล้ทางออกสู่แคว้นปิศาจอัคคียิ่งขึ้น…ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็ยิ่งเข้าใกล้สายหมอกและกลุ่มอสูรยุงที่กำลังล้อมรอบกรีดและพวกอยู่…
ภายในดินแดนวิญญาณปิศาจ ก้อนเมฆหนึ่งกำลังเคลื่อนเข้ามาจากทิศใต้ ก้อนเมฆนี้เต็มไปด้วยพลังปราณสวรรค์ราวกับเป็นสิ่งที่มาจากแดนสวรรค์ มันปลดปล่อยแสงเป็นประกายออกมา ขณะที่เหาะเหินข้ามผ่านท้องฟ้ามันจึงทำให้ท้องฟ้าเต็มไปด้วยสีสัน
มีคนสองคนยืนอยู่บนก้อนเมฆสีสันนี้ หนึ่งสตรีและหนึ่งบุรุษ ฝ่ายชายอยู่ในท่ายืนตรงสวมชุดคลุมสีฟ้าปักษ์ด้วยก้อนเมฆสีฟ้าในชุด ก้อนเมฆนั้นกระทั่งปลดปล่อยระลอกคลื่นออกมา สเ้นผมยาวพริ้วไสวด้านหลังเผยใบหน้าอันหล่อเหลา
เขาเผชิญกับสายลมและถือขลุ่ยหยกสีเขียวในมือ ท่ามกลางเสื้อผ้าที่พัดพริ้วในสายลม เขาเสมือนกับเทพบุตร
ด้านข้างเป็นสตรีสวมชุดกระโปรงสีม่วงอ่อนลาเวนเดอร์ปักด้วยดอกไม้สีชมพูเล็กๆ นางมวยผมขึ้นใส่ปิ่นสีม่วงอ่อน แม้ว่าจะดูธรรมดาแต่กลับไม่ได้ลดความสง่าลงไปเลย นางแต้มใบหน้าจางๆ ริมฝีปากแดงโดยไม่ต้องแต่งเติมสีใดๆ
ต้องกล่าวว่าร่างของนางอ่อนละมุนและส่งกลิ่นหอมหวน!
นางมองบุรุษด้านข้างเป็นพักๆ ส่งสายตาอ่อนละมุน เห็นได้ชัดว่าสองคนนี้คือเซียนคู่รัก
เซียนธรรมดาจะสามารถขับขี่เมฆหมอกได้ เมฆนี้เป็นสีขาวธรรมดาและเป็นหมอกที่เกิดจากละอองน้ำ
วิชานี้ถือว่าเป็นวิชาระดับต่ำ ไม่เพียงแต่จะไม่เร็วแล้วยังไม่มีอะไรพิเศษอีก มันเพียงแค่คนบางส่วนใช้เพื่อแกล้งเป็นเทพเพื่อหลอกลวงคนธรรมดา
แต่ว่ากับคู่เซียนคู่นี้แตกต่างกันออกไป ก้อนเมฆถูกปรับแต่งมาจากเมฆสวรรค์ก้อนที่เก้า แม้แต่ก่อนที่แดนสวรรค์จะล่มสลาย มันก็ยังถือได้ว่าหากยากยิ่ง!
พลังของก้อนเมฆนี้ขึ้นอยู่กับแสงเทพโดยธรรมชาติ ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่พลังของมันจะไม่ต่ำต้อย!
เซียนรุ่นเก่าแก่จะจดจำสองคนนี้ได้หลังจากเห็นก้อนเมฆ เหตุผลนั่นก็เพราะมีเพียงคนที่มีขอบเขตเดียวกับบรรพชนโลหิต หลิงเทียนโฮวและเทียนหยุนเท่านั้นที่สามารถขับขี่ก้อนเมฆแบบนั้นได้!
คู่รักเซียนเมฆาสวรรค์!
คู่รักเซียนที่เข้ามาในดินแดนวิญญาณปิศาจพร้อมกับหลิงเทียนโฮวและเทียนหยุน พวกเขาจับจองไปหนึ่งถ้ำและไม่ออกมาเลยเป็นเวลาหมื่นปี!
หวังเว่ยและฮู่จวน!
ระดับบ่มเพาะของสองคนนี้สามารถเทียบได้กับเทียนหยุนและคนอื่นๆแล้ว เพิ่มเติมกับที่สองคนร่วมมือกันเป็นอย่างดี แม้แต่เทียนหยุนก็ยังต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
สิ่งที่เทียนหยุนหวาดหวั่นมากยิ่งขึ้นก็คือต้นกำเนิดของสองคนนี้ ตัวตนของพวกเขาเป็นที่ลึกลับอย่างยิ่ง แม้แต่เทียนหยุนก็ไม่สามารถรู้อะไรมากเกี่ยวกับเขา เขารู้แต่เพียงว่าสองคนนี้บ่มเพาะมานานมากกว่าเทียนหยุนเสียอีก
โชคดีที่สองคนนี้เป็นคนรักสงบและไม่ได้ต่อสู้เพื่ออำนาจ ตราบใดที่ไม่ได้มาตอแยก็จะไม่มีปัญหา
หากชายชราตัวเตี้ยที่หวังหลินฆ่าไปได้เห็นสองคนนี้ เขาก็คงจดจำได้ทันทีและกัดฟันแน่น คนสองคนนี้คือคนที่ขโมยกระเป๋าไปจากเขาหนึ่งใบ
ทั้งสองคนขับขี่ก้อนเมฆและเหาะเหินตรงไปหาแคว้นปิศาจอัคคี
ขณะที่ก้อนเมฆเข้ามาในแคว้นปิศาจอัคคี เป้ยหลัวที่อยู่ใต้เมืองหลวงของแคว้นปิศาจฟ้าพลันลืมตาตื่นขึ้น
ดวงตาเรืองแสงสีทองสุกสว่าง แต่ในไม่ช้าแสงนั้นก็อันตรธานหายไป
“พวกเขาออกมาจากถ้ำแล้วจริงๆ…ดูเหมือนว่าข้าต้องเพิ่มความเร็วในการกลืนกินวิญญาณปิศาจโบราณตนอื่นเสียแล้ว…” ดวงตาของเป้ยหลัวมีสัมผัสแห่งความหวาดกลัวที่ซ่อนเอาไว้เป็นอย่างดี
ขณะที่ก้อนเมฆสวรรค์ลอยผ่านตรงเข้าไปในแคว้นปิศาจอัคคี ก้อนเมฆทั้งหมดในท้องฟ้าถูกผลักออกไปจากเส้นทาง แม้แต่แม่ทัพปิศาจและเหล่าทหารในเมืองยังต้องอกสั่นขวัญแขวน พวกเขาไม่กล้าแม้แต่เหาะเหินออกไปตรวจสอบ
ไม่นานหลังจากนั้น ก้อนเมฆสวรรค์หยุดลงตรงทางออกของเหวนรก ก้อนเมฆค่อยๆเลือนหายไปและสองคนร่อนลงพื้น
สายตาบุรุษยิ้มให้กับสตรีข้างๆด้วยความสนใจ “น่าสนใจ จวนเอ๋อ มีกฏเกณฑ์บางอย่างถูกวางไว้ที่นี่ หืมมมม กฏเกณฑ์นี้ช่างฉลาดเสียจริง”
สตรีด้านข้างกล่าวด้วยน้ำเสียงอรชรเปี่ยมความสุข “มีกฏเกณฑ์ไม่มากนักที่กระตุ้นความสนใจของท่าน”