810. ปีกผีเสื้อ 1
บุรุษชุดคลุมฟ้าหน้าตาอยู่ในวัยกลางคน ดวงตาเย็นเยียบแต่ก็เรืองแสงชั่วร้ายออกมาด้วย ริมฝีปากบางและมีกลิ่นอายแข็งกร้าว เส้นผมปัดป่ายไปมาทำให้เขาดูเหมือนปิศาจในหมู่เทพ
เขาเดินออกมาจากแท่นและเหาะเหินขึ้นสู่กลางอากาศ กายหยาบยังไม่เป็นรูปร่าง ถ้ามองเขาตอนนี้คงยังเห็นแท่นอยู่ด้านหลัง
หวังหลินกำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศ ด้านหลังคือผีเสื้อที่ปรากฏขึ้นหลังจากกระตุ้นราชรถสังหารเทพ ผีเสื้อกระพือปีกเบาๆให้ตัวเองลอยอยู่เนืองๆ
สายตาสมาชิกเผ่าทุกคนต่างระมัดระวังจ้องชายวัยกลางคนและถอยออกมา ต้าซานแววตาเย็นเยียบก้าวมาข้างหน้าและตะโกน “ใครกัน!?”
ชายวัยกลางคนชุดฟ้าเลื่อนสายตาจากต้าซานและกวาดผ่านสมาชิกเผ่า สุดท้ายตกลงมาที่หวังหลินและเคร่งขรึม
“เจ้าไม่ได้มาจากที่นี่ เจ้ามาจากที่ไหน!?”
หวังหลินสีหน้าเย็นยะเยือก แค่ชำเลืองมองก็สามารถมองเห็นระดับบ่มเพาะของชายวัยกลางคนได้ซึ่งเป็นขั้นรูปธรรมหยางสูงสุด สูงมากกว่าเขาเล็กน้อย
ต้าซานขมวดคิ้วพุ่งเข้าใส่ด้วยกำปั้น รอยสักบนร่างกายกระพริบวูบวาบและควบแน่นไปพร้อมกับกำปั้นเข้าใส่ชายวัยกลางคน
ต้าซานตะโกน “เจ้าเป็นใคร!?”
“คำนับ!” อีกฝ่ายเผยแววตาดูถูกราวการมองต้าซานดุจการมองมดแมลง ยกแขนขวาขึ้นและชี้นิ้วออกไป เกิดระลอกคลื่นจากตรงกลางนิ้วและเริ่มแพร่กระจาย
ขณะที่ต้าซานเข้ามาใกล้ สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นซีดจางทันที เขารู้สึกได้ชัดเจนว่ามีพลังในร่างตัวเองป้องกันไม่ให้เข้าใกล้และโจมตีเขา
พลังนี้รุนแรงยิ่งราวกับมันคือสัญชาตญานที่ประทับอยู่ในร่างเขา เมื่ออยู่ห่างจากชายวัยกลางคนสองร้อยฟุต ต้าซานก็ไม่สามารถขยับเข้าไปใกล้ได้อีกเลย ใบหน้าเผยความเจ็บปวดพร้อมกับทั้งร่างสั่นเทา เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลรินลงจากหน้าผาก
รู้สึกได้ชัดเจนว่าพลังที่ป้องกันไม่ให้เขาไปข้างหน้านั้นมาจากรอยสักของตัวเองซึ่งเขาไม่สามารถต่อต้านได้
เรากับพบเจอกับศัตรูตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหนเขาก็ยังไม่กล้าโจมตีชายวัยกลางคน
เป็นความรู้สึกที่แข็งแกร่งขณะเดียวกันความคิดก็สั่นเทา ราวกับอีกฝ่ายเพียงแค่คิดก็ทำให้เขาแตกสลายได้ในทันที
ต้าซานไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนในชีวิต ทว่าขณะที่เกิดความรู้สึกนี้ขึ้นมา ราวกับมันคงอยู่มาตลอด ราวกับเป็นตราประทับในชีวิตของสมาชิกเผ่าอมตะที่ถูกเลือกทุกคน
ต้าซานร่างกายสั่นสะท้านโดยไม่อาจต่อต้านได้! ยามที่สายตาชายวัยกลางคนมองมาที่เขา พลันเกิดแรงกระตุ้นให้ต้องคุกเข่าลงและเทิดทูญคนตรงหน้า ทว่าเนื่องด้วยเกียรติยศของตัวเอง ต้าซานกัดฟันแน่นหยุดความรู้สึกที่ออกมาจากวิญญาณและรอยสักเอาไว้
เสียงร้องดิ้นรนคล้ายเสียงคำรามโผล่ขึ้นมาจากลำคอ ดวงตาแดงฉาน สิ่งที่ออกมาจากร่างกายไม่ใช่เหงื่ออีกต่อไปแต่มันคือโลหิต
ต้าซานดิ้นรนยกเท้าขึ้นและก้าวไปข้างหน้า ร่างกายสั่นอีกครั้งราวกับกำลังเผชิญหน้ากับโลกทั้งใบ
ก้าวครั้งนี้เพียงแค่ยกขึ้นเท่านั้น และก่อนที่จะเหยียบลง วิสัยทัศน์ของต้าซานก็มืดดับ กระอักโลหิตคำโตออกมา ร่างกายไม่สามารถทนต้านพลังได้อีกราวกับมีมือยักษ์ที่มองไม่เห็นกำลังหกทับเขาและให้คุกเข่า
โลหิตสองสายไหลรินจากดวงตา เจือปนความโศกเศร้าและไม่ยอมแพ้ แต่ร่างกายไม่อาจทนต้านได้อีกต่อไป
คุกเข่าได้เท่านั้น!
ชายวัยกลางคนเย้ยหยัน “เจ้าเผ่าชั้นต่ำกล้าดีอย่างไรมาต่อต้านประทับตราทาส! ถ้าไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากฆ่าเจ้า เจ้าคงตายเพราะคิดจะฆ่าเทพคนนี้เสียแล้ว! ไปซะ!”
ราวกับร่างต้าซานถูกตีด้วยกำปั้นที่มองไม่เห็น ร่างกายเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นพร้อมกับถูกโยนออกไปกระแทกใส่พื้นอีกพันฟุต
ต้าซานดิ้นรนจะลุกขึ้น ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม จดจ้องเขาพร้อมตะโกน “เจ้าเป็นใคร!?!”
ตอนนี้ไม่เพียงแค่ต้าซานเท่านั้น แต่สมาชิกเผ่าอมตะที่ถูกเลือกทั้งหมดต่างสูดลมหายใจลึกจ้องไปที่ชายวัยกลางคน สิ่งที่พึ่งเกิดขึ้นถือว่าประหลาดเกินไปและพวกเขาไม่อาจยอมรับได้
ใบหน้าบรรพชนซีดเผือด ดูเหมือนเขาจะนึกอะไรบางอย่างได้และร่างกายเริ่มสั่นสะท้าน
สายตาเย็นเยียบของชายชุดฟ้ากลับแฝงด้วยความหยิ่งทระนง “เทพ! ทำไมพวกเจ้าถึงยังไม่คุกเข่า?!”
บรรพชนของเผ่าอมตะที่ถูกเลือกเผยรอยยิ้มบิดเบี้ยว เขาไม่สงสัยในคำพูดของชายวัยกลางคน เนื่องจากเขานึกถึงสิ่งที่บันทึกว่าบรรพชนรุ่นก่อนๆอธิบายความตื่นเต้นและการเคารพยังไงเมื่อพบเจอกับเทพ
ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องคาดเดาตัวตนเขาแล้ว “ตราบใดที่เจ้าพบพวกเขา เจ้าก็จะรู้เอง” นั่นคือคำพูดที่บรรพชนของเผ่าทิ้งเอาไว้
ตอนนั้นชายชรายังไม่เข้าใจ เขาเข้าใจผิดว่าความตื่นเต้นและเคารพมาจากความภักดี ทว่าตอนนี้เมื่อมาเห็นเทพแล้วเขาจึงเข้าใจทันที
‘ข้าไม่อาจหยุดความตื่นเต้นไว้ได้ ข้าไม่อาจหยุดความนอบน้อมไว้ได้…’ ชายชรายิ้มน่าสังเวชและคุกเข่าอยู่บนพื้น “ผู้ต่ำต้อยขอคำนับท่านเหนือเทพ”
เขาไม่ใช่คนเดียวที่คุกเข่า จิตใจของเผ่าคนอื่นๆต่างก็สั่นเทาขณะจ้องชายวัยกลางคนตรงหน้า มีพลังลึกๆในร่างกายทำให้พวกเขายอมจำนน แม้พวกเขาจะตาย แม้วิญญาณแตกสลาย พวกเขาก็ยังต้องยอมจำนน!
สมาชิกเผ่าอมตะที่ถูกเลือกต่างคุกเข่าลงทีละคนและก้มศีรษะ
วินาทีต่อมาเหลือเพียงสองคนที่ไม่ได้คุกเข่าลงคือหวังหลินและต้าซาน!
ต้าซานไม่ได้คุกเข่าเนื่องจากคุกเข่าไปแล้วหนึ่งครั้ง คราวนี้ไม่ว่าจะมีโลหิตออกมาแค่ไหนหรือมีพลังล่องหนกดทับมากมายเท่าไหร่ เขาก็จะดิ้นรนบังคับไม่ให้ตัวเองต้องคุกเข่า!
เสียงระเบิดดังออกมาจากในร่างต้าซานและโลหิตสาดกระจายไปทุกที่ เขาบาดเจ็บจากการต่อสู้กับหวังหลินอยู่แล้ว ตอนนี้ร่างกายแทบไม่สามารถทนได้อีก ดวงตาสลัวลงแต่ยังเผยสายตาไม่ยินยอม
หวังหลินขมวดคิ้วมองสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เขาได้รับข้อมูลจำนวนมากจากเรื่องที่เกิดขึ้นนี้
‘ไม่ว่าจะเป็นเผ่าอมตะที่ถูกเลือกหรือเผ่าละทิ้งอมตะ ทั้งสองเผ่าต่างก็เป็นทาสรับใช้ของเหล่าเทพ ประทับตราทาสทำให้เผ่ารุ่นต่อไปในอนาคตต้องกลายเป็นทาสให้กับเทพ!’
‘ประทับตราทาสถูกใส่ไว้ในการสืบทอดของเผ่า เหมือนกับตระกูลของลี่หยวน…’ ถ้าไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับลี่หยวน หวังหลินคงไม่สามารถมองเห็นภาพใหญ่ได้
ตอนนี้เขาเข้าใจทุกอย่างได้ชัดเจน
‘ประทับตราทาสผสานเข้ากับรอยสักของสมาชิกเผ่าอมตะที่ถูกเลือก ประทับตราทาสนี้กดขี่รุนแรงและทรงพลังมากกว่าที่ใช้กับตระกูลของหลี่หยวน นอกจากนั้นคนที่ใช้กับตระกูลของหลี่หยวนยังทำให้ตระกูลเขารับใช้เทพคนเดียวเท่านั้น’
‘อย่างไรเสียประทับตรานี้กลับต่างกัน เหมือนกับมันทำให้ต้องคุกเข่าต่อเทพทุกตน เป็นการทำให้เป็นทาสโดยสมบูรณ์ ทำให้ทั้งเผ่าพันธุ์ต้องรับใช้เหล่าเทพ!’
‘ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมีเผ่าละทิ้งอมตะอยู่บนดาวซูซาคุ นั่นแสดงว่ามีเผ่าพวกนี้อีกมากมาย!’ หวังหลินสายตาเคร่งขรึมพลางเกิดความคิดบ้าๆขึ้นในใจ
‘เป็นไปได้ว่าในอดีตก่อนที่แดนสวรรค์จะล่มสลาย มีอยู่เผ่าพันธุ์หนึ่งซึ่งแข็งแกร่งยิ่ง แข็งแกร่งเพียงพอจะเผชิญหน้ากับแดนสวรรค์ ทว่าท้ายที่สุดพวกเขาก็พ่ายแพ้ต่อเหล่าเทพ เป็นไปได้ว่าแดนสวรรค์ทั้งสี่แห่งเข้าช่วยกันร่ายวิชาอันทรงพลังเพื่อเปลี่ยนชนรุ่นหลังของเผ่านี้ทั้งหมดให้กลายเป็นทาสสำหรับเทพ!’ หวังหลินทำได้แค่เพียงถอนหายใจพลางมองสมาชิกเผ่าที่กำลังสั่นเทาและคุกเข่าอยู่บนพื้น
ชายชุดฟ้าใช้สายตาจ้องมองต้าซาน จากนั้นขมวดคิ้วพลางยกแขนขวาขึ้นมาชี้ใส่ต้าซาน เสียงดังปังโผล่ออกมาจากภายในร่างต้าซาน จากนั้นโลหิตไหลรินออกมาจากรูขุมขนและชุ่มไปด้วยโลหิต
“คุกเข่าและคำนับ!” น้ำเสียงชายชุดฟ้ากลับเย็นยะเยือก
สายตาต้าซานซีดเซียวแต่เขาก็ยังมีสายตาไม่ยอมแพ้ แต่พลังของประทับตราทาสไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถต่อต้านได้ ราวกับมีภูเขานับไม่ถ้วนกำลังบดขยี้ลงบนร่างเขา เข่าทั้งสองข้างแตกละเอียดและคุกเข่าอยู่บนพื้น
รอบด้านเงียบสนิท ฉวี่ลี่กั๋วลอยออกมาไกลเมื่อตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ มันขบคิดว่าควรจะต่อต้านหรือยอมจำนนดีถ้าหากเจ้าอสูรร้ายพ่ายแพ้
อสูรยุงบินเป็นวงกลมอยู่กลางอากาศจ้องไปที่ชายวัยกลางคน คางคกสายฟ้ามองออกมาจากระะยไกลด้วยสายตาเยือกเย็นและพองตัวขึ้น
ชายชุดฟ้าจ้องหวังหลินแต่ไม่ได้ทำอะไรวู่วาม เขามองเห็นระดับบ่มเพาะของหวังหลินและผีเสื้อข้างๆกันทำให้เขาสัมผัสว่ามันอันตรายอย่างยิ่ง
‘เขาไม่ได้มาจากเผ่าต่ำต้อยพวกนี้ เขาเข้ามาข้างในได้อย่างไร? ดูจากกลิ่นอายเขาก็ไม่ใช่เทพ…เขาเป็นใครกัน…’
ดวงตาส่องสว่างและไม่ได้ก่อกวนหวังหลิน แขนซ้ายกดลงไปบนแท่นด้านล่างและประตูก็เปิดขึ้น
ขณะที่ประตูเปิด หมอกสีดำหลายเส้นสายพุ่งออกมาเปลี่ยนกลายเป็นอสูรหมอกน่าเกลียดน่ากลัว สตรีจากข้างในเตาหลอมโผล่ออกมาด้วยแต่นางไม่ได้ก้าวออกจากประตู นางเพียงจ้องมองหวังหลินอย่างเย็นเยียบเท่านั้น
ขณะที่อสูรหมอกปรากฏตัวขึ้น สีหน้าท่าทางของเผ่าอมที่ถูกเลือกก็เปลี่ยนไป ทว่าพลังของประทับตราทาสทำให้พวกเขาไม่สามารถลุกขึ้นได้ แทบเป็นสัญชาตญาณที่ไม่อาจต้านทานได้เลย
อสูรหมอกก่อตัวเป็นรูปร่างและลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว สายตาแต่ละตัวส่องประกายเจิดจ้าพร้อมกับชายชุดฟ้าชี้ไปที่พื้น
อสูรหมอกพวกนั้นรีบพุ่งเข้าหาพื้นอย่างรวดเร็ว
เหตุการณ์นี้ทำให้รูม่านตาหวังหลินหดแคบลง