Skip to content

Reuan Si La Chapter 2

ตอนที่ 2

ขอให้ขายได้ทีเถอะ

ณโรงแรมที่พัก หลังจากกลับมาถึงโรงแรมแล้วศิริชัยและรัชนีก็อาบน้ำอาบท่าล้างฝุ่นจากแรงลมพายุกันทันที

หลังจากสบายเนื้อสบายตัวแล้วรัชนีก็นั่งคุยกับสามีว่า “คุณคะ คุณว่าเราจะขายได้มั้ยคะ เขาจะซื้อรึป่าวคะ”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ภาวนาขอให้เขาซื้อเหอะ เฮ้อ…ไม่น่าหลวมตัวซื้อมาเล้ย…ไอ้เรือนอาถรรพ์นั่นน่ะ ซื้อมาแล้วมีแต่เรื่องเดือนร้อนไม่หยุดหย่อน!” ศิริชัยจับมือภรรยากุมเอาไว้มองสบตากัน

แล้วรัชนีก็ถามขึ้นมาอย่างกลัวปาบกรรมเพราะเหมือนกับหลอกขายของไม่ดีให้เขา  “คุณคะ แล้วถ้าเขาซื้อไปแล้วเขาก็ต้องโดนอาถรรพ์ของเรือนศิลาซิคะ มันจะดีเหรอคะ”

“คุณอย่าไปใส่ใจนักเลย ขอให้เขาซื้อๆไปเหอะ หรือคุณอยากจะเก็บไอ้เรือนเฮงซวยนั่นเอาไว้รอให้อาถรรพ์ของมันทำให้เราสิ้นเนื้อประดาตัวกันล่ะ”

รัชนีรีบส่ายหน้า

“ไม่เอาหรอกค่ะ แค่นี้ก็จะล้มละลายอยู่แล้ว ทั้งถูกหลอกถูกโกงสารพัด วิ่งเต้นฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาลไม่เว้นแต่ละวันแค่นี้ก็จะตายอยู่แล้ว แถมทำโครงการออกมากี่อันๆก็ยังขายไม่ออกอีก สาธุ!…สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายขอให้เขาตัดสินใจซื้อด้วยเถ้อ! แล้วลูกช้างจะถวายหัวหมูเครื่องเซ่นไหว้รำแก้บนให้นะเจ้าคะ สาธุ!”

หล่อนยกมือไหว้ท่วมหัว

“สาธุ!” ศิริชัยยกมือไหว้ท่วมหัวตามภรรยา แล้วเขาก็ดึงภรรยาเข้ามาโอบเอาไว้อย่างให้กำลังใจกันและกัน

ด้านนัทชัยและลินจิราเมื่อกลับมาถึงโรงแรมก็แยกเข้าห้องใครห้องมันจัดการตัวเองให้เรียบร้อย

จากนั้นปู่กับหลานต่างสายเลือดก็ชวนกันไปทานอาหารกลางวันภายในโรงแรม เพราะฝนยังตกหนักชนิดไม่ลืมหูลืมตา

ระหว่างนั่งรออาหารที่สั่งนัทชัยก็ถามความคิดเห็นของหลานว่า  “ลินจี้คิดว่าที่แปลงนั้นเป็นยังไงลูก ถูกใจรึป่าว”

“อืม…ทำเลก็ดีนะคะคุณปู่ เรียกว่าอยู่กลางเมืองเลยแหละค่ะ แต่ลินจี้สงสัยจังว่าทำไมเจ้าของที่ถึงจะขายยกแปลงทั้งๆ ที่เค้าก็ทำธุรกิจจัดสรรอยู่แท้ๆ ถ้าเอามาทำบ้านจัดสรรหรือพวกโรงแรมรีสอร์ท ลินจี้ว่าได้ราคาดีกว่าขายยกแปลงตั้งไม่รู้กี่เท่าแน่ะ”

ลินจิราตอบพร้อมกับเอียงหน้าน้อยๆ อย่างใช้ความคิดกับข้อสงสัยที่เธอพยายามคิดหาคำตอบ

นัทชัยเองก็สงสัยเหมือนกับหลานสาวเช่นกัน “อันนี้ลุงก็สงสัยเหมือนหนูแหละ อาจจะเป็นเพราะเจ้าของเค้าไม่มีเงินทุนพอล่ะมั้ง เพราะมีข่าวว่าโครงการอื่น ที่เค้าทำน่ะขายไม่ออก แบงค์ก็ไม่ปล่อยกู้ แถมยังมีข่าวว่าถูกเพื่อนร่วมหุ้นโกงเงินไปเยอะมีเรื่องฟ้องร้องประจำ ก็คงจะไม่มีทุนจะทำมั้งลูกเขาก็เลยต้องตัดใจขายยกแปลงจะได้เอาเงินไปหมุนต่อดีกว่าปล่อยเอาไว้เฉยๆ จะทำอะไรก็ทำไม่ได้อย่างนี้”

สาวน้อยคิดตามแล้วก็ดีดนิ้วทันที “โป๊ะเชะ! เลยคุณปู่”

“เพี๊ย!”

“โอ้ย! เจ็บนะคะคุณปู่ตีมาได้!” ลินจิราร้องลั่นหน้างอทันที เมื่อถูกคุณปู่ตีมือที่ดีดนิ้วประกอบคำพูดของเธอ

เลยเจอนัทชัยดุซ้ำ  “ก็อยากสอนเท่าไหร่ไม่เคยจำ บอกแล้วว่าไม่ให้ดีดนิ้ว เป็นผู้หญิงทำอย่างนี้มันไม่ดี ใครเห็นเข้าเค้าจะคิดว่าเราไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน ทั้งๆ ที่ลุงกับป้าสอนจนปากจะฉีกถึงรูหูอยู่แล้ว!”

“ปากจะฉีกถึงรูหูเป็นยังไงคะ ลินจี้ยังเห็นปากคุณปู่กับคุณย่าก็ปกติดีนี่คะ ไม่เห็นจะฉีกซักหน่อย”

คำถามด้วยสีหน้างงๆ ของสาวน้อยทำให้นัทชัยพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ

เพราะรู้ว่าหลานไม่ค่อยเข้าใจภาษาไทยที่เป็นคำเปรียบเทียบเช่นนี้ เลยตัดบทบอกสั้นๆว่า  “คำเปรียบเทียบน่ะลูก ไม่ต้องไปสนใจหรอก”

ลินจิราเอียงหน้ามองตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจครู่หนึ่ง แต่เมื่อเห็นว่าคุณปู่ไม่อธิบายเพิ่มเติม แถมส่ายหน้าเป็นเชิงบอกไม่ให้เธอใส่ใจกับคำพูดของท่าน หล่อนจึงกลับมาสนทนาเรื่องเดิมต่อ

“เหตุผลของคุณปู่เข้าเค้าอยู่ น่าจะเป็นอย่างที่คุณปู่ว่านั่นแหละค่ะ แล้วคุณปู่คิดว่าจะต่อรองราคาซักเท่าไหร่ดีคะ”

“ลุงว่าราคาที่เค้าตั้งไว้มันก็ถูกมากนะ พรุ่งนี้ลุงว่าจะโทรไปถามราคาอีกครั้งแล้วค่อยต่อรองราคาอีกที เราก็ต้องต่อราคาให้มากๆ เข้าไว้ แล้วต้องดูว่าเค้าจะยืนราคาเท่าไหร่ หลังจากนั้นเราก็ค่อยซื้อ เอ้า! ข้าวมาแล้วทานข้าวก่อนเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง  กองทัพเดินด้วยท้อง”

“กองทัพเดินด้วยท้องคืออะไรคะคุณปู่” ลินจิราถาม เพราะมีประโยคที่ฟังแล้วไม่เข้าใจ ตาก็มองดูกับข้าวที่พนักงานกำลังลำเลียงวางบนโต๊ะ

“ก็หมายความว่าไม่ทานข้าวก็ไม่มีแรงน่ะซิลินจี้ หยุดถามได้แล้ว ทานข้าวเร็วลูก” นัทชัยตอบหลานสาวช่างซักที่กำลังสนใจอาหารตรงหน้า

เขาและภรรยาพยายามสอนภาษาไทยวันละเล็กวันละน้อยให้กับลินจิราอย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่าย แล้วทุกๆวันหลานสาวก็มักจะมีคำถามเกี่ยวกับภาษาไทยที่เธอไม่เข้าใจมาถามเขาและภรรยาวันละหลายๆรอบ

ช่วงแรกที่สาวน้อยมาเมืองไทย พูดภาษาไทยสำเนียงแย่กว่านี้เยอะ พูดภาษาไทยสลับกับภาษาอังกฤษ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นภาษาอังกฤษซะมากกว่าเพราะพูดภาษาไทยทีไรพูดผิดๆถูกๆเป็นกระบุงโกย จนเขาและภรรยาต้องช่วยกันสอนให้เธอพูดภาษาไทยให้ถูกต้อง

เสียงใสเปรยขึ้นเมื่อมองไปด้านนอก “ฝนตกแรงจังค่ะคุณปู่ ตกมาตั้งนานแล้วยังไม่หยุดเลย”

“เดี๋ยวมันก็หยุดตกเองแหละ แล้วคิดรึยังว่าที่แปลงนั้นจะเอามาทำอะไร” นัทชัยถาม เมื่อเห็นว่าหลานสาวรวบช้อนแสดงอาการว่าอิ่มแล้ว

“คิดว่าจะทำรีสอร์ทค่ะคุณปู่ รีสอร์ทท่ามกลางธรรมชาติเพราะทำเลเหมาะมาก ๆเลย ที่กว้างๆอย่างนั้นต้นไม้เยอะๆ อยู่กลางเมือง ไม่ห่างจากสนามบินมากด้วย เหมาะที่สุดเลยค่ะ แต่บ้านหลังนั้นลินจี้คิดว่าจะกั้นรั้วแบ่งออกจากรีสอร์ทเอาไว้เป็นบ้านพักสำหรับเวลาลินจี้มาที่นี่แล้วพักที่บ้านหลังนั้นมันต้องสุดยอดมากๆ เลยค่ะคุณปู่ ตอนแรกที่เห็นบ้านหลังนั้นลินจี้ก็ชอบมากเลยค่ะ ให้ความรู้สึกเหมือนหลุดโลกไปเลยเวลาที่อยู่บ้านหลังนั้นมันสงบ มันเงียบ มันเย็นสบายเหมือนตอนที่ลินจี้ดำน้ำเลยค่ะ”

ท่าทางและสีหน้าของลินจิราที่ประกอบคำพูดดูเหมือนกำลังตกอยู่ในความฝันทำให้นัทชัยมีความสุขมากที่เห็นหลานสาวกลับมาร่าเริงเหมือนเช่นแต่ก่อนได้อีกครั้ง แล้วสายตาก็สะดุดกับพลาสเตอร์ปิดแผลสีเนื้อตรงปลายนิ้วชี้ข้างขวาของหลานสาว

เขาคว้ามือน้อยๆนั่นมาดูทันที “ลินจี้มือไปโดนอะไรมา มีแผลตั้งแต่เมื่อไหร่ลูก เมื่อเช้านี้ลุงยังไม่เห็นมีแผลเลยนี่”

“อ้อ…ลินจี้โดน…หินบาดตอนอยู่ในบ้านหลังนั้นน่ะค่ะ แผลไม่ใหญ่หรอกค่ะคุณปู่ ลินจี้ล้างทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วค่ะ เดี๋ยวก็หาย”

สาวน้อยเอ่ยปากจะพูดถึงภาพนาคราชบนผนังต้นเหตุที่ทำให้นิ้วของเธอได้เลือดให้คุณปู่ฟัง แต่เหมือนมีบางสิ่งดลใจให้บอกออกไปว่าเป็นหินซะงั้น พร้อมกับชักมือกลับมา เมื่อผลไม้จานใหญ่ตบท้ายมื้ออาหารถูกยกมาวางตรงหน้าแทนที่กับข้าวที่ถูกยกออกไป หล่อนไม่รอช้าจิ้มผลไม้จากจานมาตัดแบ่งใส่ปากทันที

ท่าทีของหลานสาวทำให้นัทชัยเลิกสนใจแผล แล้วหันไปสนใจผลไม้ตรงหน้าแทน จนผลไม้หมดจาน ฝนก็หยุดตกพอดี

ปู่กับหลานจึงเช็กบิลแล้วพากันออกไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ที่ขึ้นชื่อของเมือง  อย่างอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายฯ, หอวัฒนธรรม, วัดพระสิงห์, วัดพระแก้ว,วัดงำเมือง, วัดกลางเวียง, พิพิธภัณฑ์อูบคำ, ฯลฯ และร้านค้าสินค้าพื้นเมืองที่มีอยู่ดาษดื่น ทั้งสองแวะร้านนี้เข้าร้านนั้นอย่างสนุกสนาน ช่วยกันหอบหิ้วของฝากที่ลินจิราซื้อไปฝากคุณย่าขยันซื้อถุงแล้วถุงเล่า หิ้วกันจนแขนแทบหลุด

นัทชัยบ่นพึมพำเบาๆ ว่า “เฮ้อ…บ้าช้อปเหมือนคุณย่าไม่มีผิดเล้ย!”

“อะ อะ ลินจี้ได้ยินนะคะ ดีล่ะกลับไปลินจี้จะเอาไปฟ้องคุณย่าให้หมดเลย ว่าคุณปู่นินทาว่าคุณย่าบ้าช้อป” ลินจิราหันกลับมายิ้มล้อเลียน มือก็กำลังเลือกผ้าไหมจากแผงตรงหน้า

นัทชัยเลยบ่นประชดให้ซะเลย “ก็เหมือนกันจริงๆ นี่ เวลาคุณป้าของหนูไปช้อปตอนสิ้นปีทีไร ลุงต้องหิ้วพะรุงพะรังทุกที แล้วนี่กะจะซื้อมันทุกร้านเลยรึไงลินจี้ เห็นเข้าร้านไหนเป็นซื้อ ลุงว่าขากลับนี่ต้องเช่าเครื่องบินเหมาลำซะมั้งจะได้ขนของที่หนูซื้อได้หมดเนี่ย”

“แหมคุณปู่คะ ก็ลินจี้คิดว่าจะซื้อแล้วส่งไปให้เพื่อนๆ ที่นู้นน่ะค่ะ ซื้อที่นี่ถูกกว่าซื้ออยู่ที่นู้นตั้งเยอะ คุณปู่ก็รู้นี่คะผ้าไหมที่นู้นราคาแพ๊ง…แพง นี่เดี๋ยวซื้อเสร็จแล้วก็ไปไปรษณีย์กันต่อ ลินจี้จะได้ส่งไปให้พวกเพื่อนๆของลินจี้เลยค่ะ ไม่ต้องหิ้วให้หนัก ขอลินจี้เลือกอีกซักสามสี่ผืนนะคะคุณปู่”

นัทชัยถอนหายใจเล็กน้อยแล้วก็ส่งยิ้มให้หลานสาว “งั้นลินจี้ก็เลือกไปเถอะ เดี๋ยวลุงเอาของไปเก็บที่รถก่อนนะลูก”

“คุณปู่รอลินจี้ที่รถเลยนะคะ เดี๋ยวลินจี้ตามไปค่ะ” ลินจิรายิ้มแก้มปริให้คุณปู่แล้วหันไปเลือกผ้าไหมต่อ

นัทชัยจึงหิ้วของฝากเอาไปเก็บไว้ที่รถ แล้วสตาร์ทรถเปิดแอร์เย็นๆไว้รอหลานสาว

เมื่อลินจิราช้อปปิ้งเสร็จแล้ว เขาก็ขับรถตรงไปยังไปรษณีย์ตามทางที่ได้สอบถามจากแม่ค้าขายผ้ารายหนึ่ง

หลังจากส่งพัสดุทั้งในประเทศและต่างประเทศเสร็จแล้ว ก็พากันกลับโรงแรมที่พัก เอาของฝากคุณย่าไปเก็บไว้ที่ห้องพัก แล้วก็พากันไปย่ำราตรีแถวตลาดไนท์บาซาร์กันอย่างสนุกสนาน ดึกดื่นเที่ยงคืนจึงพากันกลับโรงแรมนอนพักผ่อน

นัทชัยส่งหลานสาวเข้าห้องพักพร้อมกับหอมแก้มเซย์กู้ดไนท์ “จู๊บจ้าลินจี้ นอนหลับฝันดีนะลูก”

“จู๊บๆค่ะคุณปู่ Good night ค่ะ” ลินจิราปิดประตูห้องเรียบร้อย

นัทชัยจึงเดินเข้าห้องพักของตนเองซึ่งอยู่ติดกัน แล้วโทรหาภรรยา(รายงานตัว)เหมือนเช่นทุกครั้งที่เขาไม่อยู่บ้าน “ฮัลโหลคุณจิน ผมเองครับ”

“ค้าคุณนัท จินเพึ่งจะเข้าบ้านเองค่ะ วันนี้งานที่โรงพยาบาลยุ่งมากๆ เลยค่ะ  คนไข้เย้อ…เยอะ แล้วไปดูที่กันมาเป็นไงบ้างคะ เจ้าของที่ดูท่าทางเขี้ยวหรือป่าวคะ”

จินตนาวางกระเป๋ากับกุญแจรถเอาไว้บนโต๊ะกระจกเตี้ย หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้หนานุ่มในห้องรับแขก พร้อมกับรับแก้วน้ำจากแต้วเด็กรับใช้ในบ้าน

นัทชัยเลยสาธยายให้ภรรยาฟังว่า “เรื่องที่น่ะเหรอ ทำเลดีมากเลย อยู่เรียกว่ากลางเมืองเลยแหละ เป็นสวนลิ้นจี้รกไปหน่อย แล้วก็มีบ้านเก่าๆอยู่หลังนึงอยู่ติดริมแม่น้ำ คนที่นี่เค้าเรียกบ้านหลังนี้ว่าเฮือนศิลากันครับ ตัวบ้านสร้างจากศิลาแลงเหมือนปราสาทขอมแถวเขมรที่เราเคยไปเที่ยวนั่นแหละครับ ดูท่าลินจี้จะถูกอกถูกใจบ้านหลังนั้นเป็นพิเศษ เห็นแกวางแผนว่าจะทำเป็นรีสอร์ท ส่วนบ้านแกกะว่าเอาไว้เป็นที่พักของแกเวลามาที่นี่น่ะครับ เสียดายที่ยังไม่ทันได้ถ่ายรูปบ้านฝนก็ตกซะก่อน ขากลับเล่นเอาผมกะลินจี้เปียกมะล่อกมะแล๊กกันเลยครับ ไม่งั้นจะส่งรูปบ้านไปอวดคุณซะหน่อย ส่วนเจ้าของที่เขี้ยวรึป่าวไม่รู้นะครับเพราะยังไม่ได้คุยเรื่องราคากันเลยครับ แต่ดูท่าทางเค้าคงอยากขายแหละครับ ดูที่เสร็จแล้วผมก็พาลินจี้ไปเที่ยวไปไหว้พระ ถ้าคุณมาด้วยต้องสนุกมากกว่านี้แน่ๆ วัดที่นี่สวยมากๆ เลยครับ ลินจี้ขนซื้อผ้าไหมกะใบชาไปฝากคุณเพียบเลย เข้าร้านไหนเป็นซื้อ ผมงี้หิ้วจนแขนโก่งหมดแล้ว ไม่รู้ติดนิสัยบ้าช้อปจากใครมา อ้อ…ลืมไป ติดมาจากคุณนั่นแหละ ไอ้นิสัยบ้าช้อปเนี่ย”

“อ้าว…ไหงมาโยนให้จินอย่างงี้ล่ะคุณนัท จินไม่ได้บ้าช้อปซักหน่อยนะ เวลาไปห้างก็ซื้อเฉพาะที่จำเป็นนะคะ” จินตนารีบปฏิเสธทันทีเมื่อสามีว่าเธอบ้าช้อปปิ้ง

นัทชัยเลยกระเซ้าภรรยาเล่น  “คร้าบๆไอ้จำเป็นของคุณน่ะ ช้อปทีก็แค่ชุดชั้นในแค่โหลสองโหลเองคร้าบ เสื้อผ้าก็แค่ยี่สิบกว่าชุด รองเท้าแค่สิบยี่สิบคู่เอง อ้อยังไม่รวมกระเป๋าอีกเป็นสิบๆ ใบ แค่นี้เองครับเฉพาะที่จำเป็นของคุณ”

“แหมคุณก็…จินช้อปแค่ปีละครั้งเองนะคะ แล้วอีกอย่างก็ซื้อเฉพาะช่วงลดราคาล้างสต๊อกทั้งนั้นเลยนะคะ ไอ้ประเภทไม่ลดจินไม่ซื้อหรอกค้า เสียดายตังค์ แล้วนี่ลินจี้นอนแล้วเหรอคะ” จินตนารีบเปลี่ยนเรื่องถามหาหลานสาว

นัทชัยอ้าปากหาวหวอดก่อนจะตอบคำถามคุณย่ายังสาวว่า  “เข้าห้อง อาบน้ำนอนแล้วครับ คุณก็ไปนอนเถอะครับ พรุ่งนี้มีเวรมีกรรมแต่เช้าเลยไม่ใช่เหรอครับ ฮ่าๆๆๆๆ”

“คุณนัทน่ะ! เข้าเวรค่ะ! เข้าเวร! คุณก็รีบๆเข้านอนนะคะ จินก็จะไปนอนเหมือนกัน ราตรีสวัสดิ์ค่ะคุณนัท” แล้วจินตนาก็วางสายไป

นัทชัยจึงวางโทรศัพท์มือถือไว้ข้างหัวเตียง เดินผิวปากอย่างอารมณ์ดีเข้าห้องน้ำอาบน้ำก่อนนอน

ลินจิรากำลังสวดมนต์ก่อนนอนตามที่คุณย่าจินตนาสอนให้สวดมนต์ก่อนเข้านอนทุกคืน สวดเสร็จแล้วก็ก้มกราบลงบนหมอนหนุนสามครั้ง แล้วก็ล้มตัวลงนอนดึงผ้าห่มคลุมจนถึงอกเข้าสู่นิทรารมณ์ เพียงชั่วอึกใจต่อมา

ไม่ได้รับรู้เลยซักนิดว่าตรงข้างเตียงมีเงารางๆ ร่างหนึ่งปรากฏขึ้น จากเลือนรางค่อยๆชัดเจนเป็นร่างของชายผู้หนึ่ง นุ่งผ้าหยักรั้งสีทองระเลื่อมพรายระยิบระยับคาดด้วยเข็มขัดทองลายนาคราช ส่วนหัวเป็นนาคราชสีทองมีหงอนและเคราสีทอง ตัวเส้นเข็มขัดเป็นตัวนาคราชเกล็ดสีทองระยิบระยับจนถึงปลายที่เป็นรูปหาง มีครีบสีทอง  เปลือยแผงอกและกล้ามท้องเป็นลอนสวย มีสร้อยสังวาลลายนาคราชพาดจากบ่าทั้งสองข้างไขว้กัน ที่คอสวมสร้อยเส้นยาวเป็นลายนาคราชงับหางตัวเอง ข้อมือและข้อเท้าสวมกำไรเป็นรูปนาคราชข้างละวง ต้นแขนรัดด้วยกำไรนาคราชทั้งสองข้าง บนศรีษะสวมมงกุฏเป็นรูปนาคราช ผมสีทองยาวเป็นเงาดั่งเส้นทองคำเนื้องาม วงหน้าเรียวคมสัน คิ้วเข้มโค้งดั่งคันศร ขนตางอนยาว ดวงตาสีแดงฉายฉาน จุดกึ่งกลางดวงตาเป็นสีทอง จมูกโด่งเป็นสัน ปากเรียวรูปกระจับสีแดงตัดกับผิวแก้มขาวผ่อง ผิวกายขาว  ทั่วทั้งร่างทอรัศมีสีทองเปล่งประกายระยิบระยับ ดวงตาสีแดงจ้องมองร่างบนเตียงเหยียดรอยยิ้มหยัน

เสียงทุ้มนุ่มดังกังวานดั่งระฆังแก้วเนื้อดีหลุดออกมาจากริมฝีปากสีแดงรูปกระจับว่า  “แม่สร้อย ในที่สุดวันที่ข้ารอคอยก็มาถึง เจ้าตระบัดสัตย์ที่ให้ไว้กับข้า ยังมิพอเจ้ายังกักขังข้าเอาไว้อีกด้วย นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ข้าก็สาบานว่าหากวันใดข้าเป็นอิสระ ข้าจะชำระหนี้แค้นให้สาสมแม้เจ้าจะสิ้นลมหายใจ ลูกหลานของเจ้าก็ต้องชดใช้หนี้แค้นแทนเจ้า เวลานั้นได้มาถึงแล้วแม่สร้อยเอ๋ย หนี้แค้นที่สุมอยู่ในอกข้ากำลังจะได้รับการชำระแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ เจ้าเห็นหรือยังว่าต่อให้เจ้าหนีข้าสุดหล้าฟ้าเขียวยังไง ก็ไม่มีทางหนีข้าพ้น น่าสมเพชนักแม่สร้อย เจ้าสู้อุตส่าห์กักขังข้าด้วยเลือดของเจ้าแท้ๆ แล้วเจ้าดูซิข้าเป็นอิสระอีกครั้งก็ด้วยเลือดจากลูกหลานของเจ้า ณ บัดนี้การแก้แค้นของข้าได้เริ่มต้นขึ้นแล้วแม่สร้อย มิว่าเจ้าจะอยู่ภพใดเจ้าจงดูให้เต็มตาเถิด ว่าโทษที่เจ้าตระบัดสัตย์ต่อข้ามันร้ายแรงเพียงใด ฮ่าๆๆๆๆๆ”

เขาเอื้อมมือไปจะสัมผัสผิวแก้มนวลที่โผล่พ้นผ้า แต่แล้วก็มีแสงสีทองสว่างวาบผลักเขากระเด็นออกมา “โอ้ย!”

พร้อมๆ กับการปรากฏของพระภิกษุรูปหนึ่งลอยเด่นอยู่อีกด้านหนึ่งของเตียงตรงข้ามกับเขา

“เจริญพรเถิดโยม อาตมาขอบิณฑบาตเถอะนะโยม อย่าก่อกรรมทำเข็ญให้เป็นบาปติดตัวเลย”

เขานั่งลงคุกเข่าพนมมือไหว้ภิกษุรูปนั้น ก้มหน้านิ่งเอ่ยด้วยความเจ็บแค้นว่า “ลูกให้หลวงพ่อมิได้หรอก ความแค้นมันสุมอกลูกมิมีวันดับมอดหากลูกมิได้ชำระแค้นให้สาแก่ใจ”

“แค้นชำระด้วยแค้นเมื่อใดมันจะสิ้นสุดกันล่ะ ให้อภัยจึงจะยุติบาปกรรม กรรมใดใครก่อกรรมนั้นจักคืนสนองเฉกเช่นปลูกพืชใดย่อมได้พืชนั้น กฏแห่งกรรมมิมีวันเปลี่ยนแปลง จำเอาไว้ให้ดีนาคินทร์ จ้าวแห่งนาคราช” ภิกษุรูปนั้นทิ้งท้ายไว้ให้คิดก่อนจะเลือนหายไป

นาคินทร์ก้มลงกราบแล้วลุกขึ้นยืนชิดเตียงนอน เอื้อมมือไปลูบไล้ผิวแก้มนวล  ดวงตาสีแดงแน่วแน่เป็นประกาย ตั้งจิตมั่นที่จะชำระแค้นให้สมใจ

“แม่สร้อยเอ๋ย ความแค้นของข้าจะมิมีวันดับมอดจนกว่าข้าจะพบเจ้า ข้าจะทำให้เจ้าทุกข์ทรมานดั่งเช่นที่ข้าเคยเป็น ลูกหลานของเจ้าจะต้องชดใช้หนี้แค้นที่เจ้าเป็นผู้ก่อ เริ่มจากแม่หญิงน้อยที่ปลดปล่อยข้าก่อนก็แล้วกัน ข้าจะทำให้นางทุกข์ร้อนทุรนทุรายมิเป็นสุขเหมือนเช่นที่ข้าเคยเป็น! เจ้าคอยดูให้ดีเถิดแม่สร้อยเอ๋ย ฮ่าๆๆๆๆๆ”

แล้วนาคินทร์ก็เลือนหายไป

ลินจิราสะดุ้งตื่น หล่อนมองไปรอบๆด้วยความงัวเงีย แล้วก็ล้มตัวลงไปนอนอีกครั้ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version