ตอนที่ 319 เรื่องภายในครอบครัว
ฉินมู่ขมวดคิ้ว ผานกงสั่วกริ่งเกรงพิษหมอผีที่ทําขึ้นมาเองกับ มือ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าโจมตีและได้แต่ล่าถอย แต่ทว่าเวทมนตร์ หมอผีที่เขาใช้คํานับดวงวิญญาณตอนที่เขาโกรธจัดนั้นช่างน่า สะพรึงกลัว!
ผานกงสั่วนั้นยังคงอยู่ในขั้นหกทิศ แต่กระนั้นยอดฝีมือระดับ เจ็ดดาวก็ยังตกตายด้วยการคํานับ กําลังฝีมือของหลวงจีนปีศาจ ทั้ง 3 ไม่ธรรมดา และพวกเขาเป็นสัตว์พิสดารที่สําเร็จสูงส่งใน การบําเพ็ญเพียร เรื่องพวกนั้นกลับช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้สักนิด
วายุภักษ์ปีกทองนับได้ว่าเป็นเผ่าพันธุ์พิสดารที่ขึ้นชื่อลือชาใน แดนโบราณวินาศว่ามีกําลังความสามารถสูงส่ง ร่างเนื้อของพวก เขาทนทาน และด้วยการฝึกธรรมะของวัดน้อยฟ้าคําราม จิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขาก็มั่นคงถาวรเป็นอย่างยิ่ง
แต่เมื่อมีบุคคลที่สามารถสังหารวายุภักษ์ปีกทอง 3 ตนได้ใน รวดเดียวเพียงแค่โค้งคํานับ ทักษะเทวะเยี่ยงนี้สมควรแล้วที่คนแล่ เนื้อจะต้องระวังจนเต็มเหยียด!
รอบนี้เขาสังหาร 3 หลวงจีนปีศาจแห่งวัดน้อยฟ้าคําราม แต่ ต่อไป เขาอาจจะลงมือกับผู้คนรอบข้างฉินมู่
ใครจะรองรับการคํานับของเขาได้
แต่ทว่าหลังจากที่ผานกงสั่วคำนับ 3 หลวงจีน เขาก็ดูเหมือน จะได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าทักษะเทวะนี่ต้องมีแรง สะท้อนแก่ผู้ใช้ไม่ใช่น้อย และไม่สามารถใช้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้าได้
แต่คิ้วมุ่นของฉินมู่ก็ยังไม่คลาย แม้ว่าจะมีแรงสะท้อนสูง แต่ ทักษะเทวะเช่นนี้ก็ยังยากจะรับมืออยู่ดี ระวังป้องกันไม่ได้
“ฝังหลวงจีนพวกนี้กันเถอะ พวกเราอย่าปล่อยศพของพวก เขาทิ้งไว้ในป่าดงเลย”
พวกเขาพากันขุดหลุมกลบฝังร่างของวายุภักษ์ปีกทอง และฉินมู่ก็คารวะหลุมศพก่อนจะถอนหายใจ “ขอให้ไปสู่สุคติ สักวันข้า จะจับผานกงสั่วมาเผาและเซ่นสังเวยวิญญาณของพวกท่าน ไปกัน เถอะ…ช้าก่อน!”
กิเลนมังกรชะงักเท้าทันที และฉินมู่หลับตาลง ครู่หนึ่งเขาก็เปิด มันขึ้นใหม่และนําพู่กัน หมึก แท่นฝนหมึก และกระดาษออกมา ปราณชีวิตของเขาแผ่ออกไปกางกระดาษไว้ที่กลางอากาศ
เขาวาดภาพบนกลางอากาศนั้นตวัดป้ายหมึกลงไปด้วยพู่กัน ของเขา และไม่นานนัก ภาพของมารตนหนึ่งที่ยืนอยู่บนแท่นสังเวย ก็ถูกเขาวาดขึ้นมา
ฉินมู่เกือบจะจรดแต้มจุดเติมนัยน์ตาให้แก่ภาพวาด แต่เขายับยั้งไว้ก่อน เขานําตราผนึกของตนเองและประทับลงไปบนภาพวาด จากนั้นถึงค่อยแต้มจุดสุดท้าย
หัวใจสำคัญของมนตร์หมอผีคำนับดวงวิญญาณของผา นกงสั่วน่าจะอยู่ที่มารตนนี้
มองไปมาขึ้นๆ ลงๆ ฉินมู่ถึงแน่ใจว่าเขาไม่ได้วาดผิดเพี้ยน ระหว่างวิชาวาดภาพกับวิชาคัดลายมือที่เฒ่าหนวกสอนเขา วิชา วาดภาพจําเป็นต้องใส่ใจกับรูปลักษณ์ เจตจํานง และความสง่างาม ฉินมู่ออกนอกหมู่บ้านกับเขาบ่อยๆ เพื่ อรวบรวมวัตถุทางวัฒนธรรมและวาดภาพทุกสิ่งทุกอย่าง แม้ว่ามารข้างหลังผานกงสั่ว จะอยู่ไม่นานนัก แต่ฉินมู่ก็สามารถจับเอารูปลักษณ์และความสง่า งามของมันอย่างคร่าวๆ ได้ จึงวาดมารตนนี้ออกมาอย่างแม่นยํา
ข้าไม่รู้จักมารตนนี้ แต่ในแดนโบราณวินาศมีรูปสลักเทพและ มารทุกชนิดทุกประเภท ผู้ใหญ่บ้าน เฒ่าหม่า และคนอื่นๆ มีประสบการณ์มากกว่าข้า และน่าจะรู้จักมัน และยังมีลัทธิมารฟ้ากับจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ในบรรดาพวกเขาเหล่านั้น จะต้องมีใครสักคนที่รู้จัก!
ฉินมู่ม้วนภาพเก็บและคิดอยู่ในใจ ตราบเท่าที่มีคนรู้จักมารตน นี้ ก็จะมีความเป็นไปได้ที่จะทำลายมนตร์หมอผีของผานกงสั่ว! ไม่อย่างนั้นข้าคงต้องมุ่งกำจัดเขาโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม
ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมนั้นหมายถึงว่า เขาจะต้องโจมตีวัง ทองโหรวหลัน แต่ก่อนที่เขาจะแตะต้องแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ เขาก็จะต้องปราบปรามทุ่งหญ้า โดยกําจัดกวาดล้างทุกประเทศที่อยู่ที่นั่น
ความยากของเรื่องนี้ มันแทบจะจินตนาการไม่ออก หากว่าไม่มีทางเลือกอื่น หนทางสุดท้ายก็คงต้องไปยุแยง
จักรพรรดิให้ส่งกองกําลังของเขาไปยังทุ่งหญ้ากว้างและถล่มโจมตี
วังทอ งโหรวหลั น เพราะว่าลัทธิมารฟ้าเพีย งลําพังไม่มี ความสามารถถึงระดับนั้น
กิเลนมังกรก้าวเท้าเดินไปต่อ และฉินมู่ก็เรียกค้างคาวขาว กลับมาเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ จากนั้นฉินมู่ก็วิ่งตะบึงขึ้นไปบน ท้องฟ้าเพื่อสํารวจภูมิประเทศ ภายใต้การคุ้มกันของค้างคาวทั้ง สอง
สักครู่หนึ่ง เขาก็กลับลงมาพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย เขามอง หาแม่นํ้าหย่งไม่เจอ
หากว่าเขาเห็นแม่นํ้าหย่ง เขาก็จะระบุตําแหน่งของตนเองได้ แต่เมื่อไม่เจอมัน เขาก็คงยากที่จะระบุตําแหน่งของตนเองอย่าง แม่นยําโดยเพียงอาศัยแผนที่หยาบๆ ของแดนโบราณวินาศจากวัง สะกดเภทภัย
หลังจากเดินทางไป 100 ลี้ทางทิศตะวันออก ฉินมู่ก็เหาะขึ้น ไปบนอากาศอีกครั้งเพื่อสํารวจภูมิประเทศและเปรียบเทียบกับแผน ที่ในความทรงจําของเขา
เขาทําเช่นนี้อีกสี่ห้าครั้ง ก่อนที่จะยืนยันตําแหน่งของตนโดยดู จากการวางแนวของเทือกเขา
“ตําแหน่งที่พวกเราอยู่นั้นใกล้กับวังสุขาวดี ไม่ไกลจากแผ่นดินตะวันตก”
พอฉินมู่รู้ทิศทางของตนก็ค่อยโล่งอก เมื่อกลับลงมาพื้น เขาก็ บอกทิศทางแก่กิเลนมังกร หลังจากที่เดินทางไปทิศตะวันออกได้ 100 ลี้ ฉินมู่ก็คะเนว่าพวกเขาได้เข้าใกล้วังสุขาวดีบนแผนที่ภูมิ
ประเทศแดนโบราณวินาศ ตรวจตราดูรอบๆ เขาพลันเห็นว่า เส้นทางยิ่งสูงชันขึ้นไปทุกที
มีชิ้นส่วนแผ่นดินลงมาปักตั้งฉากในแดนโบราณวินาศและมัน ดูเหมือนจานกลมใหญ่ๆ มันสูงยิ่งกว่าเทือกเขาที่รายล้อม และดูเหมือนจะร่วงหล่นมาจากอวกาศนอกโลก!
กิเลนมังกรหยุดเดิน และฉินมู่มองไปที่แผ่นดินนี้ เขาเห็นว่ามัน ถูกปกคลุมไปด้วยพืชพรรณวรรณาเขียวขจีและมีซาก โบราณสถานขนาดใหญ่อยู่ท่ามกลางต้นไม้ใบหญ้าเหล่านั้น
บางส่วนของแผ่นดินก็แตกร้าว เห็นประกายโลหะวาววามอยู่ ข้างใน ลึกในแผ่นดินนั้นมีบางสิ่งที่ประกอบขึ้นมาจากโลหะฝัง เอาไว้
และยังมีรูปสลักเทพเจ้าผู้ยิ่งยง บางรูปก็ยืนตรงและบางรูปก็พัง ลงมาแล้วบนพื้น
คณะเดินทางของฉินมู่ใช้เวลาค่อนข้างมากในการเดินอ้อม แผ่นดินปักฉากนี้และต้องตะลึงอีกครา เบื้องหน้าพวกเขาคือแอ่ง ยักษ์ที่เกลื่อนไปด้วยแผ่นดินมหึมาเป็นแผ่นๆ บางแผ่นก็ปักลงมา ตั้งกับพื้น บางแผ่นก็พลิกควํ่าเผยให้เห็นรากภูเขา บางแผ่นก็แตกหักเป็นสี่ห้าเสี่ยง และบางแผ่นก็มีซากเมืองเก่าแก่ที่ครบสมบูรณ์ ท่ามกลางสิ่งเหล่านั้นมีสัตว์พิสดารเคลื่อนไหวไปๆ มาๆ ตัวที่แข็งแกร่งหน่อยก็จะร้องคํารามดังสะท้านใจมาเป็นระยะ ข่มขู่ สิ่งมีชีวิตอื่นๆ จากเขตแดนอื่นๆ เมื่อพวกมันเข้าไปใกล้
และที่ซึ่งแผ่นดินแบนเหล่านั้นแตกหัก ก็เห็นสิ่งปลูกสร้างจาก โลหะเผยอยู่ข้างใน มันดูเหมือนจะเป็นท่อเหล็กทุกประเภททุก ขนาดมารวมกันอยู่ในนั้น
เมื่อสายลมพัดผ่านแอ่งใหญ่นี้ สิ่งปลูกสร้างโลหะนั้นก็จะสร้าง เสียงหวีดหวิวไล่ระดับต่างๆ กันอันฟังเสนาะหู
อารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ กลายมาเป็นสภาพที่เห็นได้อย่างไรกัน
หลังจากที่มองจากระยะห่างๆ อยู่พักหนึ่ง ฉินมู่ก็ละสายตา ออกไป นี่น่าจะเป็นสถานที่ปลอดภัยอันความมืดมิอาจรุกราน ดังนั้นจึงมีสัตว์พิสดารจํานวนมากมายอยู่ในบริเวณรอบๆ กลุ่มของ
ฉินมู่จะต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งเมื่อเดินทางผ่านสถานที่เช่นนี้
หากว่าพวกเขาเดินอ้อมไป ก็อาจจะต้องใช้เวลา 1 วันเพื่อ เดินอ้อม ดังนั้นจึงได้แต่ตรงเข้าไป
ฉินมู่กระโดดลงจากหลังกิเลนมังกรและนําทางไปด้วยตนเอง เขาได้อาศัยอยู่แดนโบราณวินาศมาแต่เล็กแต่น้อยจึงรู้นิสัยและพฤติกรรมของสัตว์พิสดารต่างๆ เป็นอย่างดี หากว่าเขาปล่อยให้ กิเลนมังกรหรือค้างคาวขาวสองตนนําทาง พวกเขาก็จะต้องก่อ เรื่องขึ้นอย่างแน่นอน
เขาเดินลึกเข้าไปในแอ่งทวีป และฉินมู่พลันเห็นร่องดินจากล้อ ของรถม้า ร่องรอยเหล่านี้จะต้องเกิดจากรถม้าของตําหนักสวรรค์ แท้แห่งแผ่นดินตะวันตกนั่นเป็นแน่ และยังมีรอยเท้าวุ่นวายสับสน
มากมายที่น่าจะหลงเหลือไว้จากผู้ฝึกวิชาเทวะเรือนร้อยซึ่งไล่ล่า ตามไป
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาบุกเข้าในสถานที่นี้อย่างเร่งรีบ แต่ดูจาก เส้นทางที่พวกเขาดําเนินไปแล้ว พวกเขาน่าจะรู้กฎกติกาของแดน โบราณวินาศเป็นอย่างดี จึงไม่เลือกเส้นทางผิดพลาด
แต่ทว่า จํานวนผู้ฝึกวิชาเทวะจากตําหนักสวรรค์แท้นั้นมี มากมายเกินไป ดังนั้นเมื่อพวกเขาทําอะไรมันย่อมสร้างผลกระทบ อันใหญ่กว้าง หากว่าพวกเขาลงมือที่นี่ ก็คงง่ายที่จะกระตุ้นโทสะ
ของสัตว์พิสดารระดับเจ้านคร
หากว่าพวกเราใช้เส้นทางเดียวกับพวกเขา ก็อาจจะพลอยติด ร่างแหไปด้วย
ฉินมู่หมายจะหาเส้นทางอื่น แต่เขาจะทําอะไรได้ ในเมื่อ เส้นทางนี้เป็นเส้นทางปลอดภัยเพียงเส้นเดียวข้ามแอ่งทวีปไป หากว่าเขาจะไม่เดินเส้นทางนี้ เขาก็ต้องเดินลุยผ่านหนองนํ้าใหญ่
เขามองไปที่หนองนํ้าใหญ่ และนํ้าในนั้นพลันทะลักล้นขึ้นมา มนุษย์จระเข้ผู้หนึ่งยืนอยู่บนผิวนํ้า ด้วยควันโขมงที่พุ่งมาจากจมูก ของเขา และเขาก็ลับกรงเล็บคมกริบราวมีดโกนของตนไปมา
สัตว์พิสดารระดับจ้าวนครตนนี้ไม่ควรไปตอแยด้วย ดังนั้นหาก ฉินมู่จะเบี่ยงไปทางหนองนํ้า นั่นคือรนหาที่ตาย
บนอีกฟากนั้นเป็นซากโบราณของเมืองหนึ่ง มันมีวิหารยิ่ง ใหญ่ตระการมากมายราวกับเส้นขนบนตัวของวัว และมีนก
กระเรียนหงอนแดงคอดําจํานวนมากบินร่อนวนไปมา พวกมันเริง ร่ายในน่านฟ้าและดูสงบสันติเป็นอย่างยิ่ง
แต่ทว่าในเมืองนั้น มีนกกระเรียนยักษ์เพศเมียและเพศผู้ ฝึกซ้อมเพลงกระบี่ของพวกมัน เมื่อปีกของพวกมันสั่นไหว แสง กระบี่ไร้ประมาณก็เกลื่อนกล่นฟ้าและเรียงร้อยกันเป็นวงกลม จาก ความเร็วการเคลื่อนที่ของแสงกระบี่ ฉินมู่รู้สึกว่าผู้นําฝูงนกกระเรียน ทั้ง 2 นี้อันตรายร้ายกาจเสียยิ่งกว่าผู้นําฝูงจระเข้
มีแค่เส้นทางนี้เส้นทางเดียว!
ฉินมู่ปล่อยลมหายใจสะท้านและพึมพําเบาๆ “พวกเราไม่อาจ เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในครอบครัวของตําหนักสวรรค์แท้แห่งแผ่นดินตะวันตก ข้าไม่ใช่คนที่ชื่นชอบการต่อยตีและแส่ส่ายเข้าไป ในเรื่องของคนอื่นๆ พวกเราเพียงแค่ต้องเดินอ้อมพวกเขาไป…”
ที่ใจกลางแอ่งทวีปนี้พลุกพล่านเป็นอย่างยิ่ง มีแรด 4 ตัวอันมีเกราะกระดูกหนาหนักเดินไปมา ร่างของพวกมันขาวเผือกราวหิมะ ไร้ราคีและมลทิน ดวงตาเล็กๆ ของพวกมันเหลือบแลดูฉินมู่และ กิเลนมังกรด้วยความระแวงป้องกัน เช่นเดียวกับค้างคาวขาวสอง ตัวที่บินโฉบไปมาตามต้นไม้ต่างๆ ด้วย
หนึ่งในแรดตัวเมียกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “เจ้าหมาใหญ่ตัวนี้ อ้วนมากๆ จนกระทั่งมันกลายเป็นหมู แต่ก็ยังอุตส่าห์เดินได้อีก”
แรดที่เป็นผู้นําฝูงมีสีหน้าซีดเผือด และรีบกลิ้งตัวลงกับพื้น แปลงกายเป็นมนุษย์ยักษ์ที่มีหัวแรดและร่างมนุษย์ ภายใต้เกราะ กระดูกของเขาคือกล้ามเนื้ออันบึกบึน และเขายกกีบเท้าคู่หน้า
ขึ้นมาประสานคารวะแล้วกล่าวแก่ฉินมู่ “สหายเฒ่า เมียแก่ของข้า ชอบพูดเลอะเทอะเหลวไหล กรุณาอย่าใส่ใจนาง!”
ฉินมู่แย้มยิ้ม “ไม่เป็นไร เจ้ามังกรอ้วนนี่ก็อ้วนไปหน่อยจริงๆ” ผู้นําฝูงแรดระบายลมหายใจโล่งอกและจากไปทันที ขณะที่ฮึ่ม
ฮั่มใส่บรรดาเมียๆ “พวกเจ้าไม่เห็นรึอย่างไร คนพวกนี้ล้วนแต่เป็น
ตัวตนอันอํามหิต แต่ละคนล้วนแต่เหี้ยมโหด โดยเฉพาะมนุษย์ผู้นั้น และค้างคาวขาวทั้ง 2 มีวิญญาณคนตายมากมายวนเวียนรอบๆ ตัวพวกเขา”
ฉินมู่ตะลึงไป และกิเลนมังกรก็กล่าว
“ว่ากันว่าแรดขาวมีพลังจิต สามารถมองเห็นแดนใต้พิภพและ วิญญาณคนตาย นับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ แต่ทว่าพวกเขาก็ยังมีตา แต่ไม่มีแวว ข้าไม่ใช่ทั้งหมาใหญ่ และก็ไม่ได้อ้วน ข้าแค่ลํ่าบึ้ก…”
เสียงของทักษะเทวะและอาวุธวิญญาณมากมายปะทะกันไปมา ดังมาจากข้างหน้า
ข้างหน้านั้นดูอลหม่านไม่เบา ฉินมู่เรียก ค้างคาวขาวสองพี่น้องมา และเดินตรงไปอย่างระมัดระวัง
พวกเขาเดินไปได้ไม่นานก่อนที่จะเห็นสมรภูมิรบปรากฏอยู่ ตรงหน้า ยอดยุทธ์ฝีมือแกร่งแห่งตําหนักสวรรค์แท้กําลังโอบล้อม รถม้าไว้ พวกเขาทั้งหลายล้วนแต่มีบาดแผลตามเนื้อตัว
เมื่อเหล่าผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งตําหนักสวรรค์แท้เห็นการมาถึงของคณะฉินมู่ พวกเขาก็หยุดการโจมตีโดยพลัน และหันกลับไปจ้องพวกเขาโดยไม่กระดุกกระดิก
“สหายเต๋า” เด็กหนุ่มคนหนึ่งออกมาจากกลุ่มและทักทายฉินมู่ “นี่คือเรื่องภายในของพวกข้า”
ฉินมู่คารวะตอบ “ข้าเพียงแต่เดินผ่านทาง” เด็กหนุ่มเผยยิ้มและโบกมือ “เปิดทางให้พวกเขาผ่านไป”
ฉินมู่ยิ้มและผงกหัวให้แก่สองข้างเพื่อแสดงความเป็นมิตร ก่อนที่จะพากิเลนมังกรและค้างคาวขาวเดินผ่านไปในทางที่ถูกเปิด ตรงหน้าพวกเขา ก็เห็นรถม้าถูกทําลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กวาง ลายดอกท้อหนึ่งตัวนั่งข้างๆ รถม้า ส่วนกวางอีกตัวหนึ่งกลับคืนสู่ ร่างกวาง นี่น่าจะเป็นเพราะมันได้รับบาดเจ็บหนักเกินไปและไม่อาจ รักษาร่างมนุษย์ไว้ได้
มารดาและบุตรสาวที่กวาง 2 ตัวนั้นคุ้มกันอยู่ก็ออกมาจากรถ ม้าด้วย หญิงสาวผู้เป็นแม่เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือดขณะที่นาง ป้องกันเด็กน้อยข้างหลังนาง
“ผู้เที่ยงธรรม…”
บุรุษที่แปลงร่างมาจากกวางพลันยื่นมือออกมาแล้วคว้าจับชายเสื้อของฉินมู่ เขาเงยหน้าขึ้นมาอย่างยากลําบาก และกัดฟัน
อยู่ได้ด้วยอึดใจสุดท้า ย “ผู้เ ที่ยงธรรม ได้โ ปรด…”
ฉินมู่ดึงชายเสื้อของเขาออกจากการเกาะกําของอีกฝ่าย และ มุ่งหน้าเดินต่อไป
เขาเดินผ่านกวางตัวเมียและอึ้งไปเล็กน้อย เขาพบว่านางตาย ไปแล้ว ไร้ลมหายใจ
ฉินมู่ถอนสายตาออกและเดินไปข้างหน้า ทันใดนั้นหญิงสาวที่ ถูกเรียกหาว่า ‘ไหน่ขุย’ ก็คว้าจับมือของเขา และมองไปที่เขาด้วย ความหวังพลางวิงวอนด้วยเสียงอันแตกพร่า “โปรดพาลูกของข้า ไป ให้นางมีชีวิตรอด…”
ฉินมู่ชะงัก และเด็กหนุ่มจากตําหนักสวรรค์แท้ข้างหลังเขาก็ ตะโกน “สหายเต๋า นี่มันเป็นเรื่องภายในครอบครัวของตําหนัก สวรรค์แท้!”
ฉินมู่ปลดมือของนางออกและเดินต่อไปข้างหน้า เขาส่งยิ้ม ให้แก่ผู้ฝึกวิชาเทวะจากตําหนักสวรรค์แท้ทั้ง 2 ฟากทางและนํา กิเลนมังกรกับค้างคาวขาวทั้ง 2 เดินออกไปจากสนามรบ
กิเลนมังกรตามมาติดตัวเขาในสองสามก้าว และเอี้ยวคอมา มองหน้าเขา เขาลังเลอยู่นิดหนึ่งแล้วกล่าว “จ้าวลัทธิ”
สีหน้าฉินมู่ไร้อารมณ์ และกล่าว “นี่มันเป็นเรื่องภายใน ครอบครัวของผู้อื่น ดังนั้นพวกเราไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว”
“ดีแล้วที่ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว ปรมาจารย์เคยบอกว่าท่านชอบก่อ เรื่องวุ่นวาย แต่นี่ดูเหมือนกับท่านโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว”
ฉินมู่จ้องมองด้วยสายตาโง่งมไปข้างหน้า “โตแล้วงั้นหรือ นี่ คือโตเป็นผู้ใหญ่หรือ”
“ท่านเข้าใจการชั่งวัดข้อดีและข้อเสีย ดังนั้นท่านย่อมเติบโต ขึ้น แล้ว ท่านมีเหตุมีผลมากขึ้น” กิเลนมังกรอธิบาย “แต่ก่อนนั้น ท่านไม่ค่อยมีเหตุผล ไปต่อยตีที่นั่นที่นี่ ไม่กลัวที่จะล่วงเกินใคร หน้าไหน ในช่วงหลายเดือนตอนนั้น ปรมาจารย์ต้องคอยตามเก็บ
กวาดเช็ดล้างเรื่องที่ท่านก่อ”
ฉินมู่นิ่งไป ข้างหลังเขาเสียงสู้รบฆ่าฟันดังขึ้นมาอีกครั้ง
“ถ้า นี่คือการโตเป็นผู้ใหญ่…เช่นนั้นข้าก็ไม่อยากโตแล้ว…” ฉินมู่ระเบิดหัวเราะและเดินต่อไปข้างหน้า กระบี่เล็กๆ จํานวน
มากลอยออกมาจากถุงเต๋าตี้ของเขาอย่างเงียบงันและปักลงไปใน บริเวณรอบตัวเขา กระบี่บินยิ่งมาก็ยิ่งมากขึ้นทุกทีปักลงไปบนพื้น และจัดวางพยุหะกระบี่
เขาเดินต่อไปเรื่อยๆ และกระบี่ทั้ง 8,000 เล่มก็จมลงไปในดิน ตรงหน้าเขา กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์…
กระบี่เหล่านี้ถึงกับสร้าง รูปทรงของภูเขาและแม่นํ้าโดยการปักตัวพวกมันเองลงไปในดิน
ด้วยเสียงติง กระบี่เล่มสุดท้ายก็ปักลงไป ฉินมู่หยุดเท้าและกดฝ่ามือลงไป กระบี่ทั้ง 8,000 เล่มมุดลงไป
ใต้ดินพร้อมๆ กัน และเขาก็พลันใช้เสื้อผ้าคลี่คลุมตัวและหายไป จากจุดนั้นในพริบตา!
“ข้า…บิดาเจ้า ไม่ต้องการจะเป็นผู้ใหญ่พรรค์นี้!”
