ตอนที่ 338 จิตใจกว้างขวาง
“เป็นอะไร” เฒ่าเป๋ถามด้วยความฉงน ฉินมู่ลูบคางของตนและทึ้งหนวดเส้นที่งอกมาใหม่ของตนออก
พลางกล่าว “ข้าคิดว่าวิชาฝึกปรือในหนังสือเล่มนี้บรรยายวิธีโดย ละเอียดในการเชื่อมต่อสะพานเทวะ”
เฒ่าเป๋ได้ยินไม่ถนัดถึงถาม “สะพานอะไรนะ”
“สะพานเทวะ” ฉินมู่ยังคงวัดดูต่อพลางกล่าว “สมบัติเทวะนั้น ไม่เหมือนกับเส้นชีพจรในร่างมนุษย์ ซึ่งมีอยู่แล้วในร่างกาย ดังนั้น
ผู้คนจึงสามารถใช้วิชาออกมาได้เพียงการมองแผนภาพโคจรปราณในปราดเดียว แต่สมบัติเทวะนั้นเป็นพื้นที่ว่างเปล่า ดังนั้นเมื่อปราณชีวิตจะเคลื่อนไหวในพื้นที่ว่างนี้ ทุกๆ กระผีกทุกๆ ธุลี มีมิติที่
แตกต่างกัน ดังนั้นข้าจึงต้องวัดขนาดมิติจําเพาะเหล่านี้ การ คํานวณตําแหน่งพิกัดในพื้นที่มิตินั้นยากจริงๆ และถ้าข้าเผลอไผล เพียงนิดเดียวก็จะผิดพลาดไปทั้งหมด”
สีหน้าของเฒ่าเป๋ว่างเปล่าขณะที่จ้องมองฉินมู่เปลี่ยนไม้บรรทัดไปมาเพื่อวัดสิ่งต่างๆ ในภาพหนังสือ
ฉินมู่นําพู่กันกับกระดาษออกมาเขียนข้อมูลที่เขาได้จากการ วัด เขากล่าวต่อโดยยังไม่โงหัวขึ้นมา “หากว่ามีความผิดพลาดใน มิติเหล่านั้น…ความผิดพลาดเพียงน้อยนิดในทศนิยมโม๋หูก็จะ
ส่งผลให้เป้าหมายคลาดเคลื่อนไปเป็นพันลี้ การคํานวณของข้าจะต้องแม่นยําและไปถึงทศนิยมตําแหน่งที่เล็กกว่าโม๋หู ยิ่งไปกว่า นั้นขนาดของร่างกายมนุษย์ในภาพวาดยังแตกต่างจากขนาด ร่างกายของมนุษย์จริงๆ ขนาดของสมบัติเทวะเหล่านี้ก็แตกต่าง จากสมบัติเทวะในร่างมนุษย์จริง ดังนั้นให้ข้าคิดคํานวณตัวเลข
ทั้งหลายที่เป็นค่าคงที่ก่อน ขนาดของสมบัติเทวะของแต่ละคนนั้น แตกต่างกัน แต่ถ้ามีตัวเลขค่าคงที่เหล่านั้น ผู้คนก็จะสามารถ ฝึกปรือได้โดยเทียบอัตราส่วนเอา ในกรณีนั้น พวกเขาก็จะ สามารถฝึกปรือเคล็ดลับสะพานนกกางเขน…”
เฒ่าเป๋โพล่งออกมาอีกครั้ง “สะพานอะไร”
ฉินมู่งงงวย แต่ก็ยิ้มตอบ “สะพานนกกางเขน ท่านปู่เป๋ ท่านดู ใจลอยอย่างไรไม่รู้นะ ข้าจะไม่คุยกับท่านล่ะ ส่วนตรงนี้ยุ่งยากมาก และค่อนข้างคํานวณได้ลําบาก ข้าจะต้องคํานวณเป็นเวลานาน…”
ทันใดนั้น ผู้ใหญ่บ้านก็โผล่หัวขึ้นมาและเขาถามอย่างตื่นเต้น “สะพานอะไร”
ฉินมู่ยิ่งงงงันยิ่งกว่าเดิม “ผู้ใหญ่บ้าน ท่านก็เหม่อไปด้วยอีกคน หรือ สะพานนกกางเขน!”
“ไม่ใช่อันนั้น!” ราชครูสันตินิรันดร์หันกลับมาและกล่าวอย่าง รัวเร็ว “ไม่ใช่อันนั้น! ก่อนสะพานนกกางเขน เจ้าพูดอยู่ชัดๆ ว่า สะพานเทวะ!”
“ใช่แล้ว!” เฒ่าเป๋กล่าวทันที “ข้าก็ได้ยินว่าสะพานเทวะ!” ผู้ใหญ่บ้านผงกหัวราวไก่จิก “มันคือสะพานเทวะ!”
ฉินมู่จึงเพิ่งตระหนักได้และแย้มยิ้ม “สะพานเทวะของชายใน ภาพนี้ขาดสะบั้น และวิชาที่เขาใช้ในการซ่อมแซมมันเรียกว่า สะพานนกกางเขน ข้าเพิ่งจะคํานวณตรรกะเหตุผลคณิตศาสตร์ที่ ต้องใช้ในเคล็ดลับสะพานนกกางเขน วิชานี้ยากที่จะฝึกปรือ และมี หลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องวัดให้ดี…”
“วิชาฝึกปรือที่ใช้ซ่อมแซมสะพานเทวะ!” รัศมีของชายทั้ง 3 พลันระเบิดออกมา และรถสมบัติที่ลอยอยู่
กลางอากาศก็แหลกเละเป็นชิ้นๆ เศษชิ้นส่วนแตกหันก็กลายเป็น
ผุยผงจากแรงสั่นสะเทือนของรัศมีอันน่าสะพรึงกลัว
ฉินมู่รีบเหินขึ้นไปบนอากาศพลางกอดหนังสือทองคําและข้อมูลที่เขาจดบันทึกเอาไว้แนบอก เสื้อของเขาเปื้ อนดําจากหมึกที่หกใส่
ราชครูสันตินิรันดร์ ผู้ใหญ่บ้าน และเฒ่าเป๋ แทบจะยื่นมือ ออกมาคว้าหนังสือทองคํา แต่เมื่อพวกเขาเห็นฉินมู่กอดมันไว้ที่อก ก็ชะงักและดึงมือกลับไป พยายามข่มระงับความตื่นเต้นในจิตใจ
“โชคดีที่หนังสือทองคําไม่กลัวเปื้อนหมึก ไม่อย่างนั้นพวกท่าน คงบาปหนาสาหัส” ฉินมู่บ่นพึม
ผู้ใหญ่บ้านกล่าวทันที “ลงมาที่พื้นกันก่อน!”
ทั้ง 4 คนร่อนลงมาเหยียบพื้น และทุกๆ ที่โดยรอบเต็มไปด้วยซากศพ บางที่ก็มีไฟลุกโหมไหม้และควันโขมง นั่นคือร่องรอยที่ ทักษะเทวะไฟหลงเหลือเอาไว้ ในเวลาเดียวกันนั้น กองทัพ
จักรวรรดิคนเถื่อนตี้ก็เข้าไปทุบกระแทกประตูหมายจะหลบหนีไปแต่ทหารเฝ้าประตูปิดประตูด่านไว้อย่างแน่นหนา ไม่ยอมเปิดให้ พวกเขากลับเข้ามา นี่เพื่อป้องกันมิให้จักรวรรดิสันตินิรันดร์ฉวย โอกาสบุกเข้ามา
กองทัพพ่ายศึกนั้นทุ่มกระแทกใส่ประตูด่านเฮ่อหลานอย่างสุด ชีวิต กําแพงสูงทลายลงไปอย่างไม่หยุดยั้ง จากการระดมทุบทําลาย ของยอดฝีมือมากมายนับไม่ถ้วน และหินแตกหักก็เริ่มปลิวว่อนไป หมด แต่ทว่าที่พวกเขาทะลวงเข้าไปได้นั้นเป็นกําแพงเมืองชั้นนอก แต่กําแพงเมืองชั้นในยังคงตั้งตระหง่าน
ทหารรักษาเมืองใช้ทักษะเทวะและอาวุธวิญญาณของตนโจมตี ลงไปบนพื้นข้างล่างโดยไม่เลือกมิตรศัตรู สังหารสหายร่วมรบซึ่ง เมื่อครู่ยังสู้ศึกเคียงบ่าเคียงไหล่ คําสบถสาปแช่งมากมายถูกพ่นลง มาจากข้างล่างกําแพงเมือง ทําให้สถานการณ์ข้างนอกนั่นยิ่งน่า ประหวั่นพรั่นพรึงเกินกว่าจะชมดู ซากศพที่ตีนกําแพงเมืองก่าย กองกันเป็นภูเขา
ที่หน้าด่านเฮ่อหลาน กองเรือเหาะอันนําโดยหัวหน้าโถงกระบี่ และอวี๋เยียนชูอวิ๋นหยุดอยู่ในระยะห่างออกไปหกสิบลี้ และไม่รุกคืบ อีกต่อไป ปืนใหญ่แก่นกําเนิดยิงรัวๆ อย่างต่อเนื่อง ทําลายป้อม ปราการเมืองและประตูให้แหลกทําลายเป็นเศษซาก
ทันใดนั้น ไพร่พลหนีทันจํานวนมากก็หลั่งไหลเข้าไปในเมือง ผานกงสั่วที่อยู่ในเมืองรู้สึกเท้าเย็นมือเย็นเฉียบ
ประตูเมืองถูกทําลาย และทัพพ่ายศึกก็ไหลบ่าเข้ามาในเมือง ด่าน ด่านเฮ่อหลานไม่มีโอกาสยับยั้งการรุกรานของศัตรูได้อีกต่อไป ทหารรักษาเมืองที่พบว่าไม่อาจจะตั้งกระบวนทัพท่ามกลาง ความวุ่นวายนี้ได้ก็ตัดสินใจที่จะหนีเอาชีวิตรอดเช่นกัน หากว่า ศัตรูฉวยโอกาสนี้บุกเข้ามาและเข่นฆ่าสังหารล้างเมืองอย่างเป็นระบบกระบวน ท้องทุ่งหญ้าก็จะสูญเสียแสนยานุภาพโดยสิ้นเชิง!
“พาข้าไปเดี๋ยวนี้!” ผานกงสั่วกัดฟันปลุกปลอบใจตนและสั่ง ราชาหมอผีข้างๆ เขา “ทิ้งเมืองเสีย ล่าถอยออกจากด่านเฮ่อห ลาน!”
ราชาหมอผีคนนั้นรีบอุ้มเขาขึ้นมาและเหาะออกจากด่านเฮ่อห ลาน ระหว่างทาง ผานกงสั่วกล่าวอย่างเฉียบขาด “ให้ศิษย์ทั้งหลาย แห่งวังทองโหรวหลันของพวกเราถอนตัวออกจากสนามรบให้ หมด!”
ราชาหมอผีฟังแล้วใจสั่นสะท้านอย่างรุนแรง “ท่านผู้สูงศักดิ์ หากว่าศิษย์วังทองโหรวหลันเราล่าถอย กองทัพชนเผ่าทั้งหลายก็ จะไม่หลงเหลือโอกาสรอดชีวิต!”
“แต่วังทองโหรวหลันจะรอดชีวิต” ผานกงสั่วเยือกเย็นเป็น อย่างยิ่ง “ถ้ายังป้องกันเมืองนี้อยู่ ศิษย์ทั้งหลายแห่งวังทองโหรวห ลันของพวกเราก็มีแต่จะต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ในเมือง พวกเราจําเป็นต้องรักษากําลังเอาไว้ สนามรบที่แท้จริงอยู่ในท้องทุ่งกว้าง ชื่อเสียงของวังทองโหรวหลันพวกเรานั้นมิได้มาจากการบูชายก ย่องของชนเผ่าต่างๆ หากว่าราชครูสันตินิรันดร์หมายจะยึดครอง ทุ่งหญ้า เขาจะต้องจ่ายด้วยราคาแพงลิบ!”
ราชาหมอผีคนนั้นจึงรวบรวมปราณชีวิตของตนและ แปรเปลี่ยนมันเป็นเสียงตะโกนกัมปนาท อันกึกก้องไปทั่วทั้งสนามรบ เพื่อถ่ายทอดบัญชาให้ศิษย์ทั้งหลายแห่งวังทองโหรวหลันถอน ตัวออกมา
หลังจากนั้น สถานการณ์ก็ยิ่งปั่นป่วนสับสน กองทัพหมดใจสู้ โดยสิ้นเชิง และทุกคนก็หวังแต่จะหลบหนีเอาชีวิตรอด พวกเขา ไหลบ่ากันเข้าในประตูเมืองอย่างแออัดยัดเยียด เหยียบไปบนคนที่ ล้ม และยังมีหลายคนที่ฝึกปรือวิชาเทวะเหาะเหินเดินอากาศ พวก เขาจึงบินขึ้นไปบนท้องฟ้าและถูกปืนใหญ่แก่นกําเนิดยิงร่วงลงมา
อวี๋เยียนชูอวิ๋นควบคุมน่านฟ้าเอาไว้เพื่อมิให้มีผู้ฝึกวิชาเทวะ จักรวรรดิคนเถื่อนตี้คนไหนที่หลบหนีไปด้วยวิธีนี้ ในขณะเดียวกัน หัวหน้าโถงกระบี่ก็ควบคุมภาคพื้นดิน แต่เขาไม่ขัดขวางผู้คนจาก การหลบหนีกลับเข้าไปในด่าน ในทางกลับกัน เขากวาดล้างอริ
ศัตรูบนภาคพื้นที่อยู่ตรงหน้าเขา บีบให้ที่เหลือยิ่งหนีตายกันอย่าง สุดชีวิตกว่าเดิม
ข้างใต้เรือเหาะ กองทัพจักรวรรดิสันตินิรันดร์ยาตรามาเพื่อ กวาดล้างทําความสะอาดเศษซากในสนามรบ ผานกงสั่วหันกลับ มองด่านเฮ่อหลานที่เริ่มพังทลายลงไป เพลิงไฟโหมไหม้ในตัวเมือง ควันดําลอยโขมงคลุมฟ้า ไพร่พลแห่งจักรวรรดิคนเถื่อนตี้หนี กระเจิดกระเจิงเอาตัวรอดกันทั้งหมด บางคนพยายามปีนภูเขาเฮ่
อหลานในเมื่อเขาออกจากเมืองไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่ร่วงลงมาแหลก
เหลวเป็นก้อนเนื้อเละ
หมอผีใหญ่และราชาหมอผีมากมายเหินอากาศกลับมาและ รวมตัวกันรอบๆ ผานกงสั่ว บนใบหน้าของทุกคนมีแววของความ หวาดกลัวและความสิ้นหวัง แต่ผานกงสั่วยังคงเยือกเย็นและออกคําสั่ง “จงไปแพร่พิษลงในแหล่งนํ้าทุกแห่งในท้องทุ่งหญ้าด้วยพิษ หมอผีเพื่อให้มีโรคห่าระบาดในแผ่นดิน หากว่ากองทัพจักรวรรดิ สันตินิรันดร์บุกเข้ามา พวกมันจะได้ตายกันอย่างน่าอนาถ!”
“ท่านผู้สูงศักดิ์!” หมอผีใหญ่และราชาหมอผีทุกคนสะท้านใจ
อย่างรุนแรง และราชาหมอผีคนหนึ่งกล่าวด้วยเสียงเจือสะอื้น “แต่
ชาวเผ่าทั้งหมดในท้องทุ่งหญ้าก็จะต้องยาพิษจนชีวิตปลิดปลิวด้วย เช่นกัน!”
ผานกงสั่วไม่ยินดียินร้าย “ท้องทุ่งหญ้ากว้างใหญ่เพียงพอ ตราบเท่าที่เราไม่วางยาพิษเมืองใหญ่ๆ ก็จะยังคงรักษาชาวเผ่า เอาไว้ไ ด้ส่วนหนึ่ง”
“แต่ว่าเผ่าเร่ร่อนเล็กๆ ของพวกเรามีจํานวนมากมาย…” ผานกงสั่วมีสีหน้าไร้อารมณ์ “นั่นล้วนแต่เป็นผู้คนต้อยตํ่า
ยากจน ให้พวกเขาตายร่วมกับผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งจักรวรรดิสันตินิ รันดร์ ถือว่าคุ้มค่า จงรีบไปแพร่พิษในแหล่งนํ้า อย่าชักช้าเด็ดขาด มิเช่นนั้นเมื่อกองทัพจักรวรรดิสันตินิรันดร์เข้ามาที่นี่ เป้าหมายแรก ของพวกเขาก็จะเป็นวังทองโหรวหลัน!”
หมอผีใหญ่และราชาหมอผีทั้งหลายตะลึงงัน ก่อนที่จะแยกย้าย ออกไปทุกทิศทาง
ผานกงสั่วมองไปยังด่านเฮ่อหลานอันควันไฟสงครามพวยพุ่ง ออกมา ปกคลุมทั่วด่านอันเคยไร้เทียมทานปราศจากช่องโหว่ เขา หันกลับเดินทางมุ่งหน้าไปวังทองโหรวหลันพลางพึมพํา “นี่ก็หลาย ปีแล้ว 7,000-8,000 ปีแล้วสินะ? จิตใจของข้าสงบนิ่งดุจบ่อนํ้าเก่าแก่ ปราศจากคลื่นแม้แต่ระลอก นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 9,000 ปี นี้สินะ? ครั้งแรกที่ข้ามีจิตใจอันโจนทะยานอยากต่อสู้ชิงดีด้วย กําลังทั้งหมดเหมือนกับในชาติแรกของข้า… จักรวรรดิสันตินิรันดร์ ราชครูสันตินิรันดร์ จ้าวลัทธิมารฟ้า พวกเจ้าได้จุดไฟฮึดสู้ให้ติด ขึ้นมาในใจข้าอีกครั้ง!”
ในสนามรบ ฉินมู่เคลื่อนย้ายศพในบริเวณนั้นออกไปข้างๆ แล้วเปิดหนังสือทองคําเพื่อให้ราชครูสันตินิรันดร์ ผู้ใหญ่บ้าน และ เฒ่าเป๋เห็นเนื้อหาข้างใน
3 หัวมาสุมอยู่ด้วยกัน และมองอย่างรุ่มร้อนใจไปยังภาพวาด บนหน้าหนังสือ พลางคิดคํานวณอย่างสุดชีวิตและพยายามจดจํา ทุกสิ่งทุกอย่างให้ได้มากที่สุด
“มหัศจรรย์! มหัศจรรย์จริงๆ! ผู้คนแห่งหมู่บ้านไร้กังวลคิดวิธี อันเพริศแพร้วพิสดารในการเชื่อมต่อสะพานเทวะเช่นนี้ขึ้นมาได้ อย่างไรกัน”
“จะต้องใช้ความสามารถเชิงคํานวณที่ลํ้าลึกแค่ไหนถึงจะคํานวณร่องรอยอันแม่นยําต่างๆ ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนมันให้เป็น วิชาฝึกปรือ”
ทั้ง 3 คนอุทานอย่างไม่หยุดปาก จนกระทั่งราชครูสันตินิรันดร์กล่าว “พี่ท่านทั้ง 2 ข้าพลิกหน้าใหม่ได้ไหม มันไม่น่ามีแค่สะพานนกกางเขน แต่จะต้องมีวิชาฝึกปรืออื่นๆ อีกในหน้าถัดไป!
แต่ทว่าการคํานวณที่นั่นคงจะยิ่งสลับซับซ้อนและอัศจรรย์เข้าไป ใหญ่ โดยอาศัยผลการคํานวณสะพานนกกางเขนเป็นฐานราก”
หนังสือทองคําถูกพลิกไปหน้าถัดไป และก็มีเสียงอุทานมาอีก ระลอก
“เป็นวิชาฝึกปรืออีกหนึ่งวิชาที่คํานวณบนรากฐานของสะพาน นกกางเขนจริงๆ ด้วย เคล็ดลับนําทางปริศนานับว่าลํ้าเลิศไม่ ธรรมดา นี่มันไม่ต่างจากสร้างวิมานบนอากาศ! สามารถคิด คํานวณได้ถึงขั้นนี้ ต้องเป็นเทพยดามาคํานวณเองเป็นแน่!”
“นี่มิใช่อะไรที่ใช้บุคคลเพียงคนเดียวคํานวณออกมา นี่คือวิชา ฝึกปรือที่อาจจะระดมมันสมองของทุกๆ คนในหมู่บ้านไร้กังวลเพื่อ จะคิดคํานวณมันออกมา!”
“เร็วๆ เร็วเข้า พลิกหน้าต่อไปเร็วๆ… พวกเจ้าจะมองข้าเพื่อ? ข้าไม่มีแขน!”
…
หลังจากที่ทั้ง 3 คนเพ่งมองมันอยู่นานพอดี เสียงระเบิดและ เสียงโห่ร้องดังสนั่นก็ดังมาจากที่ไกลๆ ฉินมู่เงยหน้าขึ้นมองดูและ กระแอมไอหนึ่งที “ด่านเฮ่อหลานถูกเรายึดครองแล้ว”
3 คนกลับไม่ปริปาก และยังคงอ่านหนังสือทองคําต่อ ฉินมู่ ส่ายหน้า “พวกเราไม่ไปที่นั่นกันหรือ ท้องฟ้าใกล้จะมืดคํ่าแล้ว หากว่าพวกเรายังอยู่ในเขตลิ้นเป็ด ก็จะตกอยู่ในอันตรายเมื่อความ มืดรุกรานมาในยามราตรี เพราะถึงอย่างไร ที่นี่ก็คือแดนโบราณ วินาศ”
ทั้ง 3 คนยังเงียบกริบ
ฉินมู่ไม่มีอะไรทําและเบื่อจนแทบตาย หลังจากที่รออยู่สักพัก เขาก็อดไม่ไหวที่จะกล่าวขึ้นมา “ไม่ว่าพวกท่านจะมองดูมันนานแค่ ไหน หากไม่สามารถคํานวณตรรกะเหตุผลคณิตศาสตร์ในวิชา ฝึกปรือนี้ได้การเร่งรีบฝึกปรือมันไปสุดท้ายก็จะเปล่าประโยขน์”
ทั้ง 3 คนจึงเงยหัวขึ้นมาในที่สุด พวกเขาละสายตาออกจาก หนังสือทองคําอย่างอิดออด และฉินมู่ก็โพล่งถาม “ท่านปู่ผู้ใหญ่บ้าน ท่านมีความมั่นใจในการซ่อมแซมสะพานเทวะไหม”
ผู้ใหญ่บ้านส่ายหัวและกล่าว “ข้ามีอายุขัยเหลืออยู่ไม่มาก ดังนั้นก็คงขึ้นกับโชคชะตาว่าข้าจะซ่อมแซมสะพานเทวะสําเร็จก่อนที่ข้าจะตายหรือไม่ จาก 3 วิชาฝึกปรือในหนังสือเล่มนี้ การ
ซ่อมแซมสะพานเทวะมิใช่เรื่องง่ายดายเลย”
ราชครูสันตินิรันดร์พยักหน้า “ก่อนหน้านั้นพวกเราจะต้อง คํานวณตรรกะเหตุผลคณิตศาสตร์ข้างในวิชาฝึกปรือทั้ง 3 ประเด็นนี้สําคัญมาก และพวกเราจะต้องสร้างตัวแบบพีชคณิต ออกมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ เมื่อเราทําเช่นนั้นแล้ว ก็จะสามารถเผยแพร่ความรู้นี้ออกไป”
เฒ่าเป๋ยิ้มหยัน “ราชครู เจ้าต้องการเผยแพร่วิชาฝึกปรือนี้อัน ช่วยให้ผู้คนสามารถบรรลุเทพบรรลุมาร แต่เจ้าได้ถามความเห็น ของบุคคลจากตระกูลฉินแห่งหมู่บ้านไร้กังวลหรือยัง เพราะ ท้า ยที่สุดแล้ววิชาฝึกปรือพวกนี้ก็ไม่ใช่ของเจ้า!”
ราชครูสันตินิรันดร์ตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวอย่างขอโทษ ขอโพย “ข้าเพียงแค่คิดไปว่าวิชานี้สามารถเผยแพร่ได้หรือไม่ได้ แต่ลืมไต่ถามเจ้าของ จ้าวลัทธิฉิน…”
ฉินมู่แย้มยิ้ม “ข้าก็ไม่คิดจะเก็บมันไว้คนเดียวหรอก ข้าเองก็ กําลังคิดอยู่ว่าพวกเราควรเผยแพร่มันออกไปดีหรือไม่ ในเมื่อมัน ไม่มีความจําเป็นที่ข้าจะต้องครอบครองมันไว้โดยลําพัง”
ราชครูสันตินิรันดร์มองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา เพื่อค้นหา จิตเจตนาที่แท้จริง แต่เขาก็เห็นเพียงแต่สายตาอันกระจ่างใสของ ฉินมู่ เขาจึงถอนหายใจ “กษัตริย์มนุษย์เฒ่า ในที่สุดข้าก็เข้าใจว่า ทําไมท่านถึงเลือกเขาให้เป็นผู้สืบทอด เขานั้นนับว่ามีคุณสมบัติ และจิตวิญญาณอันไพศาลพอที่จะเป็นกษัตริย์มนุษย์ เขาอาจจะยัง เยาว์ แต่กรอบคิดจิตใจของเขานั้นกว้างขวาง!”
“มู่เอ๋อได้รับการอบรมสั่งสอนจากพวกเรา ก็แน่อยู่แล้วว่า กรอบคิดจิตใจของเขาจะต้องกว้างขวางเพียงพอ!” ผู้ใหญ่บ้าน กล่าวอย่างนิ่งสงบ
