ตอนที่ 346 โคตรดุ
“กษัตริย์มนุษย์นี่ดุจริงเลยนะ” ผู้สันโดษชิงโยวยิ้มหยัน “เจ้าน่ะ เหมือนกับลูกแมวตัวเล็กที่บาดเจ็บกําลังกวัดแกว่งกรงเล็บไปมา ทําท่าห้าวหาญขึงขังเพื่อข่มขวัญข้า แต่จริงๆ แล้วเจ้าซ่อนความกลัวไว้ในใจสินะ ในเมื่อเจ้าร้องขอ เซียนทั้งหลายแห่งนครหยก น้อยของข้าก็จะไปรอที่โถงแห่งสามปราณและห้ากําเนิด เพื่อรอรับ การสั่งสอนจากกษัตริย์มนุษย์”
เขาเสริมด้วยนํ้าเสียงไร้อารมณ์ “แต่ทว่า หากเจ้าต้องการท้า ทายพวกเรา ก็จะต้องเอาชนะศิษย์ทั้ง 3 แห่งนครหยกน้อยก่อน เพื่อพิสูจน์ว่าเจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าไปในโถงแห่งสามกําเนิดและโถงแห่งห้าปราณ หากว่าเจ้าเอาชนะแค่ศิษย์ก็ยังไม่ได้ เชิญลงจากภูเขา!”
ผู้ใหญ่บ้านตาเป็นประกาย “ชิงโยว ขอบคุณมาก”
“เจ้าจะขอบคุณข้าทําไม ข้าเพียงแค่จะสั่งสอนพวกเจ้าให้ละ วางความบ้าบิ่นมุทะลุเสีย! จริงสิ ก่อนพวกเจ้าจะมา ซวีเซิงฮวาจาก เหนือฟ้ามาที่นี่ เขาใช้เวลา 10 วันผ่านด่านโถงสามกําเนิดและโถง ห้าปราณ หากว่าเจ้าทําได้ไม่ทัดเทียมเขา ก็รีบไสหัวลงจากภูเขา อย่าบากหน้าสร้างความเสื่อมเสียให้กับกษัตริย์มนุษย์รุ่นก่อนๆ และ นักบุญแห่งลัทธินักบุญสวรรค์!” ผู้สันโดษชิงโยวกล่าวด้วยนํ้าเสียงเย็นชา
ฉินมู่จิตวิญญาณพลุ่งพล่านทะยานฟ้า และหัวเราะฮาๆ “ซวีเซิงฮวาเป็นแค่กายาจ้าวแดนดินปลอม ส่วนข้าคือกายาจ้าวแดนดินที่แท้จริง เหตุใดข้าจะทําไม่ได้”
ผู้สันโดษชิงโยวอึ้งไปและส่ายหัว “ข้าไม่รู้ว่าความมั่นใจจนเสีย สติของเจ้านี้มันมาจากไหน”
รอยยิ้มจางลงไปจากใบหน้าฉินมู่ และเขามองไปยังเงาร่าง 3 เงาร่างที่เคลื่อนที่ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาพลันนึกขึ้นมาได้ และถามด้วยเสียงเบา “ผู้ใหญ่บ้าน เมื่อกี้ข้าดุร้ายมากหรือ”
ผู้ใหญ่บ้านผงกหัว ราวกับว่าก้าวพ้นจากเงามืดของการ พังทลายของตนเองในรอบนี้แล้ว เขากล่าว
“โคตรดุ” “ข้าน่ากลัวด้วยหรือ” “น่ากลัวสุดๆ”
ฉินมู่โคจรวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ และแย้มยิ้ม “ข้ายัง น่ากลัวได้มากกว่านี้อีกนะ”
ปราณชีวิตในร่างโคจรวนเวียน และเสียงลมหวีดหวืออึงคะนึง ขึ้นมา ผู้ใหญ่บ้านและผู้สันโดษชิงโยวเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแตกตื่น
ท่ามกลางเสียงกระหึ่มลมนั้น มันเสียงของคลื่นใหญ่โถมซัดใส่ หน้าผา เสียงครั่นครื้นคํารามเหล่านี้ดังมาจากปราณชีวิตของฉินมู่ ที่ถั่งโถมไหลบ่าอย่างรวดเร็วและปะทะเข้ากับหน้าผาเมื่อบรรจบครบรอบ!
หลังจากนั้นตามมาด้วยเสียงกัมปนาทของสายฟ้าฟาด ดังราว กับว่าอสุนีบาตฟาดเปรี้ยงลงมาจากห้วงลึกของเมฆดิบดํา สายฟ้า ม้วนกลิ้งแปลบปลาบไปมาจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง เกิดขึ้นมา จากปราณชีวิตของฉินมู่เมื่อมันพวยพุ่งผ่านน่านฟ้าในสมบัติเทวะ
ของเขา
ศิษย์ทั้ง 3 ของของนครหยกน้อยยังคงรีบรุดมา และอยู่ห่าง ไปอีกราวๆ 3 เกาะขุนเขาผู้อมตะ
“ผู้อมตะชิงโยว” รัศมีของฉินมู่พวยพุ่งถึงระดับที่น่าสะพรึงกลัว เขามองไปยังผู้
สันโดษชิงโยวด้วยความตื่นเต้นและฉีกยิ้มส่งไป “ทําไมเราไม่สู้กัน
ล่ะ ก่อนที่พวกเขาจะมาถึง!”
ผู้สันโดษชิงโยวส่ายหัว “หากว่าเจ้าเอาชนะพวกเขาไม่ได้ ก็
ไม่มีสิทธิมาท้า สู้ข้า …”
ฉินมู่สืบเท้าเข้าไป และร่างกายของเขาพลันกดดันบริเวณรอบ ข้างให้ระเบิดออกมาด้วยเสียงสายฟ้าฟาด อากาศตรงหน้าเซียน เฒ่าถูกบีบอัดราวกับกําแพงอันถูกระเบิดออกด้วยแรงกดดัน!
หางตาของผู้สันโดษชิงโยวกระตุก และในที่สุดเขาก็ปล่อยให้ ความเดือดดาลโผล่ออกมาบนสีหน้า เขายกฝ่ามือขึ้น และแสงสี เขียวก็แผ่ซ่านไปทั่วน่านฟ้า
ผู้ใหญ่บ้านกล่าวทันที “ชิงโยว ขั้นหกทิศ!”
“ข้ารู้!”
ผู้สันโดษชิงโยวกู่ร้อง และเสียงครืนครันของประตูใหญ่ปิดลง ไปดังมาจากร่างของเขาเมื่อเขาปิดสมบัติเทวะสะพานเทวะ เป็น ตาย ชาวสวรรค์ และเจ็ดดาว ปราณชีวิตของเขาพลันแผ่พุ่งไป และเขาฉีกยิ้มด้วยความเดือดดาลอย่างถึงขีดสุด “กษัตริย์มนุษย์ ตัวกระจ้อย ข้าขวางหูขวางตาเจ้ามาตั้งนานแล้ว! เจ้ามันก็แค่เด็ก เปรตที่รู้จักแต่เล่นนํ้าเล่นโคล–”
ฝ่ามือและหมัดของทั้ง 2 คนพุ่งปะทะ และผู้สันโดษชิงโยว ครางเสียงหนักก่อนที่จะถูกถีบไปข้างหลังจากแรงกระแทก เขาปะทะเข้ากับรูปสลักหินข้างหลังเสียงเปรี้ยง รูปสลักหินนั้นหนาแน่น แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง เหมือนกับรูปสลักหินในแดนโบราณวินาศ ไม่อาจแตกทําลาย เพราะอย่างนั้น รูปสลักจึงไม่ไหวติงเลยแม้แต่ น้อยเมื่อเขากระเด็นเข้าไปปะทะ
“พลังวัตรนี้…” อากาศในช่องอกของผู้สันโดษชิงโยวถูกรีด ออกมาแทบจะหมด เขาตะโกนไปด้วยใบหน้าแดงกํ่า “พี่ทางเต๋า เฒ่า เจ้าแน่ใจหรือว่าเขาอยู่ขั้นหกทิศ”
ฉินมู่พุ่งเข้าไปราวมังกรเถื่อน และเมื่อเขาเคลื่อนไหว ร่างกาย
ของเขาก็หนักอึ้ง ทว่าความเร็วของเขานั้นเกินจะจินตนาการ เมื่อ
ผสานนํ้าหนักอันหนักอึ้งราวขุนเขาเข้ากับความเร็วเยี่ยงนี้ ฉินมู่ก็ สร้างสิ่งที่อันเป็นไปไม่ได้ที่อายุเท่าเขาจะทําได้!
ผู้สันโดษชิงโยวไม่มีเวลาครุ่นคิด เมื่อเขาเคลื่อนไหวมือ ปราณสีเขียวของเขาก็แปรเปลี่ยนสีสัน กลายเป็นดํากับขาวที่หมุน วนกันไปมาราวกับปลาตัวใหญ่ พวกมันพลันเปลี่ยนเป็นเป็นมังกร คู่ซัดโจมตีใส่ฉินมู่
“เป็นขั้นหกทิศ” ผู้ใหญ่บ้านเองก็ไม่อาจซ่อนความตระหนกใจ เขาใช้เวลาพักหนึ่งเพื่อตั้งสติแล้วกล่าว “แต่พลังวัตรเขาแข็งแกร่ง ขึ้นกว่าเมื่อก่อนไปมาก”
พลังวัตรของฉินมู่ในขั้นทารกวิญญาณได้เพิ่มพูนจนสูงลํ้าถึง ขีดขั้นที่ผู้ใหญ่บ้านไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เห็น ถึงอย่างไร เมื่อฉินมู่ไปถึงขั้นห้าธาตุและขั้นหกทิศ ความห่างชั้นในระดับวรยุทธ์เดียวกันระหว่างเขาและคนอื่นๆ นั้นก็ไม่ได้กว้างขึ้นแต่ยังคงห่างเท่าเดิม
แต่จากที่เห็น ดูท่าว่าหลังจากที่ฉินมู่เดินทางผ่านหุบเขาภูติผี และกลับมาจากแดนใต้พิภพ พลังวัตรของเขาได้เพิ่นพูนขึ้นหลาย เท่าทวีคูณ!
พลังวัตรอันเข้มข้น กล้าแข็งระดับนี้ ทําให้แม้แต่ผู้ใหญ่บ้านก็ ยังต้องแตกตื่นตกใจ!
เสียงปังดังสนั่นมา 2 ครั้งติด ฉินมู่คว้ามือเข้าไปกําและบดขยี้ มังกรยักษ์ 2 ตัวด้วยกําลังเถื่อน ความเร็วของเขาไม่ลดน้อยถอย ลงไปแม้แต่น้อย ผู้สันโดษชิงโยวรีบเหินขึ้นไปบนอากาศ รวบรวม ปราณขึ้นมาเป็นกระบี่ จากนั้นชี้นิ้วลงไป ปราณกระบี่หลายพันก็ ยิงใส่ฉินมู่ราวฝนดาวตก
จุดหนึ่งดาวเคลื่อนคล้อย หมื่นกระบี่ทะลวงนภา! ฉินมู่โจนทะยานขึ้นไปบนฟ้า และแสงกระบี่ของเขาก็แผ่พุ่ง
ออกไป ปราณชีวิตของเขาเหมือนกับมังกรที่ร่างสั่นเทิ้มและปรากฏ
มังกรหมื่นกว่าตัวที่กระโจนขยํ้าไปข้างหน้า
วิชา 9 มังกรราชันย์!
ฝูงมังกรและห่ากระบี่ปะทะกัน ผู้สันโดษชิงโยวครางหนักอีก ครั้ง และเท้าของเขาก็แตะลงไปบนท้องฟ้าถี่ยิบไม่หยุดยั้งเพื่อ สลายพลานุภาพอันโถมท่วมจากทักษะเทวะของฉินมู่
มังกรและกระบี่พังทลายลงไปและแปรเปลี่ยนเป็นฝนดาวตก ข้างในนั้นหมัดหนึ่งพลันขยายใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น ผู้สันโดษชิง โยวเคลื่อนไหวอย่างซับซ้อนวนเวียนเพื่อหลบเลี่ยงหมัดนั้น
ผู้ใหญ่บ้านอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว เจ้าจะมาแข่งท่าเท้าและวิชาตัวเบากับวิชาของเฒ่าเป๋ได้อย่างไร…
ผู้สันโดษชิงโยวไม่สามารถหลบเลี่ยงการจู่โจมนี้ได้ และมีแต่ ต้องต้านรับมันซึ่งๆ หน้า ด้วยเสียงเปรี้ยงดังสนั่น เขาปลิวไปข้าง หลัง
ก้อนฝุ่นพวยพุ่งขึ้นมาจากเกาะผู้อมตะที่อยู่ห่างออกไปเกาะหนึ่ง ผ่านไปสักพักคลื่นเสียงจากการปะทะของผู้สันโดษชิงโยวกับ ขุนเขาบนเกาะนั้นจึงเดินทางมาถึง
แข่งวิชาหมัดกับของเฒ่าหม่า เจ้าก็มีแต่ต้องแพ้เท่านั้น ชิงโยว ผู้ใหญ่บ้านส่ายหน้าอีกหน
ฉินมู่ตะบึงเข้าไปอย่างดุเดือดกลางอากาศในขณะที่ศิษย์ทั้ง 3 แห่งนครหยกน้อยขึ้นมาถึงยอดเขาเซียน ในตอนนั้น พวกเขา เห็นฉินมู่พุ่งวาบกลายเป็นเส้นแสงที่ทะลวงไปยังจุดอันผู้สันโดษชิง
โยวร่วงกระเด็นไป พวกเขาได้แต่อ้าปากค้างจากภาพที่เห็น ไม่รู้เหนือรู้ใต้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ผู้ใหญ่บ้านปรายตามองพวกเขาและยิ้มกล่าว “ผู้สันโดษชิง โยวไปทางโน้นแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็ไปที่นั่นด้วยเถอะ”
เมื่อเขากล่าวจบ เขาก็ลอยขึ้นไปและมุ่งหน้าไปยังขุนเขาผู้อมตะลูกนั้น
ทั้ง 3 คนมองหน้ากันไปมา ก่อนที่จะรีบเร่งเท้าติดตามเขาไป บนขุนเขาผู้อมตะและเกาะผู้อมตะอื่นๆ เซียนเฒ่าหลายคนเดิน
ออกมาจากการเก็บตัวบําเพ็ญเพียรและมองภูเขาลูกที่มีการต่อสู้
เกิดขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“เสียงอึกทึกอะไรกันนี่” ยูไลเฒ่าและเจ้าสํานักเต๋าเฒ่าก็สะดุ้ง ขึ้นมาและมองไปยังทิศทางนั้น
เนตรทะลุทะลวงของยูไลเฒ่านั้นไร้เทียมทาน และเขากล่าว ด้วยความตื่นตะลึง “ดูเหมือนกษัตริย์มนุษย์กําลังทุบตีผู้สันโดษชิง โยว ผู้ซึ่งไม่กล้าสู้กลับ”
เจ้าสํานักเต๋าเฒ่าแย้มยิ้ม “ไม่ใช่ว่าเขาไม่กล้าสู้กลับ แต่เขา พลาดจังหวะสําคัญและตอนนี้ถูกพลังวัตรของกษัตริย์มนุษย์อันท่วมท้นสยบเอาไว้”
บนเกาะเซียนแห่งหนึ่ง เทือกเขายืดยาวออกไปไกลลิบตา คน 2 คน หนึ่งเฒ่าหนึ่งเยาว์ ต่อสู้กันตั้งแต่ตีนเขาถึงยอดเขา พลัง วัตรของฉินมู่นั้นกร้าวแกร่งรุนแรง แปรเปลี่ยนเป็นมุทรายักษ์อันกด
ทับลงมาใส่คู่ต่อสู้ ผู้สันโดษชิงโยวม้วนตัวและกลิ้งหลบการโจมตีที่ บดขยี้ต้นไม้มากมายนับไม่ถ้วนจากมุทราฝ่ามือนั้น รอยฝ่ามือใหญ่มหึมาอันกว้างเป็นไร่ๆ พลันปรากฏฝังอยู่บนพื้น!
ฉินมู่ปลดปล่อยกระบวนท่าใหญ่ๆ ทั้งหมดของเขา หวดฟาดผู้ สันโดษชิงโยวจากตีนเขาขึ้นไปถึงยอดเขา ที่ยอดเขานั้นมีโถงวัง มากมายที่ปลูกสร้างขึ้ น มาจากอิฐเขียวและกระเบื้องแด ง เช่นเดียวกับเสาทองแดงที่หนาเท่าถังนํ้า
ผู้สันโดษชิงโยวถูกฟาดเข้าใส่กําแพงโถง ฉินมู่ก้าวเข้ามาด้วย ยํ่าเท้าหนักๆ เตะเสาทองแดงต้นหนึ่ง ผู้ใหญ่บ้านส่ายหัวและกล่าว ด้วยเสียงหนัก “มู่เอ๋อ นี่คืออัครนครหยกแห่งยุคสมัยจักรพรรดิ ก่อตั้ง ราชวังที่ถูกก่อสร้างโดยเทพยดา เจ้าจะรื้อพังมันง่ายๆ ได้ อย่างไร”
ไม่ทันที่เขาจะสิ้นสุดคําพูด เสาทองแดงก็หักกระเด็นจากลูก เตะของฉินมู่ ทําให้ผู้ใหญ่บ้านจ้องตาค้าง
เด็กหนุ่มคนหนึ่งข้างๆ เขาอธิบายด้วยเสียงเบา “ผู้อาวุโส โถง วังนั้นอาจารย์ลุงชิงโยวก่อสร้างขึ้นมาใหม่ในภายหลัง มันไม่ได้แข็งแกร่งทนทานเท่ากับโถงวังเดิม…”
ฉินมู่ปักนิ้วเข้าไปในเสาทองแดงอันหนาเท่ากับหม้อนํ้า และยก มันขึ้นมา ใช้มันต่างทวน แทงเข้าไปในผนังโถง
เสียงเปรี้ยงปร้างดังมาจากข้างใน แม้ว่าเสาทองแดงนี้จะหนา ใหญ่ แต่ฉินมู่ก็สามารถช่วงใช้มันได้อย่างคล่องแคล่วราวกับทวน เหมาะมือหนึ่งเล่ม มันพุ่งทะลวงอากาศเสียงหวีดหวิด หลังจากไม่กี่ กระบวนท่า ผนังของโถงวังแห่งนี้ก็พรุนเป็นพันรู ส่งอิฐและกระเบื้อง ปลิวกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศทาง
ผู้สันโดษชิงโยนถูกฟาดทุบจนน่วมจนแทบไม่มีหายหอบหายใจ มือของเขาคว้าจับเสาทองแดงได้ในที่สุด แต่กลับพบว่ามัน ร้อนฉ่าก็เพราะว่าถูกพลังวัตรของฉินมู่หลอมละลายมัน ทําให้ทองแดงเหลวร่วงลงมา
ทองแดงหลอมเหลวไหลลงมาจากเสาและแปรเปลี่ยนเป็นกระบี่ ทองแดงกลางอากาศ กระบี่ทองแดงนับพันเล่มโบยบินอย่างพร้อม เพรียงกัน พุ่งเข้าใส่ผู้สันโดษชิงโยว
เซียนเฒ่าผู้นี้กระเด็นไปข้างหลังและปะทะเข้ากับขุนเขาเซียน และเกาะเซียนอีกหลายแห่ง
ฉินมู่กู่ร้องคํารามและอัดพลังของตนเข้าไป เขวี้ยงเสาทองแดง ที่กําลังหลอมละลายเข้าใส่ฝ่ายตรงข้าง มันฟาดใส่หน้าอกของผู้ สันโดษชิงโยว ปักเขาเข้ากับขุนเขาผู้อมตะลูกหนึ่ง
ในเวลาเดียวกันนั้น ร่างของฉินมู่ก็พุ่งวาบไปข้างหน้าราวกับ ดาวตก เขาง้างเข่าขึ้นมา ตีเข่าเข้าใส่เสาทองแดง
ทั้งขุนเขาผู้อมตะลูกนั้นสะเทือนหวั่นไหว ต้นไม้ใบหญ้าก็สั่น กราวไปหมด
ผู้ใหญ่บ้านและศิษย์ทั้ง 3 แห่งนครหยกน้อยรีบเหาะมา และ ขณะที่พวกเขามาถึงเกาะเซียนแห่งนี้นี่เอง พวกเขาก็เห็นฉินมู่ดึง
เสาทองแดงออกมาจากหน้าผา ก่อนจะยื่นมือเข้าไปลากคอผู้ สันโดษชิงออกจากรูถํ้าที่เกิดใหม่นั้น เขาเขวี้ยงผู้เฒ่านี้ใส่พื้นอย่าง ไร้ปรานี ทําให้เกิดเสียงเปรี้ยงสนั่นหวั่นไหวจากหลุมลึกที่ถูกสร้างขึ้น
“ข้าก็ขวางหูขวางตาเฒ่าขี้บ่นอย่างเจ้ามาตั้งนานแล้ว ค่อยสมใจหน่อย! เจ้าถึงกับทําให้ท่านปู่ผู้ใหญ่บ้านรํ่าไห้! ข้าจะอัดเจ้าให้น่วม!”
ฉินมู่หันหน้ากลับไปและมองยังคนทั้ง 4 ที่เหาะมา และยิ้มแฉ่งให้แก่ศิษย์ทั้งหลายแห่งนครหยกน้อย “อย่าตกใจ หลายวันมานี้ข้าไม่ได้ต่อสู้กับใคร ก็เลยยืดเส้นยืดสายเสียหน่อย ไม่ได้จะล้างแค้น หรือฆาตกรรมใคร ตอนนี้ข้ายืดเส้นยืดสายเสร็จแล้ว ค่อยรู้สึกดีหน่อย!”
ทั้ง 3 คนแตกตื่นจนพูดอะไรไม่ออก พวกเขาได้แต่มองไปยัง ผู้สันโดษชิงโยวที่นอนแผ่อยู่ในหลุม
“อาจารย์ลุง…” เด็กสาวคนหนึ่งถามด้วยเสียงเบาหวิว
“ข้าสบายดี!” ผู้สันโดษชิงโยวนอนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน แต่เสียงของเขาแจ่มชัดกังวาน “ไม่ต้องสนใจข้า ปล่อยข้านอนตรง นี้สักพัก”
3 คนนั้นถึงค่อยเบาใจ ชายที่อายุมากสุดในหมู่พวกเขา กล่าว “อาจารย์ลุงชิงโยวไม่เป็นอะไร”
ฉินมู่มองไปยังคนทั้ง 3 หนึ่งในนั้นเป็นคนรู้จักเก่าแก่ นั่นก็ คือหวางมู่หรันที่เขาเคยพบพานมาแล้วครั้งหนึ่ง
หวางมู่หรันเป็นศิษย์ของผู้พเนจรเจิ้นซึ่งเป็นหนึ่งในผู้อมตะแห่งนครหยกน้อย ผู้พเนจรนี้ถูกเชื้อเชิญลงจากภูเขาโดยพระเจ้า อาแปดหลิงอิ๋นเฟิงเพื่อไปขัดขวางราชครูสันตินิรันดร์ แต่กลับถูก ราชครูสังหารแทน
ในครั้งนั้น หวางมู่หรันเป็นเด็กหนุ่มที่ยังซุกซนอยู่ และเมื่อฉินมู่พบเขาในครั้งแรก ผู้พเนจรเจิ้นกําลังตกปลาอยู่ใต้นํ้าตก ส่วน เขาก็กําลังเขวี้ยงหินสะเทินนํ้าอยู่ไม่ไกลนัก เยว่ชิงหงถึงกับกล่าว ว่าเขาน่าจะเป็นลูกหลานของผู้พเนจรเจิ้น ไม่เช่นนั้นไปขว้างหิน แบบนี้คงถูกทุบตีจนตายไปแล้ว
หวางมู่หรันในตอนนั้นดูซุกซน แต่หลังจากผ่านไป 2 ปี เขาดู นิ่งและมั่นคงมากขึ้น
