ตอนที่ 474 รักเคารพกับรักทะนุถนอม
ร่างกายคนเราอายุสิบแปดจึงจะเจริญเติบโตเต็มที่ ร่างกายอายุสิบสี่สิบห้ายังเจริญเติบโตไม่เต็มที่
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ฟังคำพูดลู่เจียว ก็รีบเผยรอยยิ้มอ่อนโยนมองลู่เจียว รับปากว่า “ได้ ตามใจเจ้า”
หากชั่วชีวิตของนางอยู่เคียงข้างเขา เขาตามใจนางทุกอย่าง
ลู่เจียวถูกเขาจับจ้องเช่นนี้ ใบหน้าก็อดร้อนผ่าวขึ้นมาไม่ได้ เสหันมองไปทางอื่นอย่างรู้สึกขัดเขิน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยกมือขึ้นคิดลูบใบหน้านาง คิดไม่ถึงว่าเจ้าหนูน้อยทั้งสี่จะวิ่งพุ่งเข้ามาจากด้านนอกราวกับระเบิดลูกน้อย
“ท่านพ่อ ท่านแม่ กินอาหารกลางวันได้แล้ว กินอาหารกลางวันได้แล้ว”
ตอนนี้เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เคลื่อนไหวว่องไวมาก กินอาหารก็มาก ไม่ถึงเที่ยงก็หิวแล้ว ดังนั้นพอเลิกเรียนก็วิ่งพุ่งออกมาหาของกินราวกับสุนัขกระดิกหางเริงร่า
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวหันหน้าไปมองเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ยิ้มๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นพาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไปกินข้าว
ตอนบ่าย ลู่เจียวตามลู่กุ้ยมาพบและบอกเรื่องนี้กับเขา
ลู่กุ้ยตกใจมาก “พี่เจียวบอกว่าพี่สวีจะยกจิ่นซิ่วให้แต่งกับข้า?”
ลู่เจียวพยักหน้า “จิ่นซิ่วนอกจากอายุน้อย อย่างอื่นก็ดีหมด รูปโฉมนางก็ไม่สะดุดตา แต่ก็ไม่ได้น่าเกลียด เหมาะกับเจ้ามาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจ้าคิดเช่นไร”
ลู่กุ้ยอึ้งไปก่อนจะกล่าวว่า “นี่มันเร็วไปหน่อยไหม เหมือนว่าจิ่นซิ่วก็ยังไม่โตเป็นสาว?”
เขาเพิ่งจะบอกจะแต่งกับเฝิงจือ ไม่นานก็จะไปดูตัวกับหญิงอื่น เหมือนไม่ค่อยดีนัก
ลู่เจียวพอจะเข้าใจความคิดเขา “เจ้าไปดูแล้วกัน ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นพี่สวีเสนอ หากเหมาะสมก็แต่ง หากไม่เหมาะก็กลับมา ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด”
ลู่กุ้ยได้ยินลู่เจียวกล่าวเช่นนี้ก็เห็นด้วย “ได้ พี่เจียว”
สองพี่น้องตกลงเรื่องนี้กันเรียบร้อย วันรุ่งขึ้นลู่เจียวก็พาลู่กุ้ยไปไปร้านน้ำมัน เดิมเซี่ยอวิ๋นจิ่นจะไปกับนางด้วย แต่ลู่เจียวปฏิเสธ ตอนนี้ลู่เจียวไม่ยอมให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นทำเรื่องใดที่จะเป็นการรบกวนเขา ให้เขาทุ่มเทกับการอ่านตำราเตรียมสอบเคอจวี่เมืองหนิงโจวเดือนแปดนี้
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเองก็ไม่ดึงดัน ใช่ การสอบเซียงซื่อเดือนแปดนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในใจเขาตอนนี้ เขาสามารถสอบติดได้โดยไม่ต้องอ่านตำรา แต่หากจะสอบได้ตำแหน่งเจี่ยหยวน อันดับหนึ่งในเมืองหนิงโจว ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
เมืองหนิงโจวมีบัณฑิตมีความสามารถมาจากแต่ละพื้นที่ไม่น้อย หากเขาคิดจะคว้าตำแหน่งเจี่ยหยวนมาครอง ก็ต้องทุ่มเท
ดังนั้นลู่เจียวให้เขาอยู่บ้านอ่านตำรา เขาก็รับปากทันที ตอนนี้เจียวเจียวมีชื่อเสียงอยู่ข้างนอก เขาต้องพยายามทำตนเองให้แข็งแกร่ง ประการแรก จะได้คู่ควรกับนาง ประการที่สอง จะได้ปกป้องนางได้
ลู่เจียวพาลู่กุ้ยไปร้านน้ำมัน
สวีโต้วสองแม่ลูกเก็บร้านน้ำมันเรียบร้อยรออยู่นานแล้ว
สวีจิ่นซิ่วรู้ความต้องการท่านแม่ตนแล้ว นางรู้สึกเขินอายอยู่ไม่น้อย เอาแต่ก้มหน้าแดงไม่กล้ามองลู่กุ้ย
ลู่กุ้ยมองสองสามที ก็รู้สึกว่าสาวน้อยอายุน้อยเกินไป หากเขาแต่งกับนางก็คงรู้สึกว่าตนเองราวกับสัตว์ป่ามาก
เมื่อก่อนเขาเห็นจิ่นซิ่วเป็นดังน้องสาว ตอนนี้พลันต้องมาแต่งกับนาง ก็รู้สึกราวกับมีอันใดไม่ถูกต้องนัก
ลู่เจียวกล่าวต่อหน้าทั้งสองคนว่า “พวกเจ้าคุยกันก่อน ดูว่ามีใจตรงกันหรือไม่ ไม่ต้องเขินอาย พวกเราดูตัวกันวันนี้ ย่อมไม่แพร่งพรายออกไป แม้ไม่ถูกใจกันก็ไม่เป็นไร ดังนั้นมีอันใดก็คุยกันดีๆ”
สวีโต้วพาลู่เจียวไปร้านโรงเวชสำอางข้างๆ นางเล่าแผนการทำงานให้ลู่เจียวฟัง
“ข้าวางแผนจะวางขายพวกสบู่หอมไว้ที่หน้าประตูดึงดูดผู้คน ของอื่นๆ ก็จะวางในร้าน ร้านเราขายสบู่หอมดีมาก หากวางของจำพวกสำหรับงานมงคลด้วย ลูกค้าย่อมซื้อไปด้วย ประการแรก ไม่เพียงแต่ไม่เสียพื้นที่ แต่ยังหาเงินเพิ่มได้อีก”
ลู่เจียวพยักหน้า “ได้ เจ้าตัดสินไปได้เลย เงินพอไปซื้อของไหม ไม่พอก็มาเอาที่ข้า”
สวีโต้วยิ้มกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเดาว่าเหนียงจื่อจะเห็นด้วย ข้าจึงได้เก็บเงินไว้ซื้อสินค้าไว้แล้ว”
สวีโต้วกล่าวจบก็สนใจเรื่องร้านค้าอีก นางหันไปสนใจลู่กุ้ยว่าต้องตาต้องใจบุตรสาวนางหรือไม่
“เหนียงจื่อ ท่านว่าลู่กุ้ยจะต้องตาต้องใจบุตรสาวข้าหรือไม่”
ลู่เจียวกระซิบว่า “เมื่อวานข้าบอกเขาแล้ว เรื่องอื่นไม่มีอันใด เพียงแค่จิ่นซิ่วเด็กเกินไป รู้สึกว่าหากตนเองแต่งกับนางจะไม่ค่อยดีนัก”
พอลู่เจียวกล่าว สวีโต้วก็ทอดถอนใจกล่าวว่า “ลู่กุ้ยเป็นเด็กซื่อจริง ผู้ชายปกติย่อมไม่กล่าววาจาเช่นนี้ ในปีนั้นข้ากับซูต้าไห่อยู่ด้วยกันก็แค่สิบห้า แต่ไรมาเขาไม่เคยทะนุถนอมข้าว่าอายุน้อยอันใด มีแต่กล่อมข้าว่าจะต่อกรกับบิดามารดาข้าเยี่ยงไร”
สวีโต้วยิ่งคิดก็ยิ่งทอดถอนใจ คนเราเหมือนกัน ลู่กุ้ยเช่นนี้ นางยิ่งอยากได้เป็นลูกเขย
“ลู่กุ้ยเป็นคนไม่เลวจริงๆ ลูกเขยคนนี้ข้าถูกใจ”
ลู่เจียวพลันไม่รู้ควรกล่าวอันใดดี พี่สวีถูกใจแล้วจะกระไรได้ ต้องให้บุตรสาวพี่ถูกใจไหม
สวีโต้วทนไม่ไหวเดินไปโรงหีบน้ำมันข้างบ้าน
ทั้งสองคนเพิ่งเดินเข้าไปก็เห็นลู่กุ้ยกำลังปลอบใจจิ่นซิ่ว จิ่นซิ่วน้ำตาร่วงอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
ลู่เจียวเห็นก็มีสีหน้าไม่ได้การแล้ว นางถามลู่กุ้ยอย่างเคร่งเครียด “ลู่กุ้ย เจ้ารังแกจิ่นซิ่วหรือ”
โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ยังรังแกเด็กผู้หญิง ใช้ได้ที่ไหนกัน
พอลู่เจียวกล่าว ลู่กุ้ยก็ร้อนใจรีบหันหน้าไปอธิบายว่า “เปล่า เปล่านะ ข้าแค่บอกกับนางว่า นางอายุน้อยเกินไป ไม่เหมาะกับข้า ผู้ใดจะรู้ว่าพอข้าพูด นางก็ร้องไห้”
สวีจิ่นซิ่วเงยหน้ามองลู่กุ้ย “เจ้าไม่ต้องตาต้องใจข้า?”
ลู่กุ้ยก้มหน้ามองหญิงสาวขอบตาแดง นี่ยังไม่ทันโตเป็นสาวสมบูรณ์ก็เป็นหญิงสาวตัวน้อยกระจ่างตาเช่นนี้ ยามนี้ดวงตาเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา ท่าทางที่มองเขาทำให้ลู่กุ้ยรู้สึกว่าตนเองช่างบัดซบ
เขารีบอธิบายว่า “ไม่ใช่ เจ้าดีมาก ข้าไม่ได้ไม่ต้องตาต้องใจเจ้า ข้าเป็นเพียงชายบ้านนา ไหนเลยจะมีสิทธิ์ไปรังเกียจเจ้า ข้าแค่รู้สึกว่าเจ้าอายุน้อยเกินไป พวกเราไม่ค่อยเหมาะสมกันเท่านั้น”
สวีจิ่นซิ่วได้ฟังลู่กุ้ยก็รีบกล่าว “แต่ข้าเห็นด้วย”
นางกล่าวจบก็หันหลังวิ่งหนีไป ลู่กุ้ยด้านหลังยืนตะลึงงัน
สวีโต้วรีบมองไปยังลู่กุ้ยกล่าวว่า “พ่อบ้านลู่ ข้าขอล่วงเกินเรียกเจ้าว่าลู่กุ้ยแล้ว เจ้าคิดเช่นไร รู้สึกว่าจิ่นซิ่วได้หรือไม่ หากว่าได้ งานแต่งนี้ก็ตกลงตามนี้”
ลู่กุ้ยได้ฟังสวีโต้วก็รู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เขาหันไปมองลู่เจียวทันที “พี่เจียว”
ลู่เจียวเดินเข้ามามองเขาถามว่า “เจ้ารู้สึกว่าจิ่นซิ่วเป็นอย่างไรบ้าง รังเกียจนางหรือไม่”
ลู่กุ้ยส่ายหน้า เขาไม่รังเกียจจิ่นซิ่ว แต่ยังรู้สึกอยากทะนุถนอมนาง ความทะนุถนอมนี้ไม่เหมือนกับที่รู้สึกกับเฝิงจือ เขารู้สึกว่าเขาชอบเฝิงจือแบบเลื่อมใสชื่นชม รู้สึกว่านางเก่งกาจมาก
แต่กับจิ่นซิ่วแล้วมีแต่ความรักทะนุถนอม นางอายุน้อยเพียงนี้ก็ต้องติดตามมารดาออกจากบ้านตระกูลซู แต่นางไม่โทษมารดานางแม้แต่น้อย หญิงสาวเช่นนี้เป็นคนดีมาก
ลู่เจียวถามลู่กุ้ยอีกคร้ง “เช่นนี้ หากให้เจ้าแต่งกับนาง? เจ้ายินยอมหรือไม่”
