ตอนที่ 610 มีเพียงภรรยาเดียว
ครั้งนี้ลู่เจียวเข้าใจกระจ่างชัดแล้วว่า งานเลี้ยงวันนี้น่าจะจัดเพื่อดึงพวกนางไปเป็นพวก เพื่อให้นางกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นได้เข้าสู่แวดวงของพวกเขา
เรื่องนี้ลู่เจียวเองก็พอเข้าใจ ขุนนางใหญ่น้อยในที่ว่าการเมืองหนิงโจวไม่มีทางที่จะมือสะอาดไร้มลทิน หากพวกเขาไม่อาจดึงเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับนางไปเป็นพรรคพวกได้ เช่นนั้นวันหน้าพวกเขาทำงานก็ต้องคอยระวัง เป็นเรื่องที่น่ายุ่งยากมาก
ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือดึงเขาไปเข้าสู่แวดวงของพวกเขา เช่นนี้วันหน้าทำงานก็จะสะดวก และวิธีการดึงขุนนางไปเป็นพวกเดียวกันที่ดีที่สุดก็คือส่งมอบผู้หญิงเข้าจวนขุนนาง หากจวนนี้รับไว้ ก็แสดงให้เห็นว่าเป็นพวกเดียวกันกับพวกเขา และหญิงผู้นี้ก็จะช่วยคนเหล่านี้จับตาดูพวกเขาไว้
ลู่เจียวอดแค่นหัวเราะไม่ได้ แต่สีหน้ายังคงนิ่งสงบอย่างมาก ยิ้มมองฮูหยินหลิน กล่าวว่า “คุณหนูเหล่านี้ล้วนเป็นคุณหนูที่แต่ละตระกูลตั้งใจอบรมขึ้นมาอย่างดี ข้าจะกล้าแย่งชิงไปได้อย่างไร ไม่เอาดีกว่า อีกอย่างใต้เท้าเราวันๆ ก็อยู่แต่กับข้า หากหญิงสาวเหล่านี้ไปอยู่บ้านเราเป็นเพื่อนคุยข้า ยากจะไม่ข้องเกี่ยวกับใต้เท้าบ้านเรา วันหน้าพวกนางจะออกเรือนกับผู้ใดได้เล่า”
ลู่เจียวมีสีหน้าคิดเผื่อหญิงสาวเหล่านี้
ทุกคนในที่นั้นต่างเงียบกริบ แต่ละคนมองลู่เจียว คาดเดาว่าหญิงผู้นี้ไม่เข้าใจความหมายพวกนาง หรือว่าเสแสร้ง ไม่อยากให้สามีตนรับรับอนุ
ฮูหยินหลินกับฮูหยินหวางสบตากันแล้วก็โมโห แต่สีหน้าทั้งสองคนก็ยังคงไม่ได้แสดงออก ต่างอยู่ในแวดวงหลังบ้านนี้มานานหลายปี เรื่องอุบายในใจพวกนี้ล้วนมีครบครัน
ฮูหยินหวางยิ้มกล่าวว่า “ฮูหยินเซี่ย ความหมายของฮูหยินหลินก็คือส่งมอบสองนางให้จวนพวกเจ้า ให้เป็นอนุใต้เท้าเซี่ย”
วาจานี้กล่าวได้กระจ่าง ดูซิว่า เจ้าจะปฏิเสธเยี่ยงไร
ลู่เจียวหันไปมองฮูหยินหวาง จากนั้นก็หันไปมองฮูหยินหลิน กล่าวว่า “ฮูหยินหลิน เกรงว่าคงยังไม่รู้เรื่องของบ้านข้า ใต้เท้าเราเคยบอกว่าชีวิตนี้จะไม่รับอนุ มีข้าเป็นภรรยาเพียงคนเดียว”
วาจานี้กล่าวออกไป ทั้งโถงงานเลี้ยงพลันฮือฮาดังขึ้นทันที หลายคนแอบซุบซิบกันไม่หยุด ต่างรู้สึกว่าไม่น่าเป็นไปได้
โลกนี้ยังมีผู้ชายมีภรรยาเพียงคนเดียวอีกหรือ นับประสาอันใดกับเซี่ยถงจือที่ยังหนุ่มเช่นนี้ ตอนนี้ก็เป็นถึงขุนนางระดับหก วันหน้าย่อมต้องขึ้นสู่ตำแหน่งสูงขึ้นอีก รอให้เขาขึ้นไปถึงตำแหน่งสูงพอสมควรแล้ว หรือว่าจะยังคงดำรงชีวิตแบบภรรยาเดียวอยู่อีก จะเป็นไปได้อย่างไรกัน
พวกฮูหยินหลินกับฮูหยินหวางต่างอดยิ้มไม่ได้ ทั้งสองคนต่างมีสีหน้ามองลู่เจียวอย่างหวังดี กล่าวว่า “ฮูหยินเซี่ย พวกเราอาบน้ำร้อนมาก่อนเจ้าหลายปี ขอเตือนเจ้าด้วยความหวังดี อย่าได้เพ้อฝันเช่นนั้น คำพูดผู้ชายล้วนเชื่อไม่ได้ หากเจ้าหลงเชื่อ เจ้าก็แพ้แล้ว และอนุก็เป็นเพียงของเล่นผู้ชายเท่านั้น ดีใจก็รับมาสักสองคนให้ผู้ชายเล่น ไม่พอใจก็ขายทิ้ง”
“พวกเราเป็นผู้หญิงควรจะดำรงจารีตดีงาม หาอนุให้ผู้ชาย เช่นนี้ผู้ชายจึงจะซาบซึ้งใจในความตั้งใจของเจ้า ให้ความเคารพภรรยาเอกเช่นเจ้า หากเจ้าไม่รับอนุให้เขาด้วยตนเอง รอให้เขาเอ่ยปาก ในใจก็คงมีความไม่พอใจ ก็จะไม่เกรงใจเจ้าอีก”
ฮูหยินหลินกับฮูหยินหวางคิดว่าวาจาตนเองนี้นับว่าจริงใจอย่างที่สุดแล้ว ผู้ชายไม่ได้มีวิสัยดังนกเป็ดน้ำรักเดียวใจเดียว อย่างครอบครัวพวกนาง ครอบครัวใดไม่ใช่ภรรยาเอกและอนุร่วมชายคาหลายคน มีบ้างที่ลงมือตบตีและขายทิ้ง หากเก็บไว้ทั้งหมด แต่ละครอบครัวอย่างน้อยก็ต้องมีอนุสิบกว่าคน
ลู่เจียวได้ฟังฮูหยินหลินกับฮูหยินหวาง ก็ยิ้มบางเอ่ยว่า “ขอบคุณฮูหยินทั้งสองที่คิดเพื่อข้า แต่ไม่เอาจริงๆ ข้าเชื่อใจผู้ชายของข้า ข้าเชื่อใจใต้เท้าของข้า เอ่ยแล้วย่อมต้องทำได้”
ลู่เจียวบอกว่าข้าเชื่อใจผู้ชายของข้า ข้าเชื่อใจใต้เท้าของข้า
ท่าทางนางเช่นนี้ทำเอาฮูหยินหลินกับฮูหยินหวางริษยา ทั้งสองคนทั้งโมโหทั้งเดือดดาลแต่ไม่อาจแสดงออกมาได้ ได้แต่โบกมือให้บรรดาคุณหนูถอยออกไป
บรรยากาศในโถงงานเลี้ยงแปลกประหลาดมาก คนไม่น้อยมองลู่เจียวราวสัตว์ประหลาด รู้สึกว่านางช่างเพ้อฝัน ผู้ชายที่ไหนจะไม่รับอนุ แม้แต่ขุนนางระดับล่างเล็กๆ ในครอบครัวก็ยังมีอนุสองสามคน ผู้ชายที่ไหนไม่คิดกกกอดซ้ายขวา
ทุกคนต่างรู้สึกว่าลู่เจียวเพ้อฝัน พวกนางรอดูนางถูกฉีกหน้า
แต่ทุกคนต่างไม่กล่าวถึงประเด็นนี้อีก พากันคุยเรื่องอื่น คล้ายว่าฉากเมื่อครู่เป็นเพื่อละครคั่นกลางเล็กๆ เท่านั้น
แต่ฮูหยินหลินกลับส่งสายตาให้หัวหน้าสาวใช้ข้างๆ หัวหน้าสาวใช้รีบเดินออกไปแจ้งคนที่เรือนด้านหน้า ให้นายท่านตนทราบข่าวนี้ เหตุหลักก็คือฮูหยินเซี่ยถงจือไม่รับคนของพวกนาง ไม่รับคนเข้าจวนตระกูลเซี่ย
เรือนด้านหน้า พอหลินจือฝู่ได้ข่าว ในใจก็รู้สึกโมโหฮูหยินตนเองเล็กน้อยที่ทำงานไม่สำเร็จ ทั้งโมโหภรรยาเซี่ยอวิ๋นจิ่นที่ไม่รู้ดีชั่ว คุณหนูแต่ละตระกูลส่งถึงจวนพวกนางเพื่อเป็นแค่อนุ ถึงกับปฏิเสธไม่ยอมรับ น่าแค้นใจจริง
หลินจือฝู่หรี่ตามองเซี่ยอวิ๋นจิ่น มุมปากแย้มยิ้มขึ้นมา เขาไม่เชื่อว่าผู้ชายไม่ชอบรับอนุ สตรีงามใต้หล้านี้มากมายเพียงใด พวกเขามาถึงวันนี้สถานะนี้ หากไม่รับสตรีมากมายอีกสักหน่อย พวกเขาลำบากเช่นนี้ไปเพื่อการใดกัน
หลินจือฝู่คิดไปพลางส่งสายตาให้พ่อบ้านข้างๆ ไปพลาง พ่อบ้านรีบยิ้มเดินเข้ามา “ใต้เท้าจะให้นางรำขึ้นแสดงร่ายรำให้ทุกคนได้ชมเลยหรือไม่”
หลินจือฝู่คล้ายเพิ่งนึกเรื่องนี้ได้ “ได้ ให้นางรำขึ้นมาแสดงการร่ายรำให้ทุกคนได้ชมกัน”
เขากล่าวจบก็มองเซี่ยอวิ๋นจิ่นอย่างตื่นเต้น กล่าวว่า “ในบรรดานางรำเหล่านี้มีสาวงาม งามเป็นพิเศษ งามล้ำค่าหายาก อีกสักครู่เซี่ยถงจือรอชมให้ดี”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเลิกคิ้วไม่ได้แสดงท่าทีอันใด พ่อบ้านตระกูลหลินออกไปจัดการแล้ว
นางรำเข้ามาร่ายรำอย่างรวดเร็ว ในที่นั้นล้วนเป็นผู้ชายที่ดื่มสุรากันไปไม่น้อย พอได้เห็นนางรำออกมาร่ายรำ ก็พลันเกิดความรู้สึกถูกปลุกเร้าอารมณ์ภายในใจขึ้นมา แต่ละคนชมไปวิพากษ์วิจารณ์กันไปอย่างตื่นเต้น
จนกระทั่งนางรำหลายคนค่อย ๆ ถอยออกไป เหลือนางในชุดแดงทิ้งท้าย จากนั้นนางร่ายรำระบำแขนเสื้อ ร่างอรชรหมุนอยู่กลางห้องโถง ราวกับผีเสื้อสีแดง ผู้ชายในงานเลี้ยงมองกันจนตาค้างไปในทันที
ทุกคนมองดูสตรีร่ายรำหมุนตัวอยู่กลางห้องโถง โดนนางดึงดูดสายตาไปหมดสิ้น หญิงผู้นี้งามจริงๆ ใบหน้ารูปไข่ประณีตงดงาม ร่างอรชรอ้อนแอ้นราวกิ่งหลิ่ว เอวคอดราวหนึ่งฝ่ามือตระกองกอด หมุนร่ายรำเช่นนี้ก็ราวกับผีเสื้อกำลังโบยบิน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นในงานเลี้ยงเห็นนางรำผู้นี้แล้วก็มองอีกสองสามที
เพราะเขาจำได้ว่าสตรีที่ร่ายรำผู้นี้ถึงกับเป็นคุณหนูเจ็ดเฉาชิงเหลียนแห่งตระกูลเฉา เฉาชิงเหลียนไม่ใช่ถูกส่งไปเป็นนางในกองทัพแล้วหรือ เหตุใดนางจึงมาปรากฏตัวที่นี่ในยามนี้ได้
เซี่ยอวิ๋นจิ่นคล้ายครุ่นคิด หลินจือฝู่เห็นเขาเช่นนี้ก็คิดว่าเขาหลงใหลนางผู้นี้เข้าแล้ว
เขาแทบกลั้นยิ้มได้ใจที่มุมปากไม่มิด เหอะ ผู้ชายคนไหนไม่ใช่แบบนี้กัน เห็นสาวงามจะไม่หวั่นไหวเลยเชียวหรือ ต่างคิดแต่จะครอบครองเป็นของตน คิดแต่จะร่วมเตียง
เซี่ยถงจือสูงส่งเพียงใดก็ไม่แตกต่าง
ในกลางโถงงานเลี้ยง ระบำจบลง นางรำตรงกลางค่อยๆ เก็บมือยืนนิ่ง คำนับหลินจือฝู่ที่อยู่ในตำแหน่งประธานของห้อง
“หว่านเยว่คารวะใต้เท้าจือฝู่”
หว่านเยว่ก็คือเฉาชิงเหลียนเมื่อก่อน ยามนี้แอบเหลือบมองมายังเก้าอี้ประธานหลักของห้อง เห็นข้างกายหลินจือฝู่ที่ทั้งอ้วนทั้งเตียงมีผู้ชายนั่งอยู่ ผู้ชายรูปงาม ท่าทางสง่างามราวกับปลายพู่กันบรรจงวาด เขาอยู่ในชุดขุนนาง นั่งอยู่อย่างนั้นก็ราวกับเปล่งประกายแสงรอบกาย คนรอบด้านถูกความงามเฉียบขาดของเขากลบรัศมีไปสิ้น คล้ายว่าใต้หล้านี้มีเพียงเขาคนเดียวที่กำลังนั่งนิ่งมองนางอยู่
เฉาชิงเหลียนสมองอึงอลไปหมด นางคิดไม่ถึงว่าจะมีวันได้เห็นชายผู้นี้อีก ยามนี้เขาเป็นขุนนางสูงส่ง แต่นางเป็นเพียงนางรำ
หลินจือฝู่เห็นเฉาชิงเหลียนก็พลันยิ้ม ดูท่านางรำผู้นี้ต้องตาใต้เท้าถงจือเข้าแล้ว
ใต้เท้าหลินมองเฉาชิงเหลียนแล้วก็รู้สึกเสียดายมาก กล่าวตามตรง หญิงผู้นี้เขาเองก็อยากได้ น่าเสียดายฮูหยินจับตาเข้ม ดังนั้นเขาจึงไม่ได้มาครองเสียที ตอนนี้ต้องส่งมอบให้เซี่ยอวิ๋นจิ่น ในใจใต้เท้าหลินก็รู้สึกปวดใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ตัดใจไม่ได้ก็ย่อมไม่อาจล่อหมาป่ามาได้ ตอนนี้ได้แต่สละหญิงผู้นี้แล้ว
ใต้เท้าหลินครุ่นคิดแล้วก็ยิ้มมองไปยังเฉาชิงเหลียน “หว่านเยว่ ท่านนี้คือเซี่ยถงจือ ใต้เท้าเซี่ย รีบคารวะใต้เท้าเซี่ยเสียสิ”
เฉาชิงเหลียนรีบก้มหน้าลงคำนับเซี่ยอวิ๋นจิ่น “คารวะใต้เท้าเซี่ย”
ความหมายของใต้เท้าหลิน นางเข้าใจดี ใต้เท้าหลินต้องการมอบนางให้เป็นอนุในจวนตระกูลเซี่ย
เฉาชิงเหลียนยินยอมอย่างที่สุด เพราะตระกูลเฉา ทำให้นางถูกลงโทษไปเป็นนางในกองทัพ ต่อมาตระกูลหลินจ่ายเงินแอบซื้อนางมาเลี้ยงไว้ในจวน เดิมนางคิดว่าจะต้องเป็นอนุใต้เท้าหลิน ปรากฏตอนนี้กลับถูกใต้เท้าหลินนำมามอบให้เป็นอนุเซี่ยอวิ๋นจิ่น
เฉาชิงเหลียนย่อมอยากติดตามเซี่ยอวิ๋นจิ่นมากกว่าใต้เท้าหลิน เซี่ยอวิ๋นจิ่นหน้าตาดีมาก และยังหนุ่ม วันหน้าอนาคตยาวไกลประมาณมิได้ หันมามองใต้เท้าหลิน ทั้งเตี้ยทั้งอายุมากขนาดนี้ แทบจะเป็นบิดานางได้
เฉาชิงเหลียนรู้สึกว่านี่คือโอกาสของนาง ดังนั้นนางรีบคำนับเซี่ยอวิ๋นจิ่นทันที “คารวะใต้เท้าถงจือ”
แม้ว่าเมื่อก่อนนางเคยใช้อุบายต่อเซี่ยอวิ๋นจิ่นและถูกปฏิเสธ แต่เฉาชิงเหลียนเคยคิดว่า เพราะเซี่ยถงจือเป็นเพียงแค่ซิ่วไฉ ภรรยาตนเก่งกาจเพียงนั้น นางไม่ยอม เขาก็ไม่กล้ารับอนุ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ตอนนี้เซี่ยถงจือเป็นขุนนางระดับหก หากเขาคิดรับอนุ ฮูหยินเขาจะกล้าขวางหรือ
เฉาชิงเหลียนยิ่งคิดก็ยิ่งเขินอาย ยิ่งดูก็ยิ่งน่าทะนุถนอม
ทุกคนในงานเลี้ยงต่างมองกันจนหัวใจเต้นแรง ช่างเป็นสาวงามล้ำค่าหายากเสียจริง คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าหลินถึงกับตัดใจมอบสาวงามเช่นนี้ให้ใต้เท้าเซี่ยได้
ใต้เท้าเซี่ยช่างวาสนาดีแท้
มีคนยกจอกสุราคารวะเซี่ยอวิ๋นจิ่น “ใต้เท้าเซี่ยช่างวาสนาดี”
“ใช่ ใช่ ใต้เท้าเซี่ยช่างวาสนาดี”
หลินจือฝู่มองไปยังเฉาชิงเหลียน กล่าวว่า “หว่านเยว่ คารวะสุราใต้เท้าเซี่ยเสียสิ”
เฉาชิงเหลียนรีบเดินมาข้างกายเซี่ยอวิ๋นจิ่น เซี่ยอวิ๋นจิ่นยกมือปฏิเสธนางด้วยสีหน้าเย็นเยียบ
“ไม่ต้อง”
เขากล่าวจบ ก็หันไปมองหลินจือฝู่กล่าวว่า “ที่บ้านข้ามีภรรยาดีงาม ข้าไม่คิดจะทำให้ภรรยาเสียใจเพราะหญิงอื่น ขอใต้เท้าจือฝู่โปรดอภัยด้วย”
