Skip to content

พลิกปฐพี 575

ตอนที่ 575

พบสวีปิงอีกครั้ง นี่เป็นการเข้าใจผิด

บันไดสู่ฟ้าทดสอบความแน่วแน่ของจิตใจในการบำเพ็ญ

ที่ห้ามใช้พลังเทพก็เพื่อพิสูจน์ว่าบุคคลนั้นมีวิริยะอุตสาหะในการพิชิตอุปสรรคขวากหนาม เพื่อเดินหน้าต่อไปในการบำเพ็ญ

บันไดสู่ฟ้าในแดนฮ่วนเยวี่ย มีเงาร่างสองสายกำลังปีนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ

ความจริง การปีนเขาด้วยมือเปล่าสำหรับมู่ชิงเกอแล้วไม่นับว่าเท่าไร นางเมื่อชาติก่อน ขณะฝึกซ้อมก็เคยปีนเขาสูงสุดที่เรียกว่าเป็นกระดูกสันหลังของดาวโลกด้วยมือเปล่ามาแล้ว

เวลานี้มาปีนอีกครั้งหนึ่ง นางย่อมไม่หวั่นเกรง

ถงเถิงตามติดมู่ชิงเกออยู่ข้างหลัง ผ่านไปเรื่อยๆ ความระมัดระวังก็กลายเป็นความตื่นตกใจ เขาตื่นตกใจ ในความชำนาญของมู่ชิงเกอ ตื่นตกใจในความเพลิดเพลินสบายใจระหว่างปีนของเขา

ตลอดการเดินทาง ลูกพี่คนนี้ของเขา ทำให้เขานับถือมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในจิตใจของเขานั้น อุบัติความเชื่อมั่นชนิดแน่วแน่ที่ว่า…’ในโลกนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่ยากเกินไปสำหรับลูกพี่’

“ตั้งใจดีๆ ระวังใต้เท้า” มู่ชิงเกอเตือน

ถงเถิงลูดลมหายใจเลิกคิดพลางเร่งความเร็ว เขาจะทำให้ลูกพี่เสียหน้าได้อย่างไร

ทั้งคู่ยิ่งปีนยิ่งเร็ว ยิ่งชำนาญขึ้น

แต่ขณะที่พวกเขาปีนไปได้ครึ่งทาง ถงเถิงรู้สึกว่าร่างกายตัวเองเริ่มทนไม่ได้

“ลูก…ลูกพี่ ข้าไม่ไหวแล้ว ขอพักหน่อย” ถงเถิงรีบรายงานสภาพตัวเองให้มู่ชิงเกอรับรู้

มู่ชิงเกอหันมองดูเขา ตัวนางเองยังสบายอยู่ แต่ท่าทางถงเถิงจำเป็นต้องพักแล้ว

การทดสอบนี้ไม่ได้กำหนดเวลา ดังนั้นการพักสักครู่ย่อมไม่มีปัญหาอะไร

“ได้ พักสักครู่” มู่ชิงเกอผงกศีรษะ นั่งขัดสมาธิ อยู่บนขั้นใกล้ๆ เมื่อนางนั่งลง ถงเถิงก็นั่งขัดสมาธิลงบนขั้นที่ตัวเองยืนอยู่

เวลานี้เป็นเวลากลางคืน ทั้งสองคนนั่งพัก บนบันไดสู่ฟ้า สิ่งที่เห็นย่อมเป็นทิวทัศน์สวยงามของฟ้ายามราตรี

มู่ชิงเกอมองดวงดาวแล้วนึกถึงขณะที่ออกมาจากบ่อบิน ข้ามมหาสมุทรดวงดาว แสงดาวที่นั่นก็ระยิบระยับเช่นเดียวกับที่นี่

ดาวหางที่บังเอิญแวบผ่าน หางมันยาวเหยียดทำให้นางนึกถึงลั่วซิงเฉิง

ความคิดถึงผุดขึ้นในจิตใจ ‘ขณะนี้ข้าอยู่ที่แผ่นดินเทพตะวันออก ข้าข้ามมหาสมุทรดวงดาวมา แล้ว มองเห็นทิวทัศน์แผ่นดินเทพแล้ว เจ้าล่ะ ที่นี่ห่างไกลจากแดนมารแค่ไหนกัน เวลานี้เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ มีเวลาว่างมองดวงดาวไหม…’

อีกด้านของแผ่นดินเทพมาร แม้ว่าจะเป็นโลกที่ถูกปกคลุมโดยไอมารแต่ก็ยังมีดวงดาว มีความ ระยิบระยับเช่นเดียวกัน

ในพระราชวังไท่ฮวง ซือมั่วยืนอยู่นอกตำหนักจื่อเฉินจ้องมองดวงดาวบนฟ้า ที่ถืออยู่ในมือคือ กระดิ่งที่เขาหล่อหลอมมันด้วยมือตัวเอง เขาอยากรู้จริงๆ ว่าเสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขานั้นกำลังทำอะไรอยู่ในเวลานี้

แต่ เขาทำไม่ได้

เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขา เวลานี้อยู่ในแผ่นดินเทพ เขาจะนำความเดือดร้อนไปให้เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขาหากเขาไม่สามารถหักห้ามใจตัวเองได้

หากว่าเวลานี้ คนของแผ่นดินเทพรู้ว่าเสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขามีความสัมพันธ์กับเผ่ามารจะต้องถูกตามเข่นฆ่าทั่วทั้งแผ่นดินเทพแน่ หากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น เขาสามารถพามู่ชิงเกอเข้ามาในแดนมารได้ แต่เรื่องของมู่ชิงเกอจะทำอย่างไรเล่า นางต้องการล้างแค้น ต้องการฟื้นฟูตระกูลมู่ ต้องหาเคล็ดวิชาเทวะส่วนล่าง…ยังมีเรื่องต่างๆ อีกมากมาย

ดังนั้น เขาทำไม่ได้

ซือมั่วกำกระดิ่งในมือไว้แน่น ร้องถามว่า “ข่าวเคล็ดวิชาเทวะส่วนล่าง สืบไปถึงไหนแล้ว”

สองหมอกดำปรากฎขึ้นที่ข้างกายเขา คุกเข่าข้างเดียวลงบนพื้น พวกเขาก็คือกู่หยากับกู่เย่นั้นเอง

“ตอบองค์ราชา ด้านเผ่าเทพยังคงเก็บความลับของข่าวเคล็ดวิชาเทวะไว้อย่างมิดชิด คนของเราที่นั้นไม่สะดวกในการเคลื่อนไหวจึงยังไม่มีข่าวที่เป็นประโยชน์ส่งมา ข้าน้อยจะติดตามและเร่งรัดพวกเขาต่อไปขอรับ” กู่เย่อธิบาย

ซือมั่วขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางโบกมือ กู่หยากับกู่เย่ก็กลายเป็นควันดำหายไป

เขาหยิบขวดใสออกมาขวดหนึ่ง ข้างในขังสองวิญญาณเทพไว้

สองวิญญาณเทพนั้น หากมู่ชิงเกออยู่ด้วยจะต้องจำได้แน่เพราะพวกเขาก็คือจื่อปัวกับอวี๋กงนั้นเอง

พวกเขากับซือมั่วมีความแค้นที่สังหารมารดาอยู่

หลังจากซือมั่วนำพวกเขากลับแดนมารแล้วก็ใช้วิธีทรมานร้อยแปด ทำลายกายเทพพวกเขาไปนานแล้ว แต่ว่ายังดึงวิญญาณเทพของทั้งสองออกมาขังเอาไว้ในขวดนี้ เวลาอารมณ์ไม่ดีก็จะเอาออกมาทรมาน

เมื่อสองวิญญาณเทพเห็นใบหน้าซือมั่ว ปรากฎอยู่นอกขวดก็ตื่นตระหนกขึ้นมาทันที

พวกเขาทั้งหวาดหวั่นทั้งร้อนรนพูดว่า “เจ้าแห่งมาร โปรดให้อภัยพวกข้าเถอะ”

“เจ้าแห่งมาร ไม่เช่นนั้น ก็ขอร้องฆ่าพวกเราเสีย อย่าได้ทรมานพวกเราเช่นนี้อีกเลย”

แต่ใบหน้าซือมั่วเย็นชา ไม่ได้สนใจการอ้อนวอนของพวกเขา ให้เพลิงมารในขวดเผาผลาญ กัดกร่อนวิญญาณเทพของพวกเขาไปเรื่อยๆ

“อ๊ากกก!”

ในขวด มีแต่เสียงร้องอย่างโหยหวนน่าเวทนา

“เจ้าแห่งมาร…อย่า”

“เจ้าแห่งมาร ฆ่าพวกเราเถอะ”

“เจ้าแห่งมาร พวกเราผิดไปแล้ว ท่านฆ่าพวกเราเถอะ”

แต่ไม่ว่าจื่อปัวกับอวี๋กงจะร้องอย่างทรมานปานไหน ซือมั่วก็ไม่รู้สึกอะไร เขาเก็บขวดกลับคืนแล้ว พูดอย่างเย็นชาว่า “ไว้ตอนที่ข้าได้พบกับเสี่ยวเกอเอ๋อร์อีกครั้ง ไม่แน่ว่าจะให้พวกเจ้าได้ไปสบาย”

ในแดนฮ่วนเยวี่ย มู่ชิงเกอกับถงเถิงนั่งพักอยู่บนบันไดสู่ฟ้าทั้งคืน ตั้งแต่ท้องฟ้ายังมีดวงดาวและดวงจันทร์ลอยเด่นจนกระทั่งดวงอาทิตย์เริ่มขึ้น

ขณะที่แสงอาทิตย์แรกส่องลงบนตัวพวกเขานั้น มู่ชิงเกอก็ราวกับเห็นควันสีม่วงลอยขึ้นในแสงอาทิตย์กลายเป็นหมอกควัน ค่อยๆ จางหายไป

“รังสีม่วงจากตะวันออก” มู่ชิงเกอจ้องควันสีม่วงนั้นพลางพูดพึมพำ

ถงเถิงได้ยินแล้วก็ถามนางว่า “อะไรคือรังสีม่วงจากตะวันออก”

มู่ชิงเกอยิ้ม สั่นศีรษะไม่อธิบาย นางลุกขึ้นยืน บอกถงเถิงว่า “พักพอแล้วหรือยัง ถ้าพอแล้วก็ไปต่อ”

ถงเถิงผงกศีรษะอย่างสดใส ลุกขึ้นยืน ตามมู่ชิงเกอปีนขึ้นไปเรื่อยๆ พวกเขาปีนขึ้นไปอีกทั้งวัน ในที่สุดก็เห็นแสงสว่างของชัยชนะ

ถงเถิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกยินดี หากไม่มีมู่ชิงเกอนำทาง เขาก็ยังไม่แน่ว่าจะปีนขึ้นมาได้

ระหว่างการปีน มีมากกว่าหนึ่งครั้งที่เขาเห็นมู่ชิงเกอตั้งใจหลบขั้นที่ไม่มั่นคง ตะปูที่ใต้เท้าก็มีผลดีมากในการป้องกันการลื่นไถล

เขามองด้านหลังที่โดดเด่นของมู่ชิงเกอ ผุดความซาบซึ้งจากกลางใจ

ครั้งแรกที่เขาตื๊อมู่ชิงเกอ เนื่องจากเขาเป็นอาจารย์ปรุงยา ประสบการณ์จากโลกข้างล่าง ทำให้เขาเข้าใจถึงความสำคัญของการรู้จักอาจารย์ปรุงยา

แต่การอยู่ร่วมกันภายหลัง เขากลับยอมรับอย่างเต็มหัวใจ ยอมรับมู่ชิงเกอลูกพี่คนนี้ และทำตัว เป็นลูกน้องเป็นผู้ติดตามของเขาอย่างจริงจัง

ขั้นบันไดสุดท้าย มู่ชิงเกอเอาสองมือยันพื้น ใช้แรงจากสองแขนกระโดดขึ้นไป

ถงเถิงไม่ยอมน้อยหน้า ยันตัวกระโดดขึ้นมาเช่นกัน

หลังจากทั้งคู่ได้เหยียบลงบนพื้นแล้ว ที่เห็นก็กลายเป็นทิวทัศน์อีกแบบหนึ่ง

ถงเถิงตาค้างมองสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า รู้สึกพูดไม่ออก แม้แต่มู่ชิงเกอเองก็รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในแดนเซียนตามตำนานที่เล่าลือกัน

จะใช้คำพูดอะไรอธิบายดี

มู่ชิงเกอคิดจนปัญญาก็ยังหาคำพูดที่เหมาะสมมาเปรียบเปรยสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าไม่ได้

ทางช้างเผือกจากฟากฟ้า หญ้าเขียวดังหยก เขาเหมือนมังกร ศาลาหอคอย ทุกแห่งต่างสวยงาม วิจิตรจนไม่อาจคิดฝันได้

เมื่อยืนอยู่ที่นี่ก็รู้สึกเพียงมีพลังเทพพวยพุ่งเข้ามา พริบตาเดียวความอ่อนล้าจากการปีนบันไดสู่ฟ้า ก็สูญสลายไปหมดสิ้น

“เดิมเข้าใจว่า ยืนอยู่นอกผืนนํ้าเซียนมองแดนฮ่วนเยวี่ย ก็เป็นแดนเซียนแล้ว ไม่นึกว่ามายืนอยู่ที่นี่ จึงได้รู้ความหมายว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า” ถงเถิงพึมพำ

เวลานี้ ป้ายทั้งคู่ต่างเกิดแสงหนึ่งวาบขึ้น

เสียงที่หนักแน่นราวกับระฆังดังขึ้นอีกครั้ง “ด่านต่อไป ทดสอบความอดทนของพวกเจ้า ให้เดินตามทางสายหยกใต้เท้าจนถึงจุดทดสอบด่านที่สอง”

พูดจบ ใต้เท้ามู่ชิงเกอกับถงเถิงก็เกิดทางสายหยกเส้นหนึ่งยืดออกไป ปรากฎทางสายหนึ่ง

มู่ชิงเกอกับถงเถิงเหยียบขึ้นไป เดินไปตามทางสายหยก

เดินไปพลางก็ชมทิวทัศน์แดนฮ่วนเยวี่ยไปพลาง

ถงเถิงเดินอยู่พักหนึ่งก็ถามอย่างประหลาดใจว่า “แปลกมาก ทำไมแดนฮ่วนเยวี่ยจึงเงียบเชียบนัก ไม่เห็นคนแม้แต่คนเดียว ข้ายังคิดว่าขึ้นมาแล้วจะพบกับลูกศิษย์แดนฮ่วนเยวี่ยเลยนะ”

แววตามู่ชิงเกอเกิดแสงหนึ่งวาบขึ้นแล้วบอกเขาว่า “คงพูดได้เพียงว่า หากไม่ได้เป็นแดน จินตนาการ สถานที่พวกเราอยู่คงยังไม่ใช่จุดศูนย์กลางของแดนฮ่วนเยวี่ย”

อีกครู่หนึ่ง พวกเขาก็เดินมาถึงสุดทางของทางสายหยก ที่นี่มีเสาสองต้นตั้งอยู่ ถูกลมพัดจนแกว่งไกว

ส่วนล่างของเสามีเมฆหมอกเป็นชั้นๆ มองไม่ทะลุถึงโคนเสา

“เบื้องหน้าพวกเจ้า เป็นเหวลึกนับหมื่นจั้ง หากตกลงไปอย่าว่าแต่มนุษย์ธรรมดาเลย มนุษย์เทพก็ยังอยู่ไม่ได้ ด่านที่สองนี้ให้พวกเจ้านั่งอยู่บนเสาสามวันสามคืนโดยไม่ใช้พลังเทพ ถ้าไม่หล่นลงไปก็ถือว่าผ่าน” เสียงนั้นปรากฎขึ้นอีกแล้วก็หายไปทันใด

ถงเถิงตกใจถามมู่ชิงเกอว่า “นี่มันอะไรกัน หากตกลงไปก็ตายแล้ว แสดงว่านอกจากจะชนะแล้ว ก็ไม่มีทางอื่นให้ไปอีก”

มู่ชิงเกอยิ้ม พูดคำที่ถงเถิงฟังไม่เข้าใจ “เขาพูดถูก ไม่ตกลงไปก็นับว่าชนะ”

พูดจบ นางกระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนเสาที่แกว่งไกว ค่อยๆ นั่งลงขัดสมาธิ หลับทั้งสองตาลง ถงเถิงเห็นมู่ชิงเกอเริ่มแล้วแม้ยังหวาดกลัวแต่ก็ยังกลืนนํ้าลาย กัดฟันกระโดดขึ้นไป

แค่ยืนบนเสาเขาก็สั่นไหวไปทั้งร่างแล้ว ไม่ได้นิ่งเฉยเหมือนมู่ชิงเกอ

”อา ลูกพี่ช่วยข้าด้วย…” เท้าลื่นไถล เอียงออกข้างนอกไปครึ่งตัว

มู่ชิงเกอลืมตาขึ้นทันที ตอนนั้นข้างกายนาง ก็มีเงาคนผ่านมาพอดี นางไม่คิดอะไรมากยื่นมือไปจับสายคาดเอวของคนคนนั้น เหวี่ยงไปทางถงเถิง คนที่ถูกมู่ชิงเกอทั้งจับทั้งเหวี่ยงเองก็ไม่ได้คาดคิด ร่างนางชนเข้ากับร่างถงเถิงพอดี จนถงเถิงกลับมานั่งอยู่บนเสาได้อย่างมั่นคงดังเดิม

ส่วนนางคนนั้นก็พุ่งไปทางริมเหวโดยไม่อาจบังคับได้ ดีที่นางมีปฏิกิริยาตอบรับว่องไว แท่งน้ำแข็งปรากฎขึ้นในมือ ช่วยให้นางประคองร่างได้มั่นคง

นางพลิกตัวสวยงามกลางอากาศ ตกลงบนแท่งน้ำแข็งอย่างแผ่วเบา

พอมู่ชิงเกอเห็นใบหน้าคนนั้นชัดเจนก็ร้องออกมาว่า “สวีปิง”

นางนึกอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าคนที่ถูกนางเหวี่ยงออกไปนั้นจะเป็นสวีปิงคนที่บินขึ้นมาพร้อมกับนาง

เมื่อเห็นใบหน้าเย็นเยียบของสวีปิง ทั้งยังนึกถึงเรื่องที่นางเกลียดชังผู้ชายและการชนกับถงเถิงขึ้นมาได้ มุมปากของมู่ชิงเกอก็กระตุกรีบบอกว่า “นี่เป็นการเข้าใจผิดนะ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!