ตอนที่ 596
องค์ราชา พวกเราดูต้นทางให้
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ข้าคิดถึงเจ้า”
ไม่ได้เป็นคำพูดบอกรักที่แสนโรแมนติก ไม่ได้เป็นคำพูดที่สดสวย เป็นเพียงคำพูดง่ายๆ จาก ความรู้สึกก็ทำให้จิตใจมู่ชิงเกอละลายได้
นางยืดแขนออกโอบเอวชายคนนั้นไว้ให้ใบหน้าตัวเองแนบชิดกับแผ่นอกของเขา ฟังเสียงหัวใจเต้นของเขา
ไม่ไกลจากกองไฟยังเผาไหม้อยู่ แสงไฟส่องสว่าง สลัวรางไม่ชัดเจน
‘องค์ราชา พวกเราไปดูต้นทางให้”
กู่หยากับกู่เย่ยืนในที่มืดพูดด้วยนํ้าเสียงมีเลศนัยแล้วกลายเป็นควันดำพุ่งไปทางกองไฟ
มู่ชิงเกอหันไปมองกลับถูกชายคนนั้นขืนศีรษะกลับมา “พวกเขาไม่ตื่นหรอก”
มู่ชิงเกออึ้งไป นางย่อมไม่สงสัยคำพูดซือมั่ว แต่ถามอย่างหนักใจว่า “เจ้าทำอะไรพวกเขา”
นางยังจำได้ว่าระหว่างทางที่มา เวลาพวกเขาพูดถึงเผ่ามารก็มีท่าทางราวกับเจอศัตรูคู่อาฆาต
“ข้าเพียงให้พวกเขาได้หลับสนิทเท่านั้น” ซือมั่วพูดอย่างผู้บริสุทธิ์
มู่ชิงเกอเชิดคางขึ้นเล็กน้อย มองดูใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ใกล้ใบหน้าซือมั่วยังคงดูดียิ่งนัก ไม่ว่าจะมองร้อยหนพันหนก็ไม่เคยเบื่อกลับมีความรู้สึกว่ายิ่งมองยิ่งลุ่มหลง ยิ่งมองยิ่งชอบ ยิ่งมองยิ่งไม่เบื่อ ยิ่งมองยิ่งไม่อยากแบ่งให้คนอื่น
ครั้งก่อนนั้น ขณะที่พบกับราชาเทวะแดนฮ่วนเยวี่ยนางยังตกตะลึงในความหล่อเหลาของอีกฝ่าย รู้สึกว่าเขาเป็นผู้ชายที่ดูดีที่สุดนอกจากซือมั่ว แต่ว่าเวลานี้ เมื่อมองดูซือมั่วนางก็ลืมหน้าตาของราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยไปแล้ว นึกไม่ออกเลยแม้เพียงนิดเดียว
ในสายตา ในดวงใจ นอกจากผู้ชายเบื้องหน้านี้แล้วก็ไม่มีใครอื่นอีก
มู่ชิงเกอมองเขาแล้วพลันเขย่งเท้า สองมือโอบคอชายคนนี้โน้มศีรษะเขาลงมาให้ริมฝีปากทั้งคู่ แนบชิดกัน
กลีบปาก กลิ่นหอมกรุ่นของหญิงสาวจางๆ ทำให้แววตาสีอำพันของซือมั่วเปล่งประกายยินดีออกมา
ทุกครั้งที่เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เขามักจะยินดีแทบคลั่ง
มู่ชิงเกอดูดดึงริมฝีปากที่เย็นนิดๆ ของเขา
ริมฝีปากสีแดงถูกริมฝีปากแดงสดของมู่ชิงเกอเม้มแน่น แล้วใช้ปลายลิ้นดุนผ่านฟัน ใช้แรงงัดออก
ความกล้าของนางทำให้ซือมั่วถูกปลุกเร้า
ความคิดถึงที่ถูกหักห้ามไว้ระเบิดออกมาอย่างเต็มที่ในเวลานี้พลางตอบสนองนางอย่างรุนแรง
ราวกับกลัวว่ามู่ชิงเกอเขย่งเท้าแล้วจะเมื่อย ซือมั่วจึงกอดนางแน่นแล้วค่อยๆ ยกขึ้น ให้สองเท้านางเหยียบบนรองเท้าตัวเองเพื่อลดความเหนื่อยล้าให้นาง
มู่ชิงเกอเหยียบรองเท้าซือมั่ว มุมปากยกขึ้น นางไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีของซือมั่วเพียงใช้การจุมพิตที่ลึกลํ้ามากขึ้นเพื่อตอบแทนความรักใคร่ที่เขามีต่อนาง
ทั้งคู่ไม่ได้พบกันหลายปี แม้ห่างเหินกันมานานเช่นนี้กลับไม่ได้เกิดอุปสรรคหรือความแปลกหน้าต่อกัน แต่กลับระเบิดความใฝ่หาอย่างบ้าคลั่งในจิตใจของพวกเขา
จูบนี้ ต่อเนื่องยาวนานไม่จบสิ้น
ลมหายใจทั้งคู่ต่างเร็วแรง เสื้อผ้ายุ่งเหยิง แต่ก็อาวรณ์ที่จะแยกจาก
ไม่ทราบว่าเป็นเพราะแสงจากกองไฟที่กำลังส่ายไหวบนใบหน้าของพวกเขาหรือไม่ ความรู้สึกเช่นนี้ ทำให้มู่ชิงเกอเกิดความรู้ลึกคล้ายการ ‘ลักลอบ’ พลอดรักกันทำให้เพิ่มความตื่นเต้นมากขึ้น
กู่หยากับกู่เย่ถึงแม้จะรู้แต่แรกและหลบออกไปจนไกลแล้ว แต่ก็ยังหลบไม่พ้นจากฉากแสดงความรักอันเร่าร้อนนี้
ทั้งคู่หันหลังให้เงียบๆ ใช้วิธีทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
ในที่สุด ก่อนที่จะเกินเลยไปกันใหญ่ทั้งคู่ก็แยกออกจากกันอย่างสุดแสนเสียดาย แม้ริมฝีปากแยกออกแล้ว แต่หน้าผากทั้งคู่ยังแนบชิดกันอยู่
“หากไม่ใช่เพราะที่นี่แย่นัก ข้าต้องกินเจ้าแน่” ซือมั่วหายใจแรง เสียงกลายเป็นแหบแห้งชวนหลงใหล
มู่ชิงเกอเองก็ท้าทายอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน “เช่นกัน หากไม่ใช่เพราะที่นี่ไม่เหมาะสม ข้าก็จะกินเจ้าแห่งมารลงท้องเหมือนกัน”
คำพูดนี้ทำให้เปลวไฟในนัยน์ตาซือมั่วลุกโชนขึ้นอีก
แววตาที่ลุกโชนจ้องมู่ชิงเกออย่างพร้อมเข้ารุกราน ราวกับสนัขป่าหิวโหยเตรียมตะครุบแกะ
“ไม่เช่นนั้น พวกเราเปลี่ยนที่ที่เหมาะสม โรมรันเต็มที่เป็นอย่างไร” ซือมั่วส่งสาส์นท้ารบ
แม้ฟังออกถึงความหมายของคำพูดแต่มู่ชิงเกอกลับถอย “เรื่องนั้น…ข้าเข้าเวรอยู่ ละทิ้งหน้าที่ไม่ได้ เรื่องสู้ให้รู้แพ้ชนะ ขอเป็นคราวหน้า เป็นคราวหน้าเถอะ”
สองมือนางผลักอกซือมั่วออก อยากเว้นระยะห่าง เพื่อไม่ให้เปลวไฟลามมาเผาตัวเอง
แต่พอนางแยกออกก็ถูกมือใหญ่ของซือมั่วดึงเข้ามาในอ้อมอกอีกครั้ง พอมู่ชิงเกอซบลงในอกเขา ก็ได้ยินเสียงเขาหัวเราะเบาๆ กระทั้งมือที่ยันอกเขายังรู้สึกถึงการสะเทือนจากเสียงหัวเราะนั้น
มู่ชิงเกอช้อนตามองเขาอย่างไม่เข้าใจ
ดวงตาที่ใสแจ๋ว บ่งบอกถึงความเชื่อใจ บริสุทธิ์ไร้ความระแวดระวัง ทำให้ซือมั่วหลงรักจนไม่ อยากปล่อยมือ อยากจะเก็บภาพที่เย้ายวนใจเช่นนี้ไว้ตลอดไป
แววตาสีอำพันมืดครึ้มขึ้นเล็กน้อย
ซือมั่วจูบเบาๆ ที่เปลือกตามู่ชิงเกอแล้วปลอบนางว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของข้ายังคงขี้อายนัก วาง ใจเถอะ ข้าไม่ทำอะไรเจ้าในเวลานี้หรอก”
“ใครอาย!” มู่ชิงเกอมีแววขุ่นเคืองในดวงตา กัดฟันเหยียบลงบนรองเท้าของเขาอย่างแรง
เมื่อโดนนางเหยียบยํ่าเช่นนี้ รองเท้าของซือมั่วซึ่งเดิมมีแต่รอยเท้านางอยู่แล้วก็ยิ่งกลายเป็นเลอะเทอะหาความงามไม่ได้เข้าไปใหญ่
แต่ซือมั่วไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย กลับมองท่าทางมู่ชิงเกออย่างสนอกสนใจ
มู่ชิงเกอที่เดิมไม่ยอมอ่อนข้อมองสองตาที่มีแต่ความรักเอ็นดูของเขาก็ทำให้เปลวเพลิงโทสะหายไปจนหมด นางพูดอย่างอัดอั้นว่า “ในเรื่องนี้ ข้ายอมรับว่าหน้าไม่หนาเท่าเจ้า”
“พรืด”
ซือมั่วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขาน่ารักเช่นนี้จะไม่ให้เขารักได้อย่างไร ขนาดจะยอมแพ้ก็ยังไม่ลืมที่จะเหน็บเขาอีก
“หัวเราะอะไร” มู่ชิงเกอค้อนเขาขวับ
ซือมั่วพูดอย่างไม่ปิดบัง “ข้าหัวเราะที่เจ้าดีเช่นนี้ แต่กลับเป็นของข้า”
“ผิดแล้ว เจ้าต่างหากที่เป็นของข้า” มู่ชิงเกอแก้
ซือมั่วส่ายหน้าช้าๆ “พวกเราเป็นของกันและกัน”
การสารภาพอย่างกะทันหันทำให้หน้าที่หนาของมู่ชิงเกออดไม่ได้ที่จะแดงขึ้นมา นางเปลี่ยนหัวข้อ “รู้ว่าครั้งนี้เผ่ามารจะมา ไม่นึกว่าเจ้าจะมาเอง”
นางก็รู้สึกแปลกใจ เพราะความจริงซือมั่วไม่น่าจะรู้ว่านางจะมาด้วย
หลังจากนางเข้าแผ่นดินเทพแล้ว ทั้งคู่ก็ขาดการติดต่อไป มีบ้างที่ใช้กระดิ่งส่งความคิดถึง ไม่ใช่ไม่คิดถึง แต่ยันต์ส่งสาส์นที่ซือมั่วให้นางไม่สามารถใช้งานได้ในแผ่นดินเทพ
ราวกับว่า สิ่งกีดขวางที่ตัดขาดระหว่างเผ่าเทพและมารนั้นก็กีดขวางการสื่อสารเหล่านี้ด้วยเช่นกัน
“ย่อมเพราะคิดถึงเจ้าจึงได้มา” ซือมั่วตอบ
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะมา” คำตอบของซือมั่วทำให้มู่ชิงเกอยังงงงัน
ซือมั่วหรี่ตา พูดเรียบๆ ว่า “ราวครึ่งปีก่อน จู่ๆ ข้าก็รู้สึกลึงกลิ่นอายของราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยจาก แผ่นดินเทพตะวันออกได้จากตัวกระดิ่ง”
สองตาของเขานั้นเต็มไปด้วยอารมณ์นึกสนุก
มู่ชิงเกอมุมปากกระตุก ไม่ได้ถามเรื่องอื่นแต่อธิบายทันทีว่า “เวลานั้น ข้าเพิ่งชิงฐานะสิบลูกศิษย์ใหญ่ได้และถูกราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยเรียกตัวไป เขาเอากระดิ่งของข้าไปถือเล่นนิดหน่อย”
มุมปากซือมั่วยกยิ้มขึ้น คำอธิบายของมู่ชิงเกอทำให้เขาดีใจมาก เนื่องจากเขาเข้าใจมู่ชิงเกอดีว่า หากเป็นคนที่นางไม่ใส่ใจ นางก็คร้านที่จะอธิบายเรื่องเหล่านี้
การที่นางยอมอธิบายนั้นก็บอกได้ว่านางใส่ใจเขา ใส่ใจในความรู้สึกของเขา ไม่อยากให้เขาเข้าใจผิด
หลังอธิบายจบ นัยน์ตามู่ชิงเกอก็เป็นประกายมองที่ซือมั่ว “ดังนั้น เพราะเจ้ารู้สึกถึงกลิ่นอาย ของราชาเทวะฮ่วนเยวี่ย คาดเดาว่าข้าอยู่แดนฮ่วนเยวี่ย และครั้งนี้เจ้ารู้ว่าแดนฮ่วนเยวี่ยเป็นตัว แทนเผ่าเทพมาเข้าร่วม เจ้าจึงได้มาเองใช่ไหม”
พูดจบ นางก็ขมวดคิ้วอีกว่า “แต่ถึงแม้เจ้าจะรู้เช่นนี้ก็ไม่แน่ว่าข้าจะมานี่”
แดนฮ่วนเยวี่ยมีลูกศิษย์มากมาย ซือมั่วจะแน่ใจได้แค่ไหนกัน
หากจะอธิบายได้ก็มีเพียงความเป็นได้ที่ว่า…
”เจ้าส่งสายสืบมาแฝงตัวในแดนฮ่วนเยวี่ย’’ มู่ชิงเกอตาเป็นประกายเอ่ยขึ้น
ซือมั่วยิ้มออกมา พยักหน้ายอมรับ
เขาดึงมือนางแล้วอธิบายว่า “สองเผ่าเทพมารเปลือกนอกนิ่งสงบ ภายในคลื่นลมปั่นป่วน ข้าย่อมต้องป้องกันไว้ก่อน ดังนั้นข้าล้วนส่งสายสืบฝังตัวอยู่ในทุกแดนเทพของทุกแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร เพียงแต่จะใช้หรือไม่ใช้เท่านั้น ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยปกติไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องต่างๆ ของเผ่าเทพ มักทำอะไรคนเดียว นิสัยสันโดษ ดังนั้น สายลับที่ฝังตัวในแดนฮ่วนเยวี่ยจึงไม่
เคยได้ใช้งาน จนเมื่อครึ่งปีก่อน ข้าคาดเดาว่าเจ้าอยู่ที่นั้นจึงได้ใช้งานเขา”
“เป็นเช่นนี้เอง” มู่ชิงเกอผงกศีรษะ นางไม่ได้ถามซือมั่วว่าสายสืบเผ่ามารในแดนฮ่วนเยวี่ยเป็นใคร เนื่องจากเรื่องนี้อันตรายอยู่แล้ว ยิ่งรู้น้อยคนก็จะยิ่งปลอดภัยกับสายสืบคนนั้น
ขจัดข้อสงสัยในใจแล้ว มู่ชิงเกอถามอีกว่า “พอคนอื่นสัมผัสกระดิ่ง เจ้าก็จะสามารถรู้สึกได้หรือ”
ซือมั่วพยักหน้า
นี่ทำให้มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว บ่นอยู่ในใจว่า ‘หรือเจ้านี่ใช้กระดิ่งมาคอยคุมข้าว่าข้าได้ไปยุ่งเกี่ยวกับใครหรือไม่’
แน่นอนว่าคำพูดนี้ นางไม่ได้เอ่ยปากถาม
ความจริงนางเข้าใจดี ซือมั่วสร้างอาคมในตัวนางไว้หลายชั้นก็เพื่อความปลอดภัยของนาง ดังเช่น เครื่องมืออำพรางของนาง ซือมั่วก็สร้างอาคมที่ต้านพลังชั้นศักดิ์สิทธิ์ได้ถึงสามชั้นเพื่อรักษาความปลอดภัยให้นาง
“ครั้งนี้เผ่าฉงปรากฎของวิเศษอะไรชั้นหรือถึงทำให้เผ่าเทพมารต่างตื่นตัวกัน” มู่ชิงเกอถาม
ซือมั่วยิ้มบอกว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์สนใจของวิเศษนี้มากหรือ”
มู่ชิงเกอคิดแล้ว พยักหน้าแล้วก็ส่ายหน้า นางบอกตรงๆ ว่า “ก่อนที่จะรู้ว่าเป็นของวิเศษอะไร ข้าก็ไม่ได้สนใจมากนัก ข้าเป็นคนไม่เสแสร้ง หากมีประโยชน์ต่อข้า ข้าก็สนใจ หาวิธีแย่งชิงมา หากไร้ประโยชน์ต่อข้า ต่อให้ดีแค่ไหนข้าก็ไม่อยากได้แม้แต่นิด”
ความจริงใจของนางทำให้นัยน์ตาสีอำพันของซือมั่วยิ้มจนกลายเป็นพระจันทร์เสี้ยว เขาชอบ
ความจริงใจเปิดเผยของมู่ชิงเกอ ชอบทุกทีท่าของนาง ชอบทุกอย่างของนาง
“เช่นนั้นหากว่า…ของวิเศษที่ปรากฎออกมาในครั้งนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อข้าเผ่ามารเล่า” สายตาซือมั่วมองนางอย่างจริงจัง พูดทีเล่นทีจริง
มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นโดยไม่ต้องคิด “เช่นนั้นข้าก็จะช่วยเจ้าแย่งชิงมา”
คำตอบที่ชัดเจนง่ายดายเช่นนี้ทำให้ซือมั่วชะงักไป สักพักเขาก็หัวเราะอย่างชื่นใจ ความสดชื่น ของเสียงหัวเราะนั้นดังก้องไปมาไม่สิ้นสุดอยู่นาน…