ตอนที่ 811
ชูชูน้อยเจ้ามาแล้ว
‘พระชายา นี่เป็นแผนการขององค์ราชา’ เฟิ่งซิ่งถ่ายทอดเสียงมา
แผนการ?
มู่ชิงเกอย่อมรู้ว่าเป็นแผนการของซือมั่ว
เฟิ่งซิ่งบอกอีก ‘องค์ราชาประกาศไปว่า ที่กองทัพมาประชิดชายแดนครั้งนี้ เพราะขณะที่องค์ราชาปิดประตูบำเพ็ญ ราชาเทวะเผ่าเทพหลายคน ไม่สนใจ สัญญาสงบศึก บุกรุกเข้าแดนมารโดยพลการเพื่อลอบสังหารองค์ราชา การกระทำที่ตํ่าช้าเช่นนี้ เผ่าเทพจะต้องให้คำอธิบายกับเผ่ามาร มิฉะนั้นแล้ว เผ่ามารจะลงมือจัดการเอง พร้อมทั้งขอเตือนดินแดนเทพอื่นๆ ว่า ครั้งนี้ทำไปเพื่อตอบโต้ราชาเทวะที่เข้าร่วมการลอบสังหารเท่านั้น หากดินแดนเทพอื่นๆ เข้ามาร่วม จะถูกจัดเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วย’
มู่ชิงเกอฟังอยู่เงียบๆ
นางรู้ว่า ซือมั่วต้องการกดดันแผ่นดินเทพ การลอบสังหารครั้งนี้เกิดจากราชาเทวะเส้าเทียนกับพวกวางแผน พวกเขาเป็นฝ่ายทำลายความสงบของเผ่าเทพมาร จุดชนวนก่อสงคราม เพื่อผลักราชาเทวะกลุ่มนี้ไปอยู่ต้นทางคลื่นลม ทำให้แผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรตกอยู่ในความหวาดหวั่นของสงครามที่ใกล้จะมาถึง
ไม่ว่าเผ่าเทพจะเกรงกลัวเผ่ามารหรือไม่ แต่สำหรับมนุษย์ธรรมดาและมนุษย์เทพในแผ่นดินเทพจำนวนหลายล้านคนแล้ว สงครามก็คือความตายของผู้คนทั้งหลาย
เมื่อเกิดสงครามจิตใจผู้คนก็จะยุ่งเหยิง การดำเนินการต่างๆ ของนางในแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรก็จะสะดวกขึ้น
อีกทั้งกองทัพเผ่ามารเฝ้าอยู่ชายแดนแผ่นดินเทพตะวันตก หากนางต้องการ ซือมั่วก็สามารถร่วมมือกับนางได้ทันเวลา
‘ผู้ชายคนนี้…’ มู่ชิงเกอรู้สึกซาบซึ้งในใจ
ทุกสิ่งที่ซือมั่วกระทำล้วนคิดเพื่อนาง แม้กระทั่งการแก้แค้นก็ยังคำนึงถึงเรื่องนางเป็นอันดับแรก
มีสามีเช่นนี้นางยังต้องการอะไรอื่นอีกเล่า
เก็บงำความซาบซึ้งในใจแล้ว มู่ชิงเกอถามอีกว่า “ระหว่างเทพมารสองเผ่า ไม่ใช่มีสิ่งกีดขวางกั้นอยู่หรือ”
ขณะที่ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยพูดถืงปัญหานี้ ยังไม่ค่อยชัดเจนนัก
‘พระชายาอาจไม่รู้ว่า ระหว่างแผ่นดินเทพกับแดนมารมีสิ่งกีดขวางกั้นอยู่ ทัพใหญ่เข้ามาได้ยาก แต่ก็ใช่ว่าจะเข้ามาไม่ได้ เพียงแต่มีขั้นตอนยุ่งยากอยู่บ้าง แต่ ว่าทั้งหมดนี้องค์ราชาล้วนมีวิธี พระชายาไม่ต้องกังวล’ เฟิ่งซิ่งตอบ
มู่ชิงเกอเงียบไปสักครู่แล้วพูดว่า “ข้าจะออกจากดินแดนฮ่วนเยวี่ย ไปร่วมงานชุมนุมราชาเทวะน้อย”
‘เฟิ่งซิ่งขออวยพรล่วงหน้าให้พระชายามีชัย’ เฟิ่งซิ่งก้มศีรษะพูด
มองเขาแล้ว มู่ชิงเกอกอดถอนที่กั้นเสียงและหมุนกายจากไป
นางกลับดินแดนฮ่วนเยวี่ยได้เพียงสองวัน ก็จากไปลำพังอีกครั้ง
งานชุมนุมราชาเทวะน้อยมีชื่อเรียกที่เพราะพริ้ง อีกว่า โหลวหลานสดับวิถี ที่เรียกกันเช่นนี้ เนื่องจากสถานที่จัดงานชุมนุมครั้งนี้ มีชื่อเรียกว่าโหลวหลาน
โหลวหลานนี้พิเศษมาก มันไม่ได้ขึ้นกับแผ่นดินเทพอื่นใดในแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร แต่เป็นเกาะเล็กๆ ที่ล่องลอยอยู่ในมหาสมุทรดวงดาว ทุกเวลานาทีจะ
เคลื่อนที่ตลอดเวลา ที่ตั้งเองก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย
บนเกาะนี้ไม่มีผู้คน เป็นเกาะร้าง บนนั้นไม่มีทิวทัศน์สวยงาม เป็นที่รกร้าง
แต่กลับมีดีอยู่อย่างหนึ่ง นั้นคือจากที่นั้นสามารถเปิดทางไปสู่แสงแห่งวิถีได้โดยตรง
เรืออากาศของมู่ชิงเกอถูกเจ้าสำนักวิถีโอสถขอยืมไป
ดังนั้นนางจึงใช้ที่ตั้งที่ระบุในก้อนหยก ฉีกขาดช่องว่างลงไปบนเกาะโหลวหลาน
เมื่อยืนอยู่บนเกาะ ทิวทัศน์รกร้างรอบตัวล้วนปรากฎอยู่ในสายตาของนาง ที่นี่ไม่มีต้นไม้ไม่มีแหล่งนํ้า สิ่งที่สะท้อนเข้ามาในสายตานั้นล้วนเป็นเนินทรายสีแดง เป็นแถบๆ
ที่พิเศษนั้นก็คือท้องฟ้าที่นี่ผุดแสงเจ็ดสีออกมาวับๆ แวมๆ คล้ายแสงเหนือ แสงชนิดนั้มู่ชิงเกอไม่ใช่ไม่เคยเห็น
เพราะว่านี่คือแสงแห่งวิถี!
เพียงแต่แสงแห่งวิถีที่พุ่งกระจายมา ไม่ได้เข้มข้น อยู่ภายในไม่สามารถรับรู้ได้ถึงหลักวิถี
มู่ชิงเกอส่งปัญญาเทวะออกไปสำรวจในเกาะโหลวหลาน ค้นหาร่องรอยคนอื่นๆ เมื่อหาไปหนึ่งรอบ นางก็พบว่านอกจากนางแล้วบนเกาะก็ไม่มีใครอื่นอีก
“หรือว่าข้าเป็นคนแรกที่มาถึง” มู่ชิงเกอประหลาดใจพลางเอ่ยพึมพำ งานชุมนุมราชาเทวะน้อยทั้งหมดในแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร ไม่ได้เป็นทางการเหมือนที่คนอื่นๆ คิดไว้
ไม่มีผู้ชม ไม่มีกรรมการ มีเพียงผู้เข้าร่วมแข่งขัน
แพ้ชนะผู้เข้าร่วมแข่งขันต่างรู้กันเอง พอแข่งขันจนรู้ผลแล้วก็จะเปิดแสงแห่งวิถี
รูปแบบ เช่นนี้มู่ชิงเกอดูแล้วค่อนข้างจะเหมือนการสังสรรค์กันเองของชาวบ้าน เหมาะสมที่ใช้คำว่า ‘ชุมนุม’ อย่างมาก
ขณะที่นางเพิ่งพูดจบก็มีแสงหลายสายพุ่งเข้ามาภายในโหลวหลาน
ปัญญาเทวะของมู่ชิงเกอรับรู้ได้ว่ามีคนมา คิดแล้วนางก็ค่อยๆ เดินอย่างสบายใจ มุ่งไปยังที่ที่มีคน
เกาะโหลวหลานไม่นับว่าใหญ่ แต่ก็ไม่เล็กแน่นอน
ช่วงเวลาที่มู่ชิงเกอเดินไป มีคนอีกไม่น้อยลงมาที่นี่อีก อีกทั้งทุกคนต่างใช้ปัญญาเทวะตรวจหาคนอื่นเช่นกัน
ดังนั้นมู่ชิงเกอจึงรู้สึกได้ว่ามีปัญญาเทวะเจ็ดแปดสายกวาดผ่านร่างตนเองไป
ทันใดนั้นฝีเท้ามู่ชิงเกอก็ชะงักแล้วหยุดเดิน
นางรู้สึกถึงปัญญาเทวะที่คุ้นเคยสายหนึ่งกวาดผ่านร่างตนเองไป เกือบในเวลาเดียวกัน เจ้าของปัญญาเทวะนั้นก็มุ่งหน้ามาทางนางอย่างรวดเร็ว
ที่มู่ชิงเกอหยุดลงนั้นก็เพื่อรอนาง
เงาร่างสายหนึ่งมาแต่ไกล ราวกับดาวตกกวาดผ่าน นางหยุดอยู่เบื้องหน้ามู่ชิงเกอ เรียกนางอย่างยินดีว่า “ชิงเกอ”
พอเห็นนาง มู่ชิงเกอก็แย้มรอยยิ้มออกมา “ชูเนี่ยน”
คนมาก็คือชูเนี่ยน นางจดจำชาติกำเนิดของตนได้และกลับไปป่าหวูถง อีกทั้งได้ทำพันธสัญญาเป็นตายกับมู่ชิงเกอในไฟนิพพานอีกด้วย
เวลานี้นางยังคงเป็นราชาเทวะน้อยในดินแดนอู๋หวา การปรากฎตัวอยู่ที่นี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“เจ้ากลับถึงแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรตั้งแต่เมื่อไหร่” มู่ชิงเกอมองนางแล้วถาม
ขณะที่นางจากไป ชูเนี่ยนยังคงรับการฝึกฝนจากเผ่าเฟิ่งหวงในป่าหวูถง
ชูเนี่ยนยิ้มบอกว่า “ข้าก็เพิ่งกลับไป”
พูดแล้ว ดวงตาก็ฉายแววหม่นหมอง ความยินดีในน้ำเสียงก็ลดลง “เพิ่งถึงดินแดนอู๋หวาก็ได้รับก้อนหยก วันนี้จึงรีบร้อนมา ยังไม่มีโอกาสไปดูที่ศาลาอีเยี่ยเลย”
“เรื่องนี้ไม่ต้องรีบ จะได้ไม่ถูกเขาสงสัย ไม่เป็นผลดีต่อเจ้า” มู่ชิงเกอบอก
“ข้ารู้ แต่ก็อดไม่ได้อยากไปเยี่ยมท่านแม่” ชูเนี่ยนพูดด้วยสีหน้าเศร้าสลด
ชาติกำเนิดของนาง สำหรับนางแล้วราวกับโศกนาฏกรรม เห็นโจรเป็นพ่อ บุญคุณที่เลี้ยงดูมาหลายพันปี เทียบกับความแค้นที่ขโมยตัวมารดาไปแต่แรกแล้ว
ก็ไม่รู้จะชดเชยกันได้อย่างไร
“อีกไม่นานนักทุกอย่างก็จะจบลง” มู่ชิงเกอพูดปลอบ
ชูเนี่ยนสูดลมหายใจลึกๆ แล้วพยักหน้า นางบอกมู่ชิงเกอว่า “ท่านพ่อให้ข้ามาถามเจ้าว่าแผนการเจ้าไปถึงไหนแล้ว เผ่าเฟิ่งหวงต้องลงมือเมื่อไร”
มู่ชิงเกอยิ้มว่า “ดูแล้วราชาเฟิ่งคงรอไม่ไหวแล้ว”
อารมณ์ชูเนี่ยนในเวลานี้ได้กลับคืนลู่สภาวะปกติแล้ว นางบอกมู่ชิงเกอว่า “ความรู้สึกของเขาข้าเข้าใจได้ แต่เจ้าก็ไม่ต้องใส่ใจมากเกินไป ทำตามแผนการและจังหวะของเจ้าเถอะ รอมาแล้วหลายพันปียังรอได้พวก เราไม่วู่วามกันหรอก”
“ดี หลังจากเรื่องนี้จบแล้วเจ้ากลับไปดินแดนอู๋ วา ควบคุมทั้งดินแดนอย่างลับๆ แล้วค่อยแจ้งข้า” มู่ชิงเกอพูด
“อืม” ชูเนี่ยนพยักหน้า