Skip to content

ราชินีพลิกสวรรค์ 172

Rachinipiksawan 1

ตอนที่ 172

เหล่าเทียนเจียวตกตะลึง

“ฆ่ามานนน!”

เสียงเข่นฆ่าเสียงดังก้องสนั่นหู เลือดสาดกระเด็นทั่วทิศ ความโหดร้ายของสงครามมัน เกินจากที่เหล่าเทียนเจียวทั้งหลายจินตนาการไว้

แหวะ!

เมื่อคนแรกที่ทนเห็นภาพนี้ไม่ได้ ถึงกับคลื่นไส้วิ่งออกไปข้างๆ

ความมั่นใจของเหล่าเทียนเจียวถึงกับพังทลายลง

เสียงอาเจียงดังขึ้นจากกำแพงอย่างต่อเนื่อง ดึงดูดสายที่เหยียดหยามจากทหารเป่ยฝาง ทั้งหลาย

“นี่แค่เป็นการทดสอบเล็กๆ น้อยๆ ถึงขั้นอาเจียนขนาดนี้เชียว”

“ก็เป็นพวกผู้ดีมีเงิน ใครจะเหมือนพวกข้าที่ผิวหนาหยาบกร้านกันล่ะ”

“ถ้าเป็นร่างกายมีค่าอ่อนแอก็ไม่ควรมา ที่นี่มันใช่ที่พวกคุณชายคุณหนูควรมาไหมเล่า”

“บางทีพวกเขาอาจจะคิดว่ามาเล่นก็เป็นไปได้”

“เล่นอย่างนั้นหรือ! พวกเราพี่น้องสู้มาแทบตายเพื่อปกป้องคนพวกนั่นหรือ ถุย!”

“…”

บทสนทนาที่ไม่มีความเกรงใจแม้แต่น้อย ทำให้เหล่าเทียนเจียวโกรธจนเลือดขึ้นหน้า พวกเขาอยากจะตอบโต้แต่ความคลื่นไส้ที่ทนไม่ได้กลับทุบทำลายความเพ้อเจ้อนี้

ช่างน่ากลัว!

น่าขยะแขยง!

ช่างโหดร้ายนัก!

ลมที่พัดโชยมาจากสนามรบมีกลิ่นคาวเลือดปะปนมาด้วย ทำให้เหล่าเทียนเจียวที่ได้ กลิ่นอดไม่ไหวคลื่นไส้อาเจียนอีกครั้ง

ทันใดนั้นบนรั้วกำแพงเละเทะไปหมด เสียงอาเจียนที่ดังขึ้นยิ่งทำให้สายตาเหยียดหยาม ของเหล่าทหารเป่ยฝางชัดเจนขึ้น

“ท่านแม่ทัพ นี่ท่านหมายความว่าอย่างไรกันแน่” ผู้นำกลุ่มใบหน้าซีดขาว ในมือเขายัง จับผ้าเช็ดหน้าที่มีคราบสกปรกติดอยู่

เสียงซักถามนี้ทำให้นัยน์ตาของลู่ซิ่งเฉาที่อยู่ภายใต้หมวกฉายแววเรียบนิ่ง “พวกเจ้าไม่ ได้มาสังเกตการณ์หรอกหรือ”

“…” คำตอบนี้ทำให้ผู้นำกลุ่มพูดไม่ออก

ทว่าเสียงอาเจียนที่ดังไม่หยุดจากด้านหลังเขา ทำให้ผะอืดผะอมในลำคอตามไปด้วย เขาพยายามกลั้นเอาไว้ พูดกับลู่ซิ่งเฉาด้วยน้ำเสียงแหบ “แต่ว่าเหล่าเทียนเจียวเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย ท่านแม่ทัพ ให้พวกเขากลับไปที่ค่ายพัก…”

“ศัตรูไม่รอให้พวกเจ้าพักผ่อนเสร็จจึงจะรุกมา” คำพูดลู่ซิ่งเฉาขัดจังหวะของผู้นำกลุ่ม

เขาหันไปมองเหล่าเทียนเจียวที่หน้าซีดหมดแรง ความเย็นชาในสายตาเผยให้เห็นชัดเจนพลางพูดเสียงราบเรียบ “เมื่อมาเพื่อมาสังเกตการณ์ อย่างนั้นก็จงดูไว้ให้ดีๆ”

พูดจบ เขาก็ย่างเท้าเดินไปอีกทางหนึ่ง เหมือนกับว่าจะทิ้งพวกเขาไว้ตรงนี้แล้วไปบังคับ บัญชาต่อที่สนามสู้รบ

การจากไปของเขามีอีกคนที่ยังอาลัยอาวรณ์อยู่นั่นก็คือลู่เสวียน เขาหลบซ่อนอยู่

ท่ามกลางผู้คน สายตากลับจับจ้องไปที่ผู้เป็นบิดา

ทุกคำพูดของท่านพ่อ ทำให้เลือดร้อนในกายเขาพลุ่งพล่าน

แต่ทว่าสายตาเจียงหลีตอนนี้กลับจับจ้องไปยังสนามรบนอกกำแพงโดยไม่กระพริบตา เลย รูปร่างลักษณะของนางช่างโดดเด่นสะดุดตาท่ามกลางเหล่าเทียนเจียวยิ่งนัก ดึงดูด ความสนใจของทหารเป่ยฝาง

หญิงสาวในชุดดำยืนหลังตรงไม่เหมือนพวกคนที่อาเจียนไม่หยุด กลับยืนอยู่แถวหน้าสุด จ้องมองสนามรบที่นองไปด้วยเลือด ใบหน้าตึงเครียดเผยให้เห็นความสุขุมที่ไม่ เหมาะสมกับอายุนาง

หญิงสาวคนนี้คือใคร

ณ เวลานี้เหล่าทหารแดนบูรพาจำนวนไม่น้อยถามตนเองในใจอย่างสงสัย

เจียงหลีเองก็ไม่ได้รู้เรื่องนี้เลย นางรู้สึกตกตะลึงกับภาพสนามรบตรงหน้า รู้สึกถึง เรื่องราวที่นางไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนในชาติที่แล้ว

นางไม่เข้าใจสิ่งใดที่ทำให้พวกเขาทุ่มเทต่อสู้จนไม่คำนึงถึงชีวิต

ใช่ฮ่องเต้ที่โง่เขลาในวังหลวงนั่นหรือไม่

หรือว่าจะเป็นลู่ซิ่งเฉาที่รักษาการณ์ที่เป่ยฝางกับพวกเขามาหลายปี

เจียงหลีไม่ใช่ว่าไม่มีประสบการณ์การต่อสู้ เพียงแต่ว่า…ทันใดนั้นก็มีมือหนึ่งบังไว้ ตรงหน้า ปิดกั้นสายตาระหว่างนางกับสนามรบ

สายตาเจียงหลีโฟกัสกลับมาใหม่ ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“อาหลี เลิกมองได้แล้ว” เสียงจิ่งเยี่ยดังมาจากด้านหลังแฝงด้วยความเจ็บปวดและวิงวอน

แววตาเจียงหลีมีแสงวูบวาบ นางรู้จิ่งเยี่ยเจ็บปวดเรื่องอะไร น้องสาวเขาเดิมทีเป็นหญิง สาวอ่อนแอที่อยู่แต่ในห้องและชีวิตที่ไร้กังวล แต่ตอนนี้กลับต้องมาเอาตัวรอดอย่าง ทรหดอีกทั้งยังต้องมาเห็นความโหดร้ายของชีวิตอีก

หากเป็นเจียงหลีคนเดิมคงจะตกใจกลัวกับฉากนองเลือดนี้ แต่ว่าเจียงหลีที่ไม่ใช่เจียงหลี สถานการณ์เช่นนี้ทำได้เพียงให้นางตกตะลึงแต่ยังไม่สามารถทำให้นางกลัวได้

แม้กระทั่งความตะลึงของนาง มาจากกองทัพทหารทั้งสองฝ่ายเข่นฆ่ากันบนสนามรบ อย่างสุดชีวิต

ค่อยๆ ยกมือขึ้นดึงฝ่ามือใหญ่ของจิ่งเยี่ยลงมา เจียงหลีหันสายตากวาดมองรอบกาย เหล่าเทียนเจียวที่อาเจียนไม่หยุดไม่มีใครสังเกตเห็นถึงท่าทางของพวกเขาสองพี่น้อง แม้ลู่เสวียนเองยังจ้องมองทางที่ลู่ซิ่งเฉาจากไปอย่างเหม่อลอย

เกรงว่าที่สังเกตเห็นสิ่งนี้ได้ ก็คือเหล่าทหารเป่ยฝางที่ให้ความสนใจนางอย่างยิ่ง

แต่ว่าเมื่อไม่รู้ต้นสายปลายเหตุเหล่าทหารเป่ยฝางจึงไม่คิดมากกับเรื่องความสัมพันธ์ ระหว่างนางกับจิ่งเยี่ย

เจียงหลีถอนสายตากลับมามองไปที่นัยน์ตาของพี่ชาย พูดด้วยนํ้าเสียงหนักแน่นว่า “ข้า ไม่กลัวหรอก”

จิ่งเยี่ยผงะเงียบกริบสักครู่ ถึงจะเผยรอยยิ้มที่สับสน พูดอย่างตามใจว่า “อาหลี ช่างกล้า หาญจริงๆ”

ความสับสนนั่น เป็นเพราะการเติบโตของเจียงหลีและการเปลี่ยนแปลงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับครอบครัว ทำให้น้องสาวที่ไร้เดียงสาของเขารู้เรื่องรู้ราวและเข้มแข็งขึ้น ตัวต้นเหตุทั้งหมดมาจากผู้ที่นั่งอยู่ในวังหลวงผู้นั้น

ความแค้นที่รุนแรงสะท้อนในดวงตาจิ่งเยี่ย ทำให้เจียงหลีรู้สึกถึงความมุ่งมั่นที่อยากแก้ แค้นว่ามีมากแค่ไหน

“เจ้าเกลียดแค้นตระกูลลู่ไหม” จู่ๆ เจียงหลีก็ถามขึ้นมา

ถึงอย่างไรก็ตามเป็นเพราะเจียงหลินเฟิงช่วยพูดให้กับตระกูลลู่ ถึงได้ถูกใส่ร้ายป้ายสี

จิ่งเยี่ยยิ้มบางพลางส่ายหัวช้าๆ “อาหลี พี่ไม่ใช่คนที่ไม่แยกถูกผิด เรื่องของท่านพ่อไม่ เกี่ยวข้องกับตระกูลลู่ ท่านอ๋องลู่เองก็ทำเพื่อแว่นแคว้นประชาชน โดยรักษาการณ์ที่ชายแดนมาตลอด”

ทันใดนั้น เขาขมวดคิ้วสีหน้าเย็นลง “เพียงแต่ว่า พี่ไม่ชอบลู่เจี้ยเท่านั้นเอง”

เอ่อะ

เจียงหลีมองจิ่งเยี่ยด้วยสีหน้างุนงง ไม่เข้าใจว่าลู่เจี้ยไปขัดใจเขาตอนไหน

สีหน้าจิ่งเยี่ยเย็นชาลงแววตาเปี่ยมไปด้วยความสับสนพลางพูดว่า “เจ้าขี้โรคนั่นบังอาจ ทำให้น้องสาวพี่ต้องมาสู้ชีวิตเพื่อมัน จนได้รับบาดเจ็บไปทั้งตัว”

“…” เจียงหลีอ่านเข้าใจความรู้สึกในแววตาของคนหวงน้องสาวพลันยิ้มเจื่อนๆ อธิบาย “เอ่อะ คือว่า…เรื่องนั้นมันเป็นความต้องการของข้าเอง ไม่เกี่ยวกับเขา”

“มันแย่กว่าเดิมอีก!” จิ่งเยี่ยปากแข็ง

“ไม่ใช่…คือว่า…”

วู! วู!

เสียงแตรสัญญาณโจมตีดังขึ้นกะทันหันขัดจังหวะอธิบายของเจียงหลี สองพี่น้องหัน สายตาพร้อมกัน เห็นสนามเดิมทีเป็นการต่อสู้แบบประจันหน้ากลับดุเดือดขึ้นทันที

“มือธนูเตรียม!”

“มือปาหินเตรียม!”

“ทหารโล่ตั้งขบวน ออกสู้รบ!”

“ทหารหอกตั้งขบวน ออกสู้รบ!”

“แนวหน้าตั้งขบวนงูยาว ด้านซ้ายขวาทหารม้าเตรียม รอสัญญาณโจมตี!”

เสียงออกคำสั่งดังมาเรื่อยๆ ทำให้บรรยายกาศตึงเครียดทันที เหล่าเทียนเจียวที่คลื่นไส้ก็หยุดอาเจียน แต่ละคนต่างเข้าใกล้กำแพงอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ทันใดนั้นทุกคนต่างรู้สึกถึงกระสั่นสะเทือนของพื้นธรณี หินใต้กำแพงเมืองยังกระเด็น กระดอนขึ้นมาจากบนพื้น

“เกิดอะไรขึ้น” เมื่อทุกคนก้มหน้ามองลงไป เห็น…จำนวนมหาศาล

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!