Skip to content

คู่แฝดแสบสุดขั้ว 10

Cover Kf

Chapter 10

ตบ!

พลเอกณรงค์ฤทธิ์พาพิมพิราไปทานอาหารกลางวันที่ร้านฟูจิ

เมื่อไปถึง เขาก็สั่งอาหารมาหลายอย่างซึ่งล้วนแต่เป็นอาหารที่พิมพิราชอบทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเทมปุระกุ้ง เกี๊ยวซ่า โอนิกิริ ปลาแซลมอนย่างราดซอสเทริยากิ ซุปมิโซ ทาโกยากิ ซาซิมิรวม และอูด้ง ฯลฯ

ส่วนเครื่องดื่มเขาก็สั่งชาเขียวร้อนให้ตัวเอง และสั่งชาเขียวเย็นให้เลขา

“ท่านคะสั่งมาตั้งเยอะจะทานกันหมดเหรอคะ?” พิมพิราถาม เพราะถึงแม้ว่าอาหารที่สั่งไปจะเป็นของชอบเธอทั้งนั้น แต่มันเยอะมากจนเธอรู้ดีว่าตัวเองทานไม่หมดแน่ๆ พลเอกณรงค์ฤทธิ์มองหน้าเลขาสาวแล้วก็หัวเราะ “หมดซิครับ แค่แปดอย่างแค่นี้ จิ๊บๆ ครับ คุณพะพิมไม่ต้องกลัวหรอกครับว่าจะไม่หมด ของชอบของผมทั้งนั้นจะกินไม่หมดได้ไงล่ะครับ”

‘อุ้ย! ไอ้ที่สั่งๆ ไปนี่ ท่านก็ชอบกินเหรอ? ไม่ยักรู้แฮะว่าท่านก็ชอบเหมือนกัน’ พิมพิรามองหน้าเจ้านายอย่างประหลาดใจ เพราะดูเหมือนว่าตัวเองกับท่านประธานจะมีอะไรหลายๆ อย่างที่ชอบคล้ายกัน

ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ทาน เพลงที่ชอบฟัง หนังสือที่ชอบอ่าน รวมทั้งชอบดูนาฏศิลป์เหมือนกันอีกต่างหาก

เมื่ออาหารมาเสิร์ฟ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็สั่งกับเด็กเสิร์ฟว่า “น้องขอวาซาบิเยอะๆ เลยนะ”

“ค่ะ” เด็กเสิร์ฟยกอาหารเสิร์ฟวางบนโต๊ะ แล้วก็รีบไปเอาวาซาบิมาเพิ่มให้ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็คว้าถ้วยวาซาบิไปตักวาซาบิใส่ถ้วยน้ำจิ้มแล้วก็เทซอสถั่วเหลืองใส่ลงไป แล้วก็คนๆๆ จนเข้ากัน พิมพิราก็ไม่น้อยหน้า เธอตักวาซาบิใส่ถ้วยตัวเองบ้าง จนพลเอกณรงค์ฤทธิ์มองอย่างตะลึง ‘โห…ชอบวาซาบิเยอะๆ เหมือนเราเลยแฮะ’

แล้วเขาก็ถามว่า “คุณพะพิมก็ชอบทานวาซาบิเหรอครับ?”

“ค่ะท่าน ยิ่งเยอะยิ่งอร่อยค่ะ มันจี๊ดสะใจดีค่ะ” พิมพิราเงยหน้าตอบพร้อมทั้งคนน้ำจิ้มไปด้วย แล้วทั้งคู่ก็ยิ้มให้กัน จากนั้นก็ลงมือจัดการอาหารบนโต๊ะจนเรียบราบคาบ เมื่อทานอิ่มแล้ว พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็จัดการเช็กบิล “น้องเช็กบิลด้วย”

“ค่ะ” เด็กเสิร์ฟรีบเดินไปจัดการตามคำสั่ง ครู่ต่อมาเด็กเสิร์ฟก็กลับมาพร้อมบิลค่าอาหาร พลเอกณรงค์ฤทธิ์ดูบิลแล้วก็ควักกระเป๋าจ่าย “ไม่ต้องทอนนะน้อง”

“ขอบคุณค่ะโอกาสหน้าเชิญอีกนะคะ” เด็กเสิร์ฟไหว้พร้อมกับยิ้มหน้าบานก็ทิปตั้งห้าร้อย นานๆ ทีถึงจะเจอลูกค้าทิปหนักแบบนี้ เย้!

พลเอกณรงค์ฤทธิ์หันไปพยักหน้ากับพิมพิรา “ไปกันเถอะครับคุณพะพิม”

“ค่ะท่าน” พิมพิรารีบลุกจากที่นั่งเดินตามเจ้านายไปโดยเร็ว โดยที่ทั้งคู่ไม่รู้ตัวเลยว่า ถูกปาปารัสซี่ซึ่งบังเอิญมาเห็นเข้าแอบถ่ายรูปเอาไว้ ตั้งแต่นั่งกินข้าวแล้ว พลเอกณรงค์ฤทธิ์เดินนำหน้าพิมพิราขึ้นบันไดเลื่อนตรงไปยังแผนกเสื้อผ้าบุรุษ เมื่อไปถึงเขาก็เดินดูเสื้อผ้าที่โชว์อยู่ แล้วก็หันไปพูดกับเลขาหน้าหวานว่า “คุณพะพิมครับช่วยเลือกให้ผมหน่อยครับ”

“ค่ะท่าน” พิมพิราเดินเข้าไปช่วยเลือกเสื้อยืดโปโลแขนยาวที่แขวนอยู่บนราวมาสามสี่ตัว “ท่านคะ ตัวนี้พะพิมว่าก็สวยนะคะ ตัวนี้ก็ดูดีนะคะ ส่วนตัวนี้ก็เข้าท่านะคะ อ่ะ…ตัวนี้ก็ใช้ได้ค่ะท่าน”

ไม่ว่าพิมพิราจะเลือกแบบไหนมา พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ซื้อหมด หลังจากรูดบัตรเสร็จ พิมพิราก็ยื่นมือจะไปรับถุงกระดาษจากพนักงานขาย พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็รีบแย่งถุงไปถือเอง “ผมถือเองครับคุณพะพิม”

“พะพิมถือให้ดีกว่าค่ะท่าน” พิมพิราบอกพร้อมกับยื่นมือไป พลเอกณรงค์ฤทธิ์แกล้งทำหน้าดุๆ “จะให้คุณถือได้ยังไงล่ะครับ ให้ผมถือแหละดีแล้ว ขืนให้คุณถือนะครับใครๆ เขาจะได้หาว่าผมไม่เป็นสุภาพบุรุษน่ะซิครับให้ผู้หญิงถือของให้”

พิมพิราหดมือกลับ “ค่ะท่าน”

แล้วทั้งคู่ก็เดินเลือกเสื้อผ้าแบรนด์นั้นแบรนด์นี้จนถุงเสื้อผ้าแทบจะล้นมือ จนพนักงานขายต้องเอารถเข็นมาให้ใส่ จนกระทั่งเดินเลือกจนพอใจ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็บอกว่า “คุณพะพิมครับ ผมขอตัวซักครู่นะครับ”

“ค่ะท่าน”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์เดินไปเข้าห้องน้ำ เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จ เขาก็แอบแว๊บลงไปแถวๆ เคาน์เตอร์เครื่องสำอางตรงดิ่งไปยังเคาน์เตอร์ชาแนลทันที

“ชาแนลนัมเบอร์ไฟว์ขวดนึงครับ”

“จะรับขนาดไหนดีคะ? มีขนาด 50 มิลกับ 100 มิลค่ะ” พนักงานขายสาวยิ้มต้อนรับพร้อมกับหยิบขวดน้ำหอมทั้งสองขนาดมาให้ดูเป็นตัวอย่าง พลเอกณรงค์ฤทธิ์ชี้ไปที่ขวดใหญ่ “เอาขวดใหญ่นี่แหละครับ ห่อของขวัญให้ด้วยนะครับ”

“ค่ะ จะรับอะไรเพิ่มอีกไหมคะ? ตอนนี้เรามีน้ำหอมกลิ่นใหม่เพิ่งออกมานะคะ ลองดมดูก่อนซิคะ” พนักงานขายถามพร้อมกับเสนอขายสินค้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พลเอกณรงค์ฤทธิ์รีบปฏิเสธ “ขอบคุณครับ เอาไว้โอกาสหน้านะครับ ตอนนี้ผมรีบครับ”

“อ๋อค่ะ งั้นเชิญชำระเงินด้านนี้เลยค่ะ” พนักงานขายบอกพร้อมกับหันไปหยิบขวดน้ำหอมในสต๊อกแล้วเดินนำหน้าลูกค้าไปยังเคาน์เตอร์ชำระเงิน พลเอกณรงค์ฤทธิ์เดินตามไปรูดการ์ด พอจ่ายเงินเสร็จพนักงานขายก็รีบเอาสินค้าไปห่อของขวัญให้ตามที่ลูกค้าต้องการ ระหว่างรอ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็เขียนการ์ดแล้วส่งให้ให้พนักงานขายติดกล่องของขวัญ ไม่นานนักเขาก็ได้รับสินค้า

“เรียบร้อยแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ”

“ขอบคุณครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์มองดูภายในถุงกระดาษแล้วยิ้มให้พนักงานขาย แล้วก็รีบเผ่นทันที ‘โอย…เกือบจะเป็นลมตาย นี่ถ้าไม่คิดจะซื้อให้คุณพะพิมล่ะก็…จ้างให้ก็ไม่เดินเฉียดมาแถวนี้หร๊อก’

แล้วเขารีบขึ้นบันไดเลื่อนไปหาพิมพิรา เมื่อไปถึงเขาก็เห็นเธอกำลังเลือกเสื้ออยู่กับพนักงานขาย เขาจึงแอบเอาถุงกระดาษใส่ไว้ในรถเข็นพยายามไม่ให้เธอเห็น ครั้นหย่อนถุงกระดาษเรียบร้อยแล้วเขาก็เดินไปหาเธอ “คุณพะพิมครับ ขอโทษครับที่ช้าไปหน่อย”

“ไม่เป็นไรค่ะท่าน พอดีพะพิมก็กำลังเลือกเสื้อไปฝากพ่อซักตัวน่ะคะ” พิมพิราหันไปบอก พลเอกณรงค์ฤทธิ์เดินไปยืนข้างๆ “งั้นก็เลือกไปหลายๆ ตัวเลยนะครับ ผมจ่ายให้เองครับ”

พิมพิรารีบปฏิเสธ “อุ้ย! ไม่เอาหรอกค่ะ พะพิมจ่ายเองดีกว่าค่ะ คือว่าพะพิมเกรงใจน่ะค่ะ”

เธอมองเขาแล้วก็คิดในใจว่า ‘เอ่อ…ไหงท่านคิดจะทำตัวเป็นป๋าใจป้ำแบบนี้ล่ะหว่า?’

พลเอกณรงค์ฤทธิ์พูดแกมขอร้องว่า “ให้ผมจ่ายเถอะครับ ถือว่าตอบแทนที่ใช้งานคุณวันหยุดก็แล้วกันครับ”

“ไม่…” พิมพิราจะปฏิเสธ แต่พอเจอสายตาขอร้องแกมบังคับเธอก็ไม่กล้าปฏิเสธ “เอ่อ…ก็ได้ค่ะท่าน”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยิ้มหน้าบาน เขาเข้าไปช่วยเลือกด้วยอีกคน จากเสื้อตัวเดียวจึงกลายเป็นเสื้อครึ่งโหล เมื่อจ่ายเงินเสร็จ เขาก็คะยั้นคะยอให้เธอไปเลือกเสื้อให้คุณแม่ด้วย “งั้นเราไปดูเสื้อให้คุณแม่คุณด้วยนะครับ”

“ไม่ดีกว่าค่ะท่าน” พิมพิรารีบปฏิเสธ เพราะรู้ดีว่าถ้าไปดูไปเลือกตอนนี้เธอก็ไม่ได้จ่ายเงินเองแหงๆ แต่พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็หาข้ออ้างมาจนได้ “จะไม่ซื้อได้ไงล่ะครับ ซื้อให้แต่คุณพ่อไม่ยอมซื้อให้คุณแม่ด้วย เดี๋ยวคุณแม่ของคุณก็น้อยใจแย่หรอกครับไปเถอะครับ”

“เฮ้อ…ก็ได้ค่ะ” พิมพิราถอนหายใจอยากจะปฏิเสธ แต่ก็ทำไม่ได้ จึงได้แต่เดินตามเจ้านายลงไปที่แผนกเสื้อผ้าสตรี

ขณะที่พิมพิรากำลังเลือกเสื้อให้คุณแม่อยู่นั้น จู่ๆ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ยื่นชุดเดรสกระโปรงยาวดีไซน์หรูสีส้มพาสเทลมาให้ “คุณพะพิมครับ ผมว่าชุดนี้เหมาะกับคุณมากเลยนะครับ”

พิมพิราหันไปมองอย่างงงๆ “คะท่าน?”

เขาเอาชุดหรูใส่มือเธอพร้อมกับออกคำสั่งว่า “เอาไปลองครับ”

แล้วเขาก็หันไปสั่งพนักงานขายว่า “น้องพาคุณไปลองชุดหน่อยครับ”

พนักงานขายรีบเดินเข้ามายิ้มแฉ่ง “คุณคะเชิญทางนี้ค่ะ”

พิมพิราเดินตามพนักงานขายไปอย่างงงๆ ‘เอ…อะไรของท่านอีกล่ะหว่า? อยู่ๆ ก็เอาเสื้อมาให้ลอง  ดูๆ แล้วคงแพงซะด้วย”

เธอพลิกราคาป้ายดูแล้วก็ทำตาโต ‘จ๊าก!… ตั้งห้าหมื่นเก้า!’

เธอหันไปมองเจ้านายทันที ปากบางเคลือบลิปสติกสีหวานขยับจะพูด แต่พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ชิงพูดซะก่อนว่า “วันพฤหัสนี้ผมต้องไปงานแต่งของลูกชายเพื่อนผมแล้วคุณก็ต้องไปกับผมด้วยครับ งานนี้นักข่าวเพียบ ผมก็เลยจะซื้อชุดนี้ให้คุณใส่ไปงานน่ะครับ”

“ค่ะท่าน” พิมพิราหมดโอกาสคัดค้าน ‘เฮ้อ…ออกงานอีกแล้วหนอเรา  เซ็งจริงๆ เล้ย ไอ้งานที่มีแต่พวกไฮโซไฮซ้อเนี่ย แต่งตัวแข่งกันเข้าไป อวดร่ำอวดรวยกันเข้าไป ทั้งๆ ที่บางคน เราเห็นมีแต่หนี้บานตะไท’

เธอเดินตามพนักงานเข้าไปลองเสื้อในห้องลอง เมื่อสวมชุดเรียบร้อยเธอก็ส่องกระจก ‘โห…พอดีเป๊ะ! สงสัยยัยคนขายคงช่วยท่านเลือกแหงๆ เมื่อกี้เห็นมาเมียงๆ มองเราอยู่ นึกว่ามองอะไรที่แท้ก็กะไซส์นี่เอง’

แล้วพิมพิราก็ออกมาโชว์ให้เจ้านายดู

“เป็นยังไงบ้างคะท่าน แพงหูฉี่ขนาดนี้คงออกงานได้ไม่ทำให้ท่านขายหน้าแน่ๆ ค่ะ” เธอประชดนิดๆ พลเอกณรงค์ฤทธิ์อมยิ้มมองชื่นชม “ครับคุณพะพิม สวยมากเลยครับ นี่ขนาดยังไม่แต่งหน้าทำผมนะเนี่ย ถ้าแต่งตัวครบเครื่องรับรองว่าสวยกว่าเจ้าสาวแน่ๆ เลยครับ”

พิมพิราถูกชมซึ่งหน้าจึงเขินจนหน้าแดง ‘ท่านล่ะก็…เล่นชมกันต่อหน้าแบบนี้ก็เขินเป็นนะคะ แถมมองซะตาหวานเชียว อุ้ย! ดูเด่ จ้องเอาจ้องเอาอยู่ได้’

เธอรีบกลับเข้าไปในห้องลองเสื้อทันที พลเอกณรงค์ฤทธิ์หันไปบอกพนักงานขายว่า “ผมซื้อชุดนี้แหละ”

เมื่อพิมพิราเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมา พนักงานขายก็รีบรับชุดเดรสสุดหรูตามท่านลูกค้าซึ่งเดินนำหน้าไปที่เคาน์เตอร์ชำระเงินแล้ว เมื่อจ่ายเงินเสร็จ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็เดินกลับมาช่วยพิมพิราเลือกเสื้อให้คุณแม่ของเธอ

“จะซื้อแค่ตัวสองตัวได้ไงล่ะครับคุณพะพิม ซื้อให้คุณพ่อ 6 ตัว ขืนซื้อให้คุณแม่น้อยกว่าเดี๋ยวท่านก็น้อยใจแย่หรอกครับ”

“แต่ว่า…” พิมพิราจะบอกว่าเกรงใจ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็แย่งพูดซะก่อนว่า “ไม่ต้องเกรงใจผมหรอกครับ ผมเต็มใจจะจ่ายให้ ตอบแทนที่คุณช่วยงานผมไงครับ อย่าคิดที่จะปฏิเสธเลยครับ ให้ผมได้ตอบแทนคุณบ้างเถอะครับ นะครับคุณพะพิม”

เจอสายตาขอร้องแกมบังคับเข้าไป พิมพิราจะพูดอะไรได้นอกจากคำว่า “ค่ะท่าน”

‘เฮ้อ…จะตอบแทนอะไรกันนักฟะ โอทีเราก็ได้  ไอ้ที่รูดปรี๊ดๆ ตอนซื้อเสื้อให้พ่อก็ตั้งเกือบหมื่น  แล้วเมื่อกี้นี้ก็อีกห้าหมื่นเก้า แล้วนี่ท่านจะรูดอีกซักเท่าไหร่เนี่ย เฮ้อ…ไม่เข้าใจคนรวยเลยเฟ้ย’

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ช่วยพิมพิราเลือกเสื้อจนครบ 6 ตัว แล้วเขาก็เดินตามพนักงานขายไปรูดการ์ดจ่ายเงิน พิมพิราหันไปมองรถเข็นที่มีแต่ถุงใส่ของเต็มไปหมดอย่างนึกเสียดายเงินตังค์แทน ‘เฮ้อ…ช้อปวันเดียวตั้งแสนกว่า เท่ากับเงินเดือนเราเกือบทั้งปีเลยนะเนี่ย เห็นแล้วเสียดายตังแทนจังเลยง่ะ’

“คุณพะพิมครับเดี๋ยวเราไปหาอะไรดื่มก่อนนะครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ชวนหลังจากจ่ายเงินเสร็จแล้ว พิมพิราพยักหน้าเห็นด้วย “ค่ะท่าน”

เพราะเธอก็กำลังรู้สึกหิวน้ำอยู่พอดี พลเอกณรงค์ฤทธิ์เข็นรถขึ้นลิฟท์ไปยังร้านสตาร์บัคซึ่งอยู่ชั้นสี่ของห้าง ร้านนี้คนไม่พลุ่กพล่านเท่ากับร้านที่อยู่ชั้นล่าง

“คุณพะพิมอยากดื่มอะไรครับ?” เขาถามเธอหลังจากเลือกโต๊ะด้านหน้าแล้วจอดรถเข็นไว้ข้างๆ พิมพิราหันไปตอบแบบไม่ต้องคิดนาน “นมเย็นค่ะ”

“ครับ ถ้างั้นคุณนั่งรอผมนะครับ เดี๋ยวผมไปสั่งให้” แล้วพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็เดินเข้าไปในร้าน พิมพิรานั่งลงพิงพนักเก้าอี้อย่างอ่อนล้า ก็เดินช้อปปิ้งตั้งแต่บ่ายยันสี่โมงเย็นไม่เมื่อยไม่เหนื่อยก็ให้มันรู้ไปซิ!

ไม่นานนักพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ถือแก้วมา 2 ใบ ใบนึงเป็นลาเต้ร้อนของเขาเอง ส่วนอีกใบเป็นนมเย็นของพิมพิรา เขาวางแก้วลงบนโต๊ะ พิมพิรารีบขอบคุณทันที “ขอบคุณค่ะท่าน”

พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยิ้มรับแล้วก็หย่อนก้นนั่งลงตรงข้ามเลขาคนสวย เขายกแก้วลาเต้ขึ้นจิบ จิบไปก็มองดูผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาอย่างอารมณ์ดี เมื่อดื่มหมด เขาก็ชวนเธอกลับบ้าน “คุณพะพิมครับผมว่าเรากลับกันเถอะครับ”

แม้ว่าใจของเขาจะต่อต้าน อยากจะอยู่กับเลขาหน้าหวานอีกซักนิด ขอให้เห็นหน้าหวานๆ รอยยิ้มสวยๆ อีกซักหน่อย แต่ท่าทางเหนื่อยล้าของเธอทำให้เขาไม่อยากให้เธอต้องฝืนตัวเองมากเกินไป

“ค่ะท่าน” พิมพิราพยักหน้ารับ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ลุกขึ้น เข็นรถใส่ของเดินลิ่วๆ ไปที่รถทันที เมื่อไปถึงที่รถ พิมพิราก็ช่วยขนของใส่ท้ายรถ พอเสร็จสรรพเรียบร้อย เขาก็ขับรถออกจากสยามพารากอนไปส่งพิมพิราที่อพาร์ทเม้นต์

ครั้นไปถึงอพาร์ทเม้นที่พักของเลขาสาว พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ลงไปช่วยแยกถุงเสื้อผ้าท้ายรถส่งให้เธอ พร้อมกับแอบเอาถุงที่ใส่กล่องน้ำหอมปนไปให้ด้วย

“ขอบคุณค่ะท่าน ขับรถดีๆ นะคะ” พิมพิรายิ้มร่ำลายกมือไหว้ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยิ้มรับมองเลขาสาวหอบถุงพะรุงพะรัง อยากจะช่วยหิ้วไปส่งให้ถึงห้อง แต่พิมพิราก็ปฏิเสธเพราะเกรงใจเขา และเขาก็ไม่อยากขัดใจเธอ อีกทั้งก็ไม่อยากให้ใครๆ เอาเธอไปนินทาได้ว่าพาผู้ชายขึ้นห้อง

เมื่อเจ้านายไปแล้ว พิมพิราก็หอบหิ้วของเดินไปกดลิฟท์ ใช้บริการมันซะบ้างเดี๋ยวมันจะเสียใจ! หึๆๆๆ…

ครั้นพอเข้าห้องแล้ว เธอก็วางถุงทั้งหมดลงหันไปถอดรองเท้าวางไว้บนชั้น แล้วก็หันมารื้อของที่ซื้อมาออกจากถุง เธอแยกเสื้อผ้าของพ่อกับแม่เรียงซ้อนกันเอาไว้คนละกองแต่พอถึงถุงกระดาษใบเล็กซึ่งข้างในมีกล่องของขวัญห่อกระดาษผูกโบว์เอาไว้ “เอ๊ะ! ถุงนี้ไม่ใช่ของเรานี่น่า สงสัยท่านคงหยิบผิดติดมาแหงๆ”

เธอหยิบกล่องของขวัญออกมาพลิกดู พอเห็นการ์ดที่เสียบอยู่หน้ากล่อง เธอก็รู้ว่าเจ้านายไม่ได้หยิบผิดมาให้อย่างที่เข้าใจ บนการ์ดใบเล็กๆ เขียนไว้ว่า ‘สุขสันต์วันเกิดล่วงหน้าครับคุณพะพิม ขอโทษครับที่อาทิตย์หน้าผมต้องไปต่างประเทศไม่ได้อยู่ฉลองวันเกิดด้วย หวังว่าคุณคงจะใช้บ้างนะครับ ไม่อยากให้ของชิ้นนี้เป็นหมันเพราะคุณไม่ยอมใช้เหมือนนาฬิกาเลย’

พิมพิราค่อยๆ แกะกล่องของขวัญออกดู “เอ…ท่านให้อะไรหว่า? แล้วแอบไปซื้อตอนไหนล่ะเนี่ย?”

พอแกะออกดูเธอก็อุทานลั่น “ต๊าย! ชาแนลนัมเบอร์ 5 ขวดเบ้อเริ่มเลยอ่ะ”

เธอหยิบขวดน้ำหอมมาฉีดใส่ข้อมือตัวเองแล้วยกขึ้นดม “โห…ห๊อม…หอม”

เธอมองขวดน้ำหอมแล้วก็ยิ้มขำเมื่ออ่านการ์ดอีกหน “ขอบคุณค่ะท่าน รับรองว่าไม่เป็นหมันเหมือนนาฬิกาแน่ๆ ค่ะ ก็แหมใครจะกล้าใส่ล่ะคะนาฬิกาเรือนเป็นล้าน ขืนใส่ไปอวดชาวบ้านเขาล่ะก็…คงไม่พ้นปากซอยหรอกค่ะได้ถูกโจรตีหัวชิงนาฬิกาแหงๆ ค่ะท่าน”

แล้วพิมพิราก็เอาขวดน้ำหอมไปวางไว้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วเธอก็เอาเสื้อผ้าของพ่อกับแม่ใส่ถุงเตรียมไว้คราวหน้ากลับไปเยี่ยมบ้านจะเอาไปฝากพ่อกับแม่ “นี่ถ้ารู้ราคาจะกล้าใส่ไหมนะ…?”

“กรี๊ด! อีนังพิมพิรากับคุณพี่อีกแล้ว” จิตตรีกรี๊ดลั่นบ้านเมื่อเห็นข่าวก๊อซซิบในหน้าหนังสือพิมพ์ เธอฉีกขย้ำหนังสือพิมพ์ในมือจนเป็นเศษเล็กเศษน้อย

“หนอย! เมื่อวานอุตส่าห์ไปหาคุณพี่ที่บ้านตั้งแต่เช้าก็ไม่เจอ ที่แท้ก็ไปเดินห้างกับอีนังพิมพิรานี่เอง คุณพี่นะคุณพี่! แล้วนี่กูจะทำยังไงดีถึงจะเขี่ยอีนังนี่ไปให้พ้นๆ ซักทีนะ?”

เธอนั่งหน้าหงิกอารมณ์เสียอยู่นาน “จะทำยังไงดีนะ!?”

เธอครุ่นคิดหาวิธีที่จะจัดการกับพิมพิราให้ได้แต่ก็ยังไม่เห็นหนทางเลย เธอจึงใช้วิธีการเดิมๆ นั่นก็คือโทรไปหาหลานชาย เพื่อให้ปฐวีทนฟังไม่ไหวต้องรีบแจ้นกลับมาจัดการกับพิมพิรา

“หวัดดีจ้ะตาวี”

“สวัสดีครับคุณน้า” ปฐวีรับสายขณะกำลังจะอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอน

“ตาวี เรารู้รึยังว่าหนังสือพิมพ์เขาลงข่าวว่า เมื่อวานนี้คุณพ่อเราพาแม่พิมพิราไปกินข้าวไปเดินช้อปปิ้งกันจี๋จ๋าเชียวล่ะ”

“ยังไม่รู้ครับคุณน้า” ปฐวีปฏิเสธด้วยน้ำเสียงเฉยชา ‘เฮ้อ…พ่อจะไปไหนกับใครแล้วเกี่ยวกับเราตรงไหนน้อ’

จิตตรีรีบใส่ไฟทันที “ยังไม่รู้ งั้นก็รู้ไว้นะจ๊ะ วีจ๊ะน้าล่ะไม่อยากจะพูดเลย วันก่อนนะ น้าเห็นแม่พิมพิราส่งเงินส่งทองให้ผู้ชายเป็นฟ่อนเลยล่ะจ้ะ น้าไม่คิดเลยนะจ๊ะว่าหน้าเด็กๆ ดูใสๆ ซื่อๆ อย่างงั้นจะกล้าเลี้ยงผู้ชาย นี่ถ้าน้าไม่เห็นกับตานะจ๊ะน้าไม่เชื่อเด็ดขาด น้าก็ไม่รู้หรอกนะว่าคุณพ่อเราเขาให้แม่พิมพิราใช้เดือนล่ะเท่าไหร่กัน แต่น้าว่าถ้าแม่พิมพิราเที่ยวเลี้ยงผู้ชายอย่างนี้ล่ะก็…น้ากลัวว่าคุณพ่อเราคงจะถูกแม่คนนี้สูบจนหมดตัวแน่ๆ จ้ะ”

“เหรอครับคุณน้า” ปฐวีตอบน้ำเสียงเฉยๆ แต่ในใจนั้นร้อนรนนึกเป็นห่วงคุณพ่อกลัวว่าจะถูกเด็กหลอกอย่างที่คุณน้าบอก

เขาฟังคุณน้าโทรมาเล่าเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับพิมพิรา จนเขาจำได้เลยว่าถ้าคุณน้าของเขาขึ้นต้นด้วยประโยคที่ว่า ‘วีจ๊ะน้าล่ะไม่อยากจะพูดเลย’ เมื่อไหร่ล่ะก็…เชื่อขนมกินได้เลยว่าเดี๋ยวคุณน้าของเขาก็ต้องพูดถึงพิมพิราให้เขาฟังทุกครั้งไป จนเขาแทบอยากจะรีบกลับเมืองไทยไปดูให้เห็นด้วยตาตัวเอง แต่ก็ยังกลับไม่ได้เพราะติดเรียนหนัก จึงได้แต่รอเวลาเท่านั้น ครั้นอึดอัดใจมากก็โทรไประบายให้คุณแม่ฟัง

“คุณพ่อของลูกไม่ใช่คนโง่นะจ๊ะวี ถ้าหากคุณพ่อคิดว่าเด็กคนนั้นเป็นคนดีก็ปล่อยท่านเถอะลูก” คุณหญิงจิตตราบอกน้ำเสียงราบเรียบเตือนสติลูกชาย

“แต่คุณแม่ครับ ผมกลัวว่าคุณพ่อจะตามเล่ห์เหลี่ยมเด็กคนนั้นไม่ทันน่ะซิครับ” ปฐวีพูดอย่างเป็นห่วง คุณหญิงจิตตราถอนหายใจ “เอาเถอะถ้างั้นแม่จะลองเตือนคุณพ่อให้นะจ๊ะ”

แล้วเธอก็ถามว่า “แล้ววีจะมาหาแม่อีกเมื่อไหร่ล่ะ? แม่คิดถึงนะ”

“อาทิตย์หน้าครับคุณแม่ ผมจองตั๋วไว้แล้วครับ” ปฐวีบอก คุณหญิงจิตตราพยักหน้าดีใจ “จ้ะลูก แม่จะรอนะ”

“คุณแม่ครับ ผมต้องไปแล้วล่ะครับ ผมรักคุณแม่นะครับ” ปฐวีบอกพลางเหลือบมองนาฬิกาเพราะนัดกับเพื่อนเอาไว้

“จ้ะ รักษาตัวดีๆ นะลูก” คุณหญิงจิตตราบอกด้วยความรัก

“ครับคุณแม่ คุณแม่ก็ดูแลตัวเองดีๆ นะครับ ผมไปล่ะครับ บ๊ายบายครับ” ปฐวีพูดแล้วก็ตัดสายไป คุณหญิงจิตตรามองโทรศัพท์แล้วก็ถอนหายใจ เธอวางโทรศัพท์แล้วก็ลุกไปชงชา นึกห่วงอดีตสามีแต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ เขาจะคบกับใครก็เป็นเรื่องของเขา เธอไม่อาจเข้าไปยุ่งได้ ทำได้แต่คอยฟังข่าวจากเพื่อนๆ ที่เมืองไทย

วันต่อมา จิตตรีก็ไปหาอดีตพี่เขยที่บริษัท พิมพิราเงยหน้าจากแฟ้มเอกสารลุกขึ้นยืนมองด้วยสายตาเย็นชา

“สวัสดีค่ะ” เธอไหว้ตามมารยาท

“คุณพี่อยู่ไหน” จิตตรีถามห้วนๆ

“ท่านไม่อยู่ค่ะ” พิมพิราตอบ จิตตรีสะบัดหน้าเดินไปผลักประตูห้องเข้าไปดู พอไม่เจอก็กลับออกไปถามว่า “คุณพี่ไปไหน?”

“ไม่ทราบค่ะ” พิมพิราตอบน้ำเสียงราบเรียบ

“นังโง่เป็นเลขาภาษาอะไร! เจ้านายไปไหนทำไมถึงไม่รู้ห๊ะ!” จิตตรีตวาดด่า พิมพิรานึกโกรธปรี๊ด! เธอพยายามข่มอารมณ์สุดฤทธิ์แล้วก็ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ท่านไม่ได้บอกจะทราบได้ไง”

จิตตรีเต้นผาง! “นี่แกย้อนฉันเหรอนังโง่!”

“ค่ะดิฉันมันโง่ แต่ก็ไม่โง่ถึงขนาดเที่ยววิ่งพล่านตามจับผู้ชายเหมือนคุณป้าหรอกค่ะ” พิมพิราด่าอย่างเจ็บแสบ

“แก!” จิตตรีถลันเข้าไปตบฉาด! เพี๊ยะ!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!