Chapter 4
ทานข้าวร่วมกับท่านประธาน
“ค่ะท่าน” พิมพิรารับคำแล้วก็ก้มหน้าก้มตาจดยิกๆ ลงบนสมุดพก พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก้มมองนาฬิกาข้อมือตัวเองนิดนึงแล้วก็บอกว่า “นี่ก็เกือบจะหกโมงแล้ว นพไปโรงแรมพลาซ่าแอทธีนี่เลยนะ กว่าจะฝ่ารถติดไปถึงก็คงทุ่มนึงพอดี”
“ครับท่าน” นพรับคำแล้วก็หันไปสนใจถนนหนทางต่อ พลเอกณรงค์ฤทธิ์หันไปมองรถราที่ติดอยู่บนท้องถนนเป็นแพยาวเหยียด
จนกระทั่งรถวิ่งไปจอดหน้าโรงแรม พนักงานของโรงแรมรีบเดินเข้าไปเปิดประตูรถอย่างว่องไว พิมพิรารีบลงจากรถมายืนคอยเจ้านาย พลเอกณรงค์ฤทธิ์หันไปสั่งคนขับรถก่อนลงจากรถว่า “นพเอารถไปเก็บแล้วรีบตามไปที่ห้องอาหารนะ”
“ครับท่าน” นพรับคำ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ลงจากรถแล้วเดินเข้าไปภายในโรงแรม พิมพิราเดินตามไปติดๆ พนักงานของโรงแรมให้การต้อนรับเป็นอย่างดีสมกับที่ถูกฝึกมา
ครั้นเมื่อไปถึงห้องอาหารพนักงานต้อนรับประจำห้องอาหารก็รีบเข้ามาทักทาย “สวัสดีครับท่าน เชิญที่โต๊ะเลยครับ”
พนักงานรีบเชื้อเชิญไปที่โต๊ะเพราะจำได้เป็นอย่างดีว่าเป็นลูกค้าประจำของห้องอาหารแห่งนี้ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ทักทายตอบระหว่างที่เดินตามไป “สวัสดีครับ เผอิญว่าวันนี้เพื่อนผมมาไม่ได้ ผมก็เลยอยากจะเปลี่ยนจากที่จองไว้ 2 โต๊ะเป็นโต๊ะเดียวครับ”
“ได้ครับท่าน เชิญเลยครับ” พนักงานต้อนรับบอกแล้วก็รีบเลื่อนเก้าอี้ให้ลูกค้านั่ง โต๊ะที่จองไว้อยู่ชิดกระจกบานใหญ่ติดกับน้ำพุด้านนอก บรรยากาศโดยรอบสวยงาม สงบร่มรื่น พลเอกณรงค์ฤทธิ์หันไปบอกเลขาหน้าหวานพร้อมกับชี้ไปยังเก้าอี้ที่พนักงานต้อนรับเลื่อนไว้รอ “คุณพะพิมครับ เชิญนั่งครับ”
“ให้พะพิมนั่งตรงนี้เหรอคะ อ้าวแล้วท่านจะนั่งตรงไหนล่ะคะ?” พิมพิราทำหน้าเหวอ เมื่อจู่ๆ ท่านประธานก็สั่งให้เธอนั่งร่วมโต๊ะด้วย เพราะปกติเธอจะนั่งร่วมโต๊ะกับคนขับรถระหว่างที่รอเจ้านาย พลเอกณรงค์ฤทธิ์จึงชี้ไปที่เก้าอี้อีกตัว “ผมก็นั่งตรงนี้ซิครับ”
เขาบอกพร้อมกับเลื่อนเก้าอี้เองแล้วก็นั่งลงเสร็จสรรพแล้วหันไปสั่งเธอว่า “นั่งซิครับคุณพะพิม”
“ค่ะ” พิมพิราจึงนั่งลงตามคำสั่ง พนักงานต้อนรับเลื่อนเก้าอี้เข้าไปให้พอดีพร้อมกับหยิบผ้าเช็ดปากบนโต๊ะมากางปูให้บนตัก
โอ้ยตาย! งานเข้าแล้วเรา นั่งร่วมโต๊ะกับท่านจะกินข้าวอร่อยป่ะเนี่ย อย่าเผลอทำซุ่มซ่ามให้ท่านหัวเราะเยาะนะย่ะยัยพะพิม ไม่งั้นล่ะก็…ขายหน้าท่านแย่เลย พิมพิราทำหน้าเจื่อนๆ ทำตัวลีบๆ จนพลเอกณรงค์ฤทธิ์ได้แต่แอบขำอยู่ในใจ เอ้า…ดูทำหน้าเข้าซิ ยังกับอยู่บนลานประหารงั้นแหละ
เขารู้ว่าพิมพิราเกร็งๆ ที่ต้องนั่งร่วมโต๊ะด้วยกัน เขาบอกเธอว่า “เดี๋ยวนพมาให้นพนั่งตรงนี้ วันนี้กินข้าวด้วยกันครับ”
พิมพิรามีสีหน้าดีขึ้นเมื่อได้ยินเจ้านายบอก ค่อยยังชั่ว นึกว่าจะต้องนั่งกินข้าวกับท่านสองคนซะอีก
เมื่อนพมาถึงพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็หันไปบอกว่า “นพนั่งซิ วันนี้กินข้าวด้วยกันนะ”
“ขอบคุณครับท่าน” นพไหว้พร้อมกับกล่าวขอบคุณ แล้วเขาก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่อย่างไม่เก้อเขินเพราะถูกเจ้านายชวนร่วมโต๊ะอยู่บ่อยครั้ง พนักงานต้อนรับเข้ามาดูแลบริการให้ทันทีพร้อมกับส่งเมนูเครื่องดื่มให้ดู “เมนูครับ”
พลเอกณรงค์ฤทธิ์รับเมนูไปดูแล้วก็สั่งว่า “ลาเต้ร้อนแก้วนึงครับ”
แล้วเขาก็หันไปถามเลขาว่า “คุณพะพิมจะดื่มอะไรครับ?”
พิมพิราเงยหน้าจากเมนูเครื่องดื่มที่กำลังดูอยู่มองเจ้านายแล้วก็หันไปสั่งกับพนักงานต้อนรับว่า “ขอนมเย็นแก้วนึงค่ะ”
อ้อ ลืมไป เด็กน้อยยังไม่อดนมนี่หว่า พลเอกณรงค์ฤทธิ์คิดในใจแล้วก็พูดว่า “งั้นเราไปตักอาหารกันเถอะครับ ไปเถอะนพ”
ห้องอาหารแห่งนี้จัดแบบบุบเฟ่ต์คิดค่าอาหารเป็นรายหัว มีอาหารให้เลือกมากมายเต็มไปหมด พอเจ้านายลุก ลูกน้องก็รีบลุกตาม พิมพิราเดินไปตักอาหารที่ตัวเองชอบใส่จานมาพอประมาณ พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็คอยแอบชำเลืองดูว่าเลขาชอบกินอะไรบ้างด้วยความสนใจพร้อมกับตักอาหารใส่จานตัวเองไปด้วย ‘อ้อ ชอบกิน……’
ส่วนนายนพก็เดินไปเลือกๆ หยิบๆ แต่ของที่ตัวเองชอบมาจนเต็มจาน แต่ก่อนที่พลเอกณรงค์ฤทธิ์จะลงมือทานอาหาร พิมพิราก็ยื่นถุงยาไปให้พร้อมกับบอกว่า “ท่านคะ ยาก่อนอาหารค่ะ”
“ขอบคุณครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์รับถุงยาไป เขาเปิดถุงหยิบยาออกมา 2 เม็ดตามที่ระบุไว้บนซองยา แล้วเขาก็หยิบยาใส่ปากตามด้วยน้ำกลืนอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเขาก็ลงมือทานอาหาร แม้จะทุลักทุเลเพราะเจ็บแผลที่มืออยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรนักหนา พิมพิราจึงลงมือจัดการกับอาหารในจานตัวเองบ้าง แม้จะรู้สึกแปลกๆ เขินๆ ที่ต้องร่วมโต๊ะกับเจ้านายแต่เธอก็พยายามเก็บอาการ ส่วนนพนั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะเก้อเขินเอียงอายไม่เคยอยู่ในหัวสมองมีแต่คำว่า ‘ลาภปาก’ ที่เจ้านายมีเมตตาให้ร่วมโต๊ะด้วย
ระหว่างที่กำลังรับประทานกันอยู่นั้น พลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ชวนพิมพิราคุยไปด้วย “คุณพะพิมครับ ตั้งแต่คุณมาทำงานกับผมถ้ามีเรื่องอะไรที่ทำให้คุณลำบากใจก็บอกผมได้นะครับ ผมอยากให้คุณทำงานกับผมอย่างมีความสุขนะครับ”
“ขอบคุณค่ะท่าน” พิมพิราไหว้ขอบคุณแล้วก็กินต่อไปเรื่อยๆ จนนพมีท่าทีว่ากินอิ่มแล้วพลเอกณรงค์ฤทธิ์จึงหันไปขยิบตาส่งสัญญาณไล่ ‘ไปได้แล้ว’
นพจึงรีบบอกว่า “ท่านครับผมขอไปห้องน้ำก่อนนะครับ”
“เออไปเถอะ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์พยักหน้าให้ นพก็รีบลุกไปทันที เมื่อนพไปแล้วพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็หันไปชวนพิมพิราคุยต่อ “คุณพะพิมครับ จะเป็นการเสียมารยาทรึเปล่าครับ หากว่าผมจะถามเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของคุณ”
“คะ ท่านจะถามอะไรล่ะคะ?” พิมพิราทำหน้าตาสงสัย เอ…ท่านจะถามอะไรหว่า?
“เอ่อ…ผมอยากรู้ว่าครอบครัวของคุณ เอ่อ…ผมหมายถึงคุณพ่อคุณแม่ของคุณน่ะครับ ทำอาชีพอะไรครับ?”
“อ๋อ…คือว่าคุณพ่อคุณแม่ของพะพิมทำสวนมะกรูดกับสวนมะนาวอยู่ต่างจังหวัดน่ะค่ะท่าน”
พลเอกณรงค์ฤทธิ์พยักหน้ารับรู้แล้วก็ถามต่อว่า “แล้วรายได้ดีหรือเปล่าครับ ผมหมายถึงว่าปีๆ นึงมีรายได้เท่าไหร่น่ะครับ?”
พิมพิราคำนวณคร่าวๆ แล้วก็ตอบว่า “ก็ไม่มากหรอกค่ะท่าน ซักประมาณปีละ 5 แสนค่ะท่าน หักค่าปุ๋ยค่ายาค่าคนงานแล้วก็เหลือไม่เท่าไหร่หรอกค่ะท่าน แค่พอให้กินพอให้ใช้ไม่ต้องเป็นหนี้เขาเท่านั้นแหละค่ะ”
พลเอกณรงค์ฤทธิ์รีบถามต่อว่า “แล้วคุณพะพิมมีพี่น้องกี่คนครับ?”
“พะพิมมีน้องสาวอีกคนนึงค่ะ” พิมพิราตอบแล้วก็ยกแก้วน้ำขึ้นจิบนิดนึง พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยกแก้วน้ำขึ้นจิบบ้างก่อนจะถามต่ออีก “อายุซักเท่าไหร่ครับ? กำลังเรียนชั้นไหนอยู่ครับ?”
“น้องสาวของพะพิมเขาอ่อนกว่าพะพิมนิดเดียวเองค่ะ ตอนนี้กำลังเรียนต่อปริญญาโทอยู่ที่อังกฤษน่ะค่ะ” พิมพิรารีบพูดต่อทันทีเมื่อท่านประธานทำหน้าสงสัยประมาณว่าทำสวนรายได้ปีละ 5 แสนมีเงินเหลือขนาดส่งลูกเรียนต่อต่างประเทศเลยหรือเนี่ย
“คือว่าเขาสอบชิงทุนได้น่ะค่ะท่าน”
“อ๋อครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์พยักหน้าเข้าใจแล้วก็ชมว่า “แสดงว่าคงจะเรียนเก่งเหมือนกับคุณพะพิมแน่ๆ เลยใช่ไหมครับ แหมผมชักอยากจะรู้แล้วล่ะซิว่าคุณพ่อคุณแม่ของคุณสอนลูกยังไงถึงเรียนเก่งทั้งพี่ทั้งน้องเลย อย่างนี้ว่างๆ ผมคงต้องหาโอกาสไปกราบท่านแล้วขอเรียนรู้วิธีเลี้ยงลูกให้เรียนเก่งซักหน่อยแล้วล่ะครับ”
พิมพิราหน้าแดงน้อยๆ ที่จู่ๆ ท่านประธานก็ชมกันซึ่งๆหน้า “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะท่าน พะพิมก็ไม่ได้เรียนเก่งอะไรนักหนากว่าจะเรียนจบมาได้ก็ต้องขยันอ่านหนังสือจนตาแฉะเลยค่ะ วันๆ เอาแต่ท่องตำราขลุกอยู่แต่ในห้องสมุดจนแทบจะไม่เห็นเดือนเห็นตะวันกับเขาหรอกค่ะ”
“โห…ขนาดว่าไม่เก่งยังคว้าเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง แล้วถ้าเรียนเก่งสงสัยคงจะเป็นอัจฉริยะแน่ๆ เลยมั้งครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์แกล้งแซว จนพิมพิราเผลอค้อนให้ด้วยความหมั่นไส้ “แหมท่านล่ะก็…พะพิมขอตัวไปตักของหวานดีกว่า”
แล้วเธอก็รีบลุกไปทันที พลเอกณรงค์ฤทธิ์มองตามพร้อมกับอมยิ้มน้อยๆ น่ารักดีแฮะ
เมื่อพิมพิรากลับมาที่โต๊ะพร้อมกับผลไม้เต็มจาน พลเอกณรงค์ฤทธิ์จึงลุกไปตักของหวานบ้าง
หลังจากทานเสร็จแล้วพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็ชวนกลับบ้าน “ผมว่าเรากลับกันเถอะครับ นี่ก็เกือบจะ 3 ทุ่มแล้วกว่าจะถึงบ้านเดี๋ยวจะดึก พรุ่งนี้ผมต้องตื่นแต่เช้าเข้ากระทรวงซะด้วยซิครับ”
“ค่ะท่าน” พิมพิราพยักหน้ารับแล้วก็จัดการเช็กบิลทันที “น้องคะเช็กบิลด้วยค่ะ”
พอสั่งพนักงานเสิร์ฟแล้ว เธอก็รีบโทรบอกคนขับรถให้เอารถมารับ “น้านพคะท่านจะกลับแล้วค่ะ น้านพเอารถมาคอยรับท่านได้เลยค่ะ”
“ครับคุณพะพิม” นพรับคำสั่งแล้วก็วางสาย เขารีบเดินไปที่รถทันที
หลังจากนั้นพลเอกณรงค์ฤทธิ์ก็เดินออกไปพร้อมกับพิมพิรา พิมพิรายกมือไหว้ลาท่านประธานทันที “งั้นพะพิมลาล่ะค่ะท่าน”
พลเอกณรงค์ฤทธิ์รีบบอกว่า “เดี๋ยวผมให้นพไปส่งที่บ้านนะครับ”
พิมพิราทำหน้าเหวออีกครั้ง “ให้น้านพไปส่งพะพิมที่บ้าน แล้วท่านล่ะคะจะกลับยังไง?”
พลเอกณรงค์ฤทธิ์ยิ้มขำกับท่าทีของเลขาสาว “ผมก็นั่งไปด้วยซิครับ คือผมหมายความว่าให้นพไปส่งคุณที่บ้านก่อน เพราะตอนนี้มันก็ดึกแล้วจะให้คุณไปขึ้นรถเมล์กลับบ้านก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่คุณจะถึงบ้าน แล้วอีกอย่างผมก็ไม่อยากให้คุณเรียกแท็กซี่ด้วย เกิดแท็กซี่มันพาคุณไปฆ่าปาดคอขึ้นมาผมก็เสียเลขาซิครับ”
พิมพิราพยักหน้าเข้าใจ ก็ดีเหมือนกันแฮะ ถ้านั่งรถเมล์กว่าจะถึงบ้านก็คงเกือบ 4 ทุ่มแหงๆ ขืนเรียกแท็กซี่ไปก็แพงแถมอันตรายด้วย ท่านให้น้านพไปส่งก็ประหยัดตังค์ไปได้เยอะเลย
เธอรีบไหว้ขอบคุณ “ขอบคุณค่ะท่าน”
พลเอกณรงค์ฤทธิ์พยักหน้ารับแล้วก้าวเข้าไปนั่งในรถ พิมพิรารีบขึ้นรถตามอย่างว่องไว พนักงานของโรงแรมซึ่งเปิดประตูรถรอก็รีบปิดประตูให้พร้อมกับค้อมไหว้ด้วยความนอบน้อม
“นพเดี๋ยวไปส่งคุณพะพิมกลับบ้านก่อนนะ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์สั่ง นพรับคำ “ครับท่าน” แล้วเขาก็มองกระจกหลังพลางถามพิมพิราว่า “คุณพะพิมครับ บ้านคุณอยู่ไหนครับ?”
“อยู่ใกล้ๆ กับออฟฟิตนั่นแหละค่ะน้านพ เลยออฟฟิตไปซอยเดียวแล้วเข้าซอยไปประมาณ 300 เมตรค่ะ” พิมพิราตอบ พลเอกณรงค์ฤทธิ์หันไปถามด้วยความสงสัยแกมอยากรู้ว่า “อ้าว…บ้านคุณพะพิมอยู่ใกล้ๆ กับออฟฟิตเหรอครับเนี่ย?”
“ค่ะท่าน คือพะพิมเพิ่งย้ายมาน่ะค่ะ เมื่อก่อนพะพิมเช่าห้องอยู่ใกล้ๆ กับจุฬาฯน่ะค่ะ พอมาทำงานที่นี่ พะพิมก็เลยย้ายมาอยู่ใกล้ๆ กับออฟฟิตน่ะค่ะ จะได้ไม่ต้องตื่นแต่เช้ามากนัก แล้วก็ไม่ต้องเจอรถติดด้วยค่ะท่าน”
พลเอกณรงค์ฤทธิ์พยักหน้ารับรู้ ถึงว่าซิ มาทำงานแต่เช้าทุกวัน ที่แท้ก็อยู่ใกล้ๆ กับออฟฟิตนี่เอง มิน่าล่ะ เวลาเลิกงานเลยไม่เห็นต้องรีบกลับบ้านเหมือนคนอื่นเขา เด็กคนนี้ฉลาดจริงๆ ตอนเรียนก็อยู่ใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัย พอทำงานก็ย้ายมาอยู่ใกล้ๆ ออฟฟิต ประหยัดค่ารถแล้วก็ประหยัดเวลาด้วย เยี่ยมไปเลย
แล้วเขาก็หันกลับไปมองถนนต่อ
จนกระทั่งมาถึงหน้าอพาร์ทเม้นต์อันเป็นที่พักของพิมพิราซึ่งเป็นอาคารขนาดกลางสูง 8 ชั้น บรรยากาศโดยรอบก็พอใช้ได้ไม่พลุ่กพล่านเกินไป พิมพิรารีบไหว้ขอบคุณท่านประธาน “ขอบคุณค่ะท่านที่กรุณามาส่ง”
แล้วเธอก็หันไปไหว้นพ “ขอบคุณค่ะน้านพ”
จากนั้นเธอก็รีบเปิดประตูรถ ก้างลงจากรถอย่างรวดเร็ว แล้วหันไปไหว้ท่านประธานอีกครั้ง “ราตรีสวัสดิ์ค่ะท่าน”
“ราตรีสวัสดิ์ครับ” พลเอกณรงค์ฤทธิ์ลดกระจกลงตอบพร้อมกับยิ้มให้ แล้วเขาก็กดปุ่มเลื่อนกระจกปิด แล้วนพก็ขับรถออกไป พิมพิรายืนรอส่ง
จนกระทั่งรถเจ้านายพ้นประตูรั้วอพาร์ทเม้นต์ไปแล้ว เธอจึงเดินขึ้นห้องพักของตัวเองซึ่งอยู่ชั้นที่ 3 โดยไม่ใช้ลิฟท์เป็นการออกกำลังกายไปในตัวแล้วแถมยังช่วยลดภาวะโลกร้อนอีกด้วย
พิมพิราทำงานจนครบกำหนดทดลองงาน 3 เดือน ฝ่ายบุคคลก็ทำเรื่องบรรจุเข้าเป็นพนักงานประจำของบริษัท ท่ามกลางความยินดีของใครหลายๆ คน โดยเฉพาะหนุ่มๆ ที่มาจีบพิมพิรา แต่ข่าวนี้กลับสร้างความไม่พอใจให้กับจิตตรียิ่งนัก เพราะเธอเกลียดพิมพิราที่คอยเป็นก้างขวางคอทำให้เธอไม่มีโอกาสที่จะอยู่ตามลำพังกับพลเอกณรงค์ฤทธิ์เลย เธอจึงเพียรพยายามหาทางที่จะเขี่ยพิมพิราออกจากบริษัทให้ได้
ก็อุตส่าห์โล่งใจว่านังโชติรสลาคลอดแล้วเชียว เธอก็หมดเสี้ยนหนามที่คอยเป็นก้างขวางคอยามที่เธอไปพบคุณพี่ที่บริษัทแล้วแท้ๆ แต่พอมาเจอนังเลขาคนใหม่ที่มาทำงานแทน เธอก็แทบอกแตกตาย ก็แทนที่นังเลขาคนใหม่มันจะยอมเปิดทางให้เธอ มันดันเสือกทำตัวเป็นก้างชิ้นโตอีกคน อย่างนี้มันก็ต้องเจอกันหน่อยล่ะ!
“นี่เธอรู้รึป่ะ เขาลือกันให้แซดว่าเลขาคนใหม่ของท่านประธานอ่ะนะคิดจะรวยทางลัดด้วยการเอาเต้าไต่แทนไต่เต้านะเธอ”
“ต๊ายหล่อน! ไปมุดหัวอยู่ที่ไหนมายะถึงเพิ่งจะรู้เนี่ย เขารู้กันทั้งออฟฟิตแล้วล่ะย่ะหล่อนว่าชีคนนี้อ่ะนะเห็นหน้าใสๆ อย่างนั้นก็เหอะขอบอกว่าชีแร๊งงง…เมื่อวานนี้ตอนเลิกประชุมแล้วอ่ะนะเผอิญว่าเดี้ยนลืมแฟ้มไว้ในห้องประชุมเดี้ยนก็เลยกลับไปเอา แต่พอเดี้ยนเปิดประตูเข้าไปเท่านั้นแหละพวกหล่อนรู้ไหมว่าเดี้ยนเห็นอะไร…”
สมชายกระเทยร่างยักษ์ฝ่ายโฆษณาเล่าแล้วแกล้งเว้นจังหวะเอาไว้ บรรดาขาเม้าส์จึงแทบอยากจะเขย่าตัวสมชายให้เล่าต่อด้วยความอยากรู้ “ก็แล้วหล่อนเห็นอะไรล่ะยะ?”
“แหม…เดี้ยนอ่ะนะแทบอยากจะร้องกรี๊ดให้ลั่นออฟฟิตเลยแหละย่ะ เดี้ยนเห็นชีกำลังคุกเข่าทำ…” สมชายไม่พูดแต่ชูมือตัวเองขึ้นมาแล้วกำมือไว้เหลือแต่นิ้วกลางขึ้นมา แล้วเขาก็ทำท่าอมรูดนิ้วตัวเองโชว์ให้บรรดาขาเม้าส์ดู แล้วเขาก็รีบเม้าส์ต่อว่า “ชีกำลังทำ…ให้ท่านประธานอยู่น่ะซิ”
บรรดาขาเม้าส์ต่างกรี๊ดวี๊ดว๊ายกันเป็นแถว “ต๊าย! ไม่อยากจะเชื่อว่าชีช่างกล้าขนาดนั้น”
“แล้วพอชีเห็นหล่อนแล้วชีทำยังไงล่ะยะ?” ขาเม้าส์บางคนถามขึ้นมา สมชายก็รีบเม้าส์ต่อทันทีว่า “จะทำหน้ายังไงล่ะยะ เดี้ยนก็เห็นชีทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วก็ลุกขึ้นยืนเฉยน่ะซิย่ะ ส่วนท่านประธานก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เหมือนกันนั่นแหละย่ะหล่อน”
“ต๊าย…ตาย ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ นะเนี่ย” ขาเม้าส์บางคนพูดขึ้นมา สมชายก็รีบพูดพร้อมกับออกท่าออกทางเต็มที่ “ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะย่ะ เดี้ยนเห็นเต็มสองตาจนตาแทบจะเป็นกุ้งยิง นี่ขนาดในห้องประชุมนะชียังกล้า แล้วลองคิดดูซิย่ะว่าในห้องทำงานท่าน ชีจะขนาดไหน เห็นชีเดินหายเข้าไปในห้องท่านเวลาท่านเข้ามาทำงานตั้งนานสองนาน เดี้ยนว่าชีคงจะเอาเต้าไต่ทำงานให้ท่านจน…แหกไปถึงไหนต่อไหนแน่ๆ เลยล่ะย่ะ”
แล้วสมชายก็แกล้งดูนาฬิกาบนข้อมือตัวเอง “ต๊าย…ตาย เดี้ยนต้องรีบไปแล้วล่ะ เดี้ยนยังไม่ได้เอาบอร์ดโฆษณาตัวใหม่ไปให้ผู้จัดการเลย ป่านนี้ฮีคงรอเดี๊ยนแย่แล้วแน่ๆ เลย เดี้ยนไปก่อนล่ะย่ะ”
แล้วเขาก็รีบเดินจ้ำแยกตัวออกไปทันที พอคล้อยหลังบรรดาขาเม้าส์แล้วสมชายก็รีบโทรหาจิตตรี พอปลายสายรับสาย เขาก็รีบบอกว่า “อรุณสวัสดิ์ฮ่ะคุณจิตตรีฮ้า สมชายจัดการตามที่คุณจิตตรีสั่งเรียบร้อยแล้วนะฮ่ะ”
“ดีมากสมชาย ถ้านังเลขาคนใหม่ของคุณพี่มันลาออกไปได้เมื่อไหร่ฉันจะโป๊ะรางวัลให้หล่อนอย่างงามเลยล่ะ” จิตตรีเอ่ยชมพลางยิ้มเหี้ยมๆ สมชายรีบประจบว่า “คุณจิตตรีไม่ต้องห่วงหรอกฮ่ะ รับรองว่ามันจะต้องรีบลาออกเร็วๆ นี้แน่นอนฮ้า”
“ฉันก็ขอให้มันเป็นอย่างที่หล่อนพูดจริงๆ เถอะย่ะ กลัวแต่ว่าหล่อนจะแค่ราคาคุยนะซิยะ”
สมชายรีบรับประกันอย่างแข็งขัน “โถมือชั้นนี้แล้วมีหรือจะพลาดล่ะฮ้าคุณจิตตรี สมชายรับรองว่านังพิมพิรามันจะต้องถูกใครๆ ในออฟฟิตมองว่ามันแรดมันร่านยิ่งกว่าอีตัวอีกนะฮ้า มันจะต้องอับอายขายหน้าจนทนไม่ไหวลาออกไปแน่ๆ ฮ้า”
“ฉันก็ขอให้มันเป็นอย่างที่หล่อนพูดล่ะกัน แล้วนี่วันนี้คุณพี่เข้าบริษัทหรือเปล่ายะ?” จิตตรีถาม สมชายรีบตอบเอาหน้า “เห็นว่าไม่เข้าฮ้าคุณจิตตรี”
“งั้นก็แค่นี้แหละย่ะ” แล้วจิตตรีก็วางสายไปทันที สมชายจึงได้แต่แอบด่าฝากลมไปเท่านั้นเอง “หนอย! อีแก่หนังเหี่ยวจะขอบใจซักนิดก็ไม่มี”
หลังจากนั้นไม่นานเรื่องของพิมพิราก็กลายเป็นทอคออฟเดอะทาวน์ไปทั้งบริษัท พิมพิราถูกเม้าส์ซุบซิบนินทาใส่สีตีไข่กันไปทั่วว่าเธอจ้องจะจับเจ้านายเพื่อความสบาย
ภายในห้องอาหารของบริษัท พิมพิรากับสมศรีกำลังมองหาโต๊ะนั่งกันอยู่ พอสมศรีเห็นมีโต๊ะว่างริมหน้าต่างเธอรีบบอกพิมพิราว่า “น้องพะพิมคะ ตรงนู้นมีโต๊ะว่างอยู่แน่ะค่ะ เดี๋ยวน้องพะพิมไปนั่งจองไว้ก่อนนะคะ วันนี้คนเยอะจังค่ะ เดี๋ยวพี่ตามไปนะคะ”
“ค่ะพี่สมศรี” พิมพิรารับคำแล้วก็เดินไปที่โต๊ะ สมศรีก็หันไปสั่งแม่ค้าว่า “ข้าวอบสัปปะรดจานนึงแล้วก็กะเพราหมูไข่เจียวอีกจานค่ะ”
เธอสั่งเสร็จแล้วก็เดินไปซื้อน้ำต่อ พิมพิราเดินไปถึงโต๊ะตัวที่ว่างอยู่แต่เก้าอี้เหลืออยู่ตัวเดียว เธอจึงหันไปมองหาเก้าอี้มาเพิ่มอีกตัว
“ขอโทษค่ะ เก้าอี้ตัวนี้มีใครนั่งหรือเปล่าคะ” เธอถามพนักงานฝ่ายการเงินที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ที่โต๊ะข้างๆ ซึ่งพวกนั้นนั่งกันอยู่สามคนและมีเก้าอี้เหลืออยู่อีกตัว ทั้งสามหันมามองพิมพิราด้วยสายตาเหยียดหยาม แล้วเกศเกล้าหนึ่งในนั้นก็พูดกับพิมพิราด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้นสะบัดสะโบกว่า “เก้าอี้ตัวนี้ไม่ว่างหรอกนะพิมพิราไลย”
เธอจงใจเพิ่มพยางค์ให้แล้วเน้นอย่างสะใจ แล้วเธอก็พูดต่อว่า “พวกฉันจะเอาไว้วางกระเป๋าน่ะ”
จากนั้นทั้งสามก็เอากระเป๋าถือของตัวเองมาวางไว้บนเก้าอี้อย่างจงใจแกล้ง สมศรีซึ่งถือถาดอาหารมาถึงพอดี ทันได้ยินที่เกศเกล้าพูดกับพิมพิรา เธอรีบวางถาดอาหารลงบนโต๊ะแล้วหันไปพูดกับเกศเกล้าว่า “นี่ยัยเกศเกล้า พวกหล่อนไม่คิดจะมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เลยรึไงยะ ก็เห็นๆ อยู่ว่าวันนี้คนแน่นไปหมดจนแทบจะไม่มีที่นั่งอย่างนี้ พวกหล่อนยังจะเห็นแก่ตัวไม่แบ่งเก้าอี้ให้คนอื่นเขานั่งบ้างรึไงยะ”
เธอจงใจพูดเสียงดังให้คนอื่นๆ ได้ยินด้วย เกศเกล้าหน้าซีดทันควันเพราะรู้ดีว่าสมศรีนั้นปากจัดขนาดไหน เธอรีบหยิบกระเป๋าถือของพวกตนออกแล้วรีบเลื่อนเก้าอี้ส่งให้สมศรีทันที “เปล่านะคะพี่สมศรีใครจะกล้าแล้งน้ำใจกับพี่ล่ะคะ”
“ก็เมื่อกี้หล่อนเพิ่งจะบอกกับน้องพะพิมอยู่แหม็บๆ ว่าหล่อนจะเอาเก้าอี้ไว้วางกระเป๋า” สมศรีใส่แบบไม่ให้ตั้งตัว จนเกศเกล้าต้องรีบแก้ตัวว่า “พวกเราก็แค่ล้อพิมพิราไลยเล่นเท่านั้นเองค่ะพี่สมศรี”
“งั้นก็แล้วไปย่ะ” สมศรีสะบัดหน้าใส่แล้วก็รีบพูดต่อว่า “แล้วนี่ยัยเกศเกล้าหล่อนไม่ต้องมาเพิ่มชื่อให้น้องพะพิมเขาหรอกนะย่ะ ชื่อเขาพ่อแม่ตั้งให้มาแค่สามพยางค์หล่อนไม่ต้องมาเพิ่มให้เขาเป็นสี่พยางค์หรอกนะย่ะแม่เกศเกล้าเกศกระจุย!”
เธอพูดแล้วก็ดึงเก้าอี้ไปที่โต๊ะตัวเองโดยไม่สนใจว่าคนอื่นๆ ที่ได้ยินจะคิดเช่นไร ซึ่งบางคนก็แอบหัวเราะคิกคักที่เกศเกล้าอยู่ดีไม่ว่าดีดันไปหาเรื่องให้ถูกสมศรีด่า สมน้ำหน้า! เหอๆๆๆ…
“ฮึ!” เกศเกล้ากับเพื่อนสาวอีกสองคนจึงรีบลุกจากโต๊ะไปทันที ส่วนพิมพิรานั้น ทันทีที่สมศรีลากเก้าอี้มานั่ง เธอก็รีบนั่งลงพูดกับสมศรีว่า “พี่สมศรีคะ เขาแค่ล้อเล่นนิดๆ หน่อยๆ เองนะคะ พี่ไม่น่าไปว่าเขาแรงๆ อย่างนั้นเลยค่ะ ดูซิคะคนอื่นมองกันใหญ่เลย”
“นี่น้องพะพิมคะ แค่นั้นพี่ว่ามันยังน้อยไปด้วยซ้ำค่ะ พวกนั้นจงใจแกล้งน้องพะพิมชัดๆ แถมยังมาเรียกน้องพะพิมว่าพิมพิราไลยอีก แม่พวกนั้นตั้งใจที่จะว่าน้องพะพิมว่าเป็นนางวันทองนะคะ แล้วเรื่องอะไรจะปล่อยให้เขามาว่าฝ่ายเดียวล่ะคะน้องพะพิม อย่าไปใส่ใจเลยค่ะว่าใครจะมองยังไง พี่ว่าเรารีบกินข้าวเถอะค่ะ พี่หิวจะแย่แล้วล่ะค่ะ”
แล้วสมศรีก็ก้มหน้าก้มตาทานข้าวอบสัปปะรดของเธออย่างเอร็ดอร่อย พิมพิราก็รีบก้มหน้าก้มตาทานข้าวทั้งๆ ที่รู้สึกอายแทบแย่ที่จู่ๆ ก็ตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งห้องอาหาร แถมพวกเขายังมองมาที่เธอด้วยสายตาแปลกๆ แล้วก็หันไปซุบซิบนินทาหัวเราะต่อกระซิกกันอย่างสนุกปาก
หลังจากกินข้าวเสร็จพิมพิราก็ถามสมศรีว่า “พี่สมศรีคะ ค่าข้าวของพะพิมเท่าไหร่คะ?”
“รวมน้ำด้วยทั้งหมดก็ 50 บาทค่ะน้องพะพิม” สมศรีตอบอย่างไม่ต้องคิดนาน พิมพิราเปิดกระเป๋าสตางค์หยิบแบงค์ห้าสิบส่งให้พร้อมกับกล่าวขอบคุณ “นี่ค่ะพี่สมศรี ขอบคุณนะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะน้องพะพิม” สมศรีบอกพร้อมกับรับเงินจากพิมพิรามาใส่กระเป๋าตัวเอง แล้วยื่นหน้าไปใกล้ๆ จากนั้นก็กระซิบพอให้ได้ยินกันสองคนว่า “เอ…ทำไมวันนี้คนอื่นๆ เขามองเราด้วยสายตาแปลกๆ จังค่ะ ชุดพี่มันขาดตรงไหนหรือเปล่าคะน้องพะพิม?”