Skip to content

บุพเพรักข้ามกาล 1

20 กรกฏาคม 2558

บุพเพรักข้ามกาล

Chapter 1

ข้ามกาล

ภายในห้องรับแขก รุ้งมณีหยิบรูปคุณยายแก้วขึ้นมา นิ้วเรียวไล้วงหน้าในภาพด้วยความคิดถึง จนถึงวันนี้ก็ผ่านมาเกือบครึ่งปีแล้วที่คุณยายจากไปด้วยโรคชรา รุ้งมณีอยู่กับยายเพียง 2 คน พ่อแม่ของหล่อนเสียชีวิตไปตั้งแต่หล่อนยังเด็ก ญาติพี่น้องก็ไม่มี ครั้นพอสิ้นยายแล้วหล่อนจึงเปรียบเสมือนตัวคนเดียว

“คุณยายขา รุ้งคิดถึงคุณยายมากค่ะ” เธอมองรูปน้ำตาคลอ

ด้านนอกฝนตกพรำๆ ฉับพลัน! ฟ้าก็ผ่าลงมา เปรี๊ยง!

“อุ๊ย!” เธอสะดุ้ง! เกือบทำรูปตก วงหน้าสวยหันไปมองช่องหน้าต่าง สายตาพร่าจากแสงฟ้าผ่า ดวงตากลมโตกะพริบตาปรับโฟกัส ครั้นพอปรับโฟกัสได้หล่อนก็เห็นแสงไฟและได้กลิ่นควันไฟโชยเข้าจมูก

“เอ๊ะ! กลิ่นอะไรไหม้” เธอวางรูปคุณยายไว้ที่เดิม แล้วก็รีบเดินไปชะเง้อดูที่หน้าต่าง เบื้องนอกต้นมะม่วงถูกฟ้าผ่าไฟไหม้ กิ่งมะม่วงไหม้ไฟหักพาดหลังคาบ้านอยู่

“อ่ะ! ไฟไหม้!” เธอตกใจ รีบวิ่งออกไปเปิดก็อกน้ำแล้วก็ลากสายยางไปฉีดน้ำดับไฟ เพียงครู่เดียวไฟก็ดับหมด “เฮ้อ” หล่อนถอนหายใจโล่งอก ยกมือปาดละอองน้ำฝนออกจากใบหน้า ฉับพลัน! ฟ้าก็แล๊บแปร๊บ! ผ่าเปรี้ยง!

ร่างบางสะดุ้ง! ตาพร่า! เผลอปล่อยสายยางร่วงลงพื้น

เสียงตะโกนโหวกเหวกดังลั่น “ไฟไหม้!ๆๆ”

“แหมไฟดับไปแล้ว เพิ่งจะรู้กันเหรอ” เธอนึกขำเพื่อนบ้าน พอลืมตาขึ้นก็ตะลึงงัน! เบื้องหน้า ไฟกำลังลุกไหม้โหมบ้านหลังหนึ่ง ผู้คนวิ่งขวักไขว่วุ่นวาย บ้างก็ขนของหนี บ้างก็ช่วยกันตักน้ำดับไฟ แต่ที่น่าตกใจก็คือคน 2 กลุ่มกำลังต่อสู้กัน ต่างฝ่ายต่างฟาดฟันดาบห้ำหั่นกันจนเลือดสาดกระเซ็น เสียงโหวกเหวกร้องตะโกนเซ็งแซ่ฟังไม่ได้ศัพท์ รุ้งมณีได้แต่ยืนตะลึงอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเธอถูกฉุดกระชากอย่างแรง “ว๊าย!”

“มานี่!” ชายคนหนึ่งฉุดกระชากข้อมือเธอไว้มือหนึ่ง อีกมือก็ถือดาบเงื้อง่า รุ้งมณีมองอย่างตื่นตะลึงงุนงง ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ชายคนนั้นมองเธอด้วยสายตาหื่นกระหายจนเธอนึกกลัว

“ปล่อย!” เธอตวาดพร้อมกับสะบัดแขนสุดแรงจนหลุดจากอุ้งมือหยาบใหญ่

“หนอยแน่ะ! อีนี่!” ชายคนนั้นตวาดอย่างโกรธจัด แล้วก็เงื้อดาบฟันสตรีนางนั้น

“ตายเสียเถอะ!” เสียงตะโกนจากข้างหลังชายคนนั้น พร้อมกับปลายดาบเสือกพรวด! ทะลุอก “อั๊ก!”

รุ้งมณีตกตะลึง! ปลายดาบอาบด้วยเลือดห่างจากตัวเธอแค่คืบ กลิ่นคาวเลือดคลุ้งอวนขึ้นจมูก

“กรี๊ดดดด…” เธอกรีดร้องลั่นแล้วก็สิ้นสติไป

เปลือกตาคู่งามค่อยๆลืมตาขึ้น

“นังหนูๆ” เสียงเรียกดังอยู่ใกล้ๆ พร้อมกับความรู้สึกว่าถูกตบแก้มเบาๆ

“อือ” เสียงหวานครางรับอย่างสะลึมสะลือ แล้วก็รู้สึกว่ามีอะไรนุ่มๆเย็นๆมาเช็ดหน้า

“นังหนูเอ็งฟื้นแล้ว” เสียงเดิมพูด

รุ้งมณีลืมตาอย่างงุนงง เธอหันไปมองเจ้าของเสียงซึ่งกำลังเช็ดหน้าให้ เจ้าของเสียงเป็นหญิงวัยกลางคนอายุราว 40 ต้นๆ

“ป้าเป็นใครคะ?” รุ้งมณีถามพร้อมกับขยับตัวลุกขึ้นนั่ง

“ข้าชื่อนาก” นากบอกแล้วก็ถามว่า “แล้วเอ็งล่ะนังหนู?”

รุ้งมณีมองนากแล้วก็ตอบว่า “หนูชื่อรุ้งมณีค่ะ”

เธอหันไปมองรอบๆตัว เห็นว่าตัวเองอยู่ในกระท่อมไม้ไผ่มุงด้วยหญ้าคา เธอมองอย่างงงๆ แล้วก็ถามว่า “ที่นี่ที่ไหนคะ? แล้วหนูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ?”

“ที่นี่เรือนข้าเอง” นากตอบแล้วก็พูดว่า “เจ้าพูดจาประหลาดพิกล นุ่งห่มก็ผิดแผกมิเหมือนข้า เอ็งมาจากเมืองใดรึนังหนู?”

รุ้งมณีหันกลับไปมองนากซึ่งแต่งตัวเปลือยอก นุ่งผ้าสีดำ เธอมองหน้าอกอีกฝ่ายอย่างกระดากอายแล้วก็รีบเบือนหน้าหนี เพราะกลัวจะถูกด่าที่ไปมองหน้าอกของคุณป้าคนนี้

“แล้วหนูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะป้า?” เธอถามอย่างงงๆ

“ข้ากับนังแดงช่วยกันแบกเอ็งมา” นากตอบแล้วก็หันไปเรียกหลานสาว “นังแดงเอ้ย เอาน้ำเอาท่ามาหน่อยซิ ข้าหิวน้ำ”

“จ้ะป้า” เสียงหวานขานรับ แล้วก็มีเสียงเดินกุกกัก ครู่ต่อมาเจ้าของเสียงก็เปิดประตูเข้ามา “น้ำจ้ะป้า”

เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาวแรกรุ่น อายุราว 15 ปี นางยื่นขันน้ำให้นาก แล้วก็มองรุ้งมณี “เอ็งฟื้นแล้วรึ?”

รุ้งมณีพยักหน้ารับอย่างงงๆ

“ข้ากับป้าแบกเอ็งหนักแทบตาย ดีนะที่หนีไอ้พวกกาสีมาได้ นี่ถ้าหากพาเอ็งหนีไม่ทัน เอ็งถูกพวกมันฆ่าตายแน่” แดงพูดพลางทำหน้าสยดสยอง

“กาสี?” รุ้งมณีทวนคำอย่างงงๆ แล้วก็ถามว่า “เธอหมายถึงพวกไหนเหรอ?”

ทั้งนากและแดงทำหน้างงๆ “เจ้าไม่รู้จักพวกกาสีรึ?” ทั้งสองหันไปมองหน้ากัน “นังคนนี้มันมาจากไหนวะนังแดง? แม้แต่พวกกาสีก็ไม่รู้จัก”

“นั่นซิป้า นางนุ่มห่มพิกลนัก ไม่เหมือนพวกเราเลยป้า” แดงพยักเพยิด

“กาสีอะไรอ่ะ?” รุ้งมณีถาม มองทั้งสองคนสลับไปสลับมา

“เอ็งไม่รู้จักจริงๆ รึนังหนู พวกกาสีกำลังรบทัพจับศึกกับพวกลวปุระ พวกหัวเมืองเล็กๆ ก็พลอยเดือดร้อนกันไปหมด” นากบอกแล้วก็พูดต่อว่า “เอ็งท่าจะวิปลาสกระมัง”

“น่าสงสารนักป้า หน้าตาก็งามไม่น่าวิปลาสเช่นนี้เลย” แดงพูดพลางมองอีกฝ่ายอย่างนึกสงสาร รุ้งมณีงง “วิปลาสอะไรป้า พวกคุณนั่นแหละกำลังอำอะไรกัน? หรือว่านี่กำลังถ่ายรายการอะไรกันอยู่ใช่ไหม?”

แล้วเธอก็ลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูออกไปข้างนอก

“เดี๋ยว…นังหนู เอ็งจะไปไหนรึ?” นากถาม

“หนูก็จะกลับบ้านน่ะซิป้า” รุ้งมณีตอบแล้วก็ก้าวเท้าออกจากห้องไป นากมองอย่างนึกสงสารแล้วก็ถามว่า “บ้านเอ็งอยู่ที่ใดรึ?”

รุ้งมณีชะงักแล้วก็หันไปตอบว่า “บ้านหนูอยู่ไพศาลี(อำเภอไพศาลี จังหวะนครสวรรค์) ค่ะป้า หนูไปล่ะค่ะ” เธอไหว้ลาแล้วก็เดินไป

นากทวนคำ “ไพศาลี?”

นางหันไปถามหลานว่า “ไพศาลีนี่มันเมืองไหนรึนังแดง?”

“ไม่รู้ซิจ๊ะป้า” แดงส่ายหน้า รุ้งมณีเดินไปถึงแคร่ใต้ต้นชมพู่แล้วเธอก็หันรีหันขวางไม่รู้จะเดินไปทางไหนดีเพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ต้นไม้รกครึ้มเต็มไปหมด ถัดจากต้นชมพู่ก็เป็นลำคลอง มีเรือพายผูกไว้กับโคนต้นชมพู่ “ถนนอยู่ทางไหนนะ?”

แล้วเธอหล่อนก็เดินกลับไปถามนากว่า “ป้าคะถนนใหญ่ไปทางไหนคะป้า? แล้วที่นี่ที่ไหนคะทำไมมันเงียบจังคะป้า? หนูไม่ได้ยินเสียงรถเลย”

นากกับแดงหันไปมองหน้ากันอย่างงงๆ นากคิดในใจว่า นังหนูคนนี้มันคงจะวิปลาสเป็นแน่

“รด? มันคืออะไรรึ?” แดงถามอย่างงงๆ

“ก็รถไง” รุ้งมณีบอก แดงหันไปมองป้าแล้วก็หันกลับไปมองรุ้งมณี พลัน! ก็มีเสียงตะโกนแว่วๆ มาว่า “หนีเร็ว! ไอ้พวกกาสีมันมาอีกแล้ว ค่ายแตกแล้วโว๊ย!”

ทั้งสามชะงักงัน!

พอได้สติ แดงก็ร้องโวยวาย “ป้า! พวกกาสีมันมาแล้วป้า รีบหนีเถอะ!”

นากตั้งสติได้ก็สั่งว่า “ห่อผ้า! หยิบห่อผ้าเร็วนังแดง!”

แดงรีบถลันไปหยิบห่อผ้าที่เตรียมไว้ แล้วนางก็ส่งห่อผ้าให้รุ้งมณี “เอ้า!”

รุ้งมณีรับมาถืออย่างงงๆ นากก็รีบหยิบฉวยข้าวของเท่าที่จะถือไปได้มากที่สุด แล้วนางก็รีบตรงไปที่เรือ ส่วนแดงก็หันไปคว้าข้าวของดั่งเจ๊กตื่นไฟ สองคนป้าหลานช่วยกันหอบข้าวของใส่เรือให้ได้มากที่สุด รุ้งมณีมองอย่างงงๆ เสียงตะโกนโหวกเหวกดังใกล้เข้ามา “หนีเร็ว!ๆ”

นากรีบลงเรือคว้าไม้พาย “เร็วๆ นังแดง”

แดงก็รีบแก้เชือกหัวเรือ ครั้นพอหันไปเห็นรุ้งมณียืนเฉยทำหน้างงๆ นางก็รีบวิ่งไปคว้าแขนรุ้งมณี “เอ็งจะยืนหาพระแสงของ้าวรอพวกกาสีรึไง รีบไปลงเรือซิวะนังบ้า!”

“เดี๋ยวซิเธอ” รุ้งมณีพูดอย่างงงๆ ขาก็ก้าวตามแรงฉุด เสียงตะโกนดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงโลหะกระทบกันดังเคร้งคร้าง เสียงกรีดร้อง เสียงร้องไห้ดังอึงอล

“เอ็งอย่าได้ชักช้า พวกกาสีมันมาโน้นแล้วมิเห็นรึ เอ็งอยากตายหรือวะ!” แดงออกแรงดึงสุดกำลัง นางก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องช่วยนังบ้านี่ด้วย รุ้งมณีหันไปมอง เธอเห็นกลุ่มคนวิ่งมาท่าทางหวาดกลัว คนพวกนั้นวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต เบื้องหลังกลุ่มคนเหล่านั้นมีผู้ชายขี่ม้าถือดาบไล่ฟันตามมาติดๆ แดงลากรุ้งมณีไปถึงเรือ

“รีบลงเรือซินังบ้า” นางสั่งเร่งร้อน รุ้งมณีหันไปมองแดงแล้วก็ก้าวลงเรือตามคำสั่งของเด็กสาว พอนั่งลงในเรือแล้วแดงก็รีบขึ้นเรือพลางถีบหัวเรือออก นากก็ช่วยเอาไม้พายยันริมตลิ่ง

“รีบพายเร็วนังแดง พวกมันมานั่นแล้ว” นากบอกเสียงสั่นอกสั่นขวัญแขวน รุ้งมณีหันไปมองบนฝั่ง เธอเห็นผู้ชายขี่ม้าไล่ฟันผู้คนอย่างโหดเหี้ยม เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังลั่น “อ๊าก!”

รุ้งมณีตะลึง! “โอ!”

นากกับแดงช่วยกันพายเร็วรี่ยิ่งกว่าฝีพายในงานแข่งเรือ บนฝั่ง ม้าสีดำพุ่งพรวดโผล่พ้นพุ่มไม้ ผู้ชายบนหลังม้าสวมเสื้อเกราะสีทองอร่ามเรืองรอง ดวงตาคมกริบจ้องไปที่เรือลำน้อย ภายในเรือมีผู้หญิง 3 คน สายตาคมกริบสะดุดตากับวงหน้าแฉล่มแช่มช้อยงดงามกลางเรือ ชายสวมเกราะทองบังคับม้าให้ควบตามเรือพลางตะโกนเสียงดังลั่นเป็นภาษากาสีว่า “หยุดเรือบัดเดี๋ยวนี้!”

นากหันไปมอง “ไอ้กาสีมันตามมาแล้ว นังแดงพายเร็วๆ”

แดงเหลือบมองแล้วก็เร่งพายสุดชีวิต “มันขี่ม้าตามมาแล้วจ้ะป้า”

ส่วนรุ้งมณีตะลึงมอง ในหัวมีคำถามมากมายเหลือเกิน แต่สถานการณ์ยังไม่เอื้ออำนวยให้เธอถามอะไรได้ เธอรู้แต่เพียงว่าจะต้องหนีเท่านั้น

ม้าสีดำควบลัดเลาะตามริมฝั่งอย่างไม่ลดละ แต่สายน้ำไหลเร็วและการพายเรืออย่างไม่คิดชีวิตทำให้เรือลำน้อยลอยลำทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงปากคลองบรรจบกับแม่น้ำเรือลำน้อยก็ลอยลำจากลำคลองเข้าสู่แม่น้ำสายใหญ่ ม้าไม่สามารถจะควบตามต่อไปได้เพราะถูกสายน้ำขวางกั้น ชายสวมเกราะทองกระตุกบังเหียนหยุดม้าตะโกนลั่นอย่างหัวเสีย “บัดซบ!”

สายตาคมกริบได้แต่จ้องมองวงหน้างดงามกลางเรือซึ่งค่อยๆห่างไกลไปเรื่อยๆ

“นางช่างงามยิ่งนัก มิน่าเชื่อว่าบ้านป่าเช่นนี้จะมีสาวงามอยู่ น่าเสียดายนักที่นางหนีไปได้ ฮึ่ม!” เสียงห้าวพูดภาษากาสี ชายสวมเกราะทองมองดูทิศทางที่เรือล่องลงไป

“นางจะต้องหนีไปลวปุระเป็นแน่” เขาคาดคะเนแล้วก็ชักม้ากลับ ส่วนแดงกับนากหลังจากหนีรอดไปได้ ก็หยุดพายเรือพลางหันไปปรึกษากันเอง

“ป้าจ๊ะแล้วเราจะหนีไปที่ใดรึจ๊ะ” แดงถามพลางปาดเหงื่อ

“เดี๋ยวพวกเราพายตามน้ำไปอีกหน่อยแล้วก็ค่อยเลี้ยวเข้าคลองเลาะไปออกแม่น้ำอีกสาย เราจะขึ้นเหนือไปบ้านไอ้สิงขรกัน” นากบอก

“บ้านพ่อลุงสิงขรรึจ๊ะป้า?” แดงถาม

“ใช่” นากพยักหน้า

“เอ๊ะป้าจ๊ะ เรามิไปลวปุระหรือจ๊ะ? ไปบ้านพ่อลุงสิงขรประเดี๋ยวพวกกาสีมันก็บุกไปเช่นกัน” แดงถาม

“ไปลวปุระ พวกกาสีมันก็บุกไปเหมือนกันแหละนังแดง อีกอย่างพวกในเมืองเขาจะให้พวกเราเข้าไปรึ ข้าได้ข่าวว่าใครๆ ก็แห่กันมุ่งหน้าไปลวปุระกันมากโขจนเจ้าเมืองท่านสั่งปิดประตูเมืองห้ามเข้าออก เมืองโกศลมันอยู่ทางเหนือ ไม่ใช่ทางที่ไอ้พวกกาสีมันจะยกทัพผ่าน พวกมันคงไปมิถึงบ้านของไอ้สิงขรหรอกนังแดง ข้าว่าพวกเราไปอาศัยไอ้สิงขรอยู่ชั่วคราวก่อน พอมีลู่ทางแล้วก็ค่อยขยับขยายออก อย่างไรเสียไอ้สิงขรมันก็เป็นน้องข้า เป็นลุงของเอ็ง มันต้องต้อนรับขับสู้เอ็งกะข้าเป็นแน่” นากอธิบายแล้วก็ค่อยๆ คัดท้ายเรือให้หลบท่อนไม้ในน้ำ รุ้งมณีมองทั้งสองคนปรึกษากัน พอสบโอกาสเธอก็ถามว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะป้า? พวกนั้นเป็นใครกันคะ? ทำไมถึงได้โหดเหี้ยมขนาดนั้น แล้วทำไมป้าไม่แจ้งตำรวจให้ไปจับพวกนั้นล่ะคะ?”

นากมองรุ้งมณีอย่างนึกสงสารแล้วก็หันไปพูดกับหลานว่า “ข้าว่านังคนนี้มันคงวิปลาสเป็นแน่ ถึงได้มิรู้เรื่องรู้ราวเหตุการณ์บ้านเมือง มันพูดอะไรแต่ละอย่างข้ามิเข้าใจเลย”

แดงพยักหน้าเห็นด้วย “นั่นซิป้า”

แล้วนางก็เอื้อมมือไปแตะบ่ารุ้งมณีแล้วก็พูดว่า “พวกกาสีมันยกทัพไปตีลวปุระ มันผ่านไปทางไหนมันก็เที่ยวไล่ฆ่าเผาเมืองไปตลอดทางนั่นแหละ”

“กาสี? ลวปุระ?” รุ้งมณีทวนคำแล้วก็มองหน้าเด็กสาว

“เออ” แดงพยักหน้า รุ้งมณีมองสองป้าหลาน แล้วก็มองไปรอบๆ ตัว สองข้างริมฝั่งน้ำต้นไม้ต้นสูงใหญ่ขึ้นรกครึ้ม ไม่น่าเชื่อว่าจะยังมีต้นไม้ใหญ่ๆเช่นนี้หลงเหลืออยู่อีก ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสมาก

นี่เราอยู่ที่ไหนกันนะ? เธอถามตัวเองในใจ แล้วความคิดหนึ่งก็ผุดวาบขึ้นมาในสมอง อย่าบอกนะว่าฉันหลุดมาในสมัยโบราณเหมือนในละครน้ำเน่านั่นนะ ฉันไม่เชื่อเด็ดขาด! ไม่มีทาง!

เธอจ้องตาเด็กสาวแล้วก็ถามว่า “ปีนี้พ.ศ.อะไรเหรอ?”

“พอศออะไรของเอ็งอีกล่ะนังบ้า?” แดงย้อนถาม

รุ้งมณีนิ่งคิดแล้วก็ถามใหม่ว่า “ปีพุทธศักราชน่ะ ปีนี้พุทธศักราชที่เท่าไหร่”

“ปีนี้พุทธศักราชที่ 1395” นากตอบแทนหลาน

รุ้งมณีหันไปมองนากอย่างไม่เชื่อ “เป็นไปไม่ได้! ป้าไม่ได้หลอกหนูใช่ไหม?”

“หลอกเหลิกอะไรนังหนู ก็ปีนี้พุทธศักราช 1395 จริงๆ หากเอ็งมิเชื่อก็ไปถามใครๆดูเถอะ” นากตอบน้ำเสียงสะบัดอย่างนึกเคือง แล้วนางก็บอกว่า “ข้าว่าพวกเราจอดเรือพักกันก่อนเถอะนังแดง ข้าพายมิไหวแล้ว”

“จ้ะป้า” แดงพยักหน้าเห็นด้วย แล้วก็ค่อยๆพายเข้าหาฝั่ง พอถึงริมฝั่งใต้ต้นไม้ใหญ่แดงก็ก้าวขึ้นไปบนรากไม้ริมน้ำ นางหันไปสำรวจรอบๆ ตัว พอเห็นว่ามิมีงูเงี้ยวเขี้ยวขอก็จัดแจงผูกเชือกหัวเรือกับกิ่งไม้ ครั้นพอผูกเรือเสร็จนางก็ลุกเดินไปสำรวจบริเวณรอบๆ รุ้งมณีค่อยๆ เกาะกาบเรือลุกขึ้นเดินตามเด็กสาวไป นากก็วางไม้พายแล้วก็ลุกเดินตามไปอย่างคล่องแคล่ว

“ว๊าย!” เสียงแดงร้องลั่น

“เป็นอะไรรึนังแดง?” นากตะโกนถามอย่างเป็นห่วง แล้วก็รีบเดินไปหาหลาน รุ้งมณีก็รีบเดินตามไปดูจึงเห็นว่าแดงกำลังถูกผู้ชาย 2 คนดักหน้าดักหลัง คนหนึ่งคว้าแขนแดงเอาไว้ นากเห็นหลานถูกดักหน้าดักหลังก็ตวาดว่า “นั่นพวกเอ็งจะทำอะไร!? ปล่อยหลานข้านะ!”

“อีแก่เอ็งอย่าเสือก!” ผู้ชายคนหนึ่งตวาดกลับพลางชี้หน้าข่มขู่ นากถลันเข้าไปช่วยหลานทันที “พวกเอ็งปล่อยหลานข้านะ!”

“อีแก่นี่รนหาที่ตายเสียแล้ว ฆ่ามัน!” ผู้ชายที่จับแดงสั่งอีกคนหนึ่ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!